ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 491 ผมรับไม่ได้อีกต่อไป

ผมรับไม่ได้อีกต่อไป

 

ดึกดื่นคืนนั้น บันไดและหลี่ว์ซู่นั่งหันหน้าเข้าหากัน หลี่ว์ซู่นิ่งเงียบขณะที่บันไดกำลังบอกข้อมูลล่าสุดที่ได้มา

 

เธอเข้าถึงข่าวกรองได้เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันตั้งแต่หลี่ว์ซู่มาถึงที่นั่น ทว่าพูดตรงๆ ก็คือมันเป็นการเข้าถึงข้อมูลของหลี่ว์ซู่นั่นเอง

 

มันรู้สึกเหมือนว่าเว็บลับขนาดยักษ์เพิ่งจะได้วางเครือข่ายปฏิบัติการในประเทศญี่ปุ่นเพื่อรับใช้หลี่ว์ซู่เพียงคนเดียว

 

บันไดตกใจมาก เธอรู้ว่าค่าใช้จ่ายในการก่อตั้งเว็บที่นี่ราคาสูงเพียงใด แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งระบบนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อคนเพียงคนเดียว

 

จำนวนสายลับของหน่วยข่าวกรองที่ถูกใช้ตอนที่ราชันฟ้าเนี่ยมาด้วยตัวเองในคราวก่อนยังไม่มากเท่านี้เลย

 

ยิ่งไปกว่านั้น จะไม่มีการเข้าถึงข้อมูลได้หากไม่ได้รับการอนุญาตจากเนี่ยถิง แต่ทำไมราชันฟ้าเนี่ยจึงได้ชื่นชมในตัวชายหนุ่มคนนี้ขนาดนั้น

 

“ทวยเทพมีบทสรุปเกี่ยวกับความตายของโนกิวะ ฮากุชุนแล้ว พวกเขาลงความเห็นว่าเครือข่ายฟ้าดินอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้และดูเหมือนจะเชื่อว่ามีผู้มีพลังสายธาตุดินระดับ B จากเครือข่ายอยู่ที่ไหนสักแห่งในนิชิโนะเกียว พวกเขาเรียกเขาว่า ผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นราชันฟ้าคนที่เก้า…” แล้วบันไดก็มองไปที่หลี่ว์ซู่เพื่อรอคำตอบ

 

หลี่ว์ซู่หายใจเฮือก เขาไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องจะกลายมาเป็นแบบนี้!

 

“เอ่อ ทำไมพวกเขาถึงได้คิดอย่างนั้นล่ะ” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย

 

“พวกเขาเชื่อว่ามีผู้มีพลังสายธาตุดินระดับ B รวมพลังกับราชันฟ้าหลี่ในเมืองพัทยาเพื่อฆ่าจอห์นสัน แถมยังมีการยืนยันจากผู้บำเพ็ญอิสระสองสามรายว่าผู้มีพลังรายนี้มีทรายขาวทะเลน้ำลึกอยู่ในความครอบครองอีกด้วย ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงที่ว่าแอนโทนีได้สูญเสียทรายขาวทะเลน้ำลึกของเขาไปที่โบราณสถานทะเลสาบเกลือ ไม่ว่าจะอย่างไร ที่ผ่านมาทรายขาวทะเลน้ำลึกนั้นปรากฏแต่ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น” บันไดอธิบาย

 

หลี่ว์ซู่ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเพื่อรวบรวมความคิดอ่าน แม้ว่าจะไม่คาดฝันมาก่อนแต่เขาก็ต้องยอมรับเลยว่าการวิเคราะห์ของพวกเขานั้นค่อนข้างจะมีเหตุผล…

 

“เอ่อ พูดต่อเถอะครับ…”

 

“ในตอนนี้ ทวยเทพได้เริ่มใช้ระเบียบการปฏิบัติการเฝ้าระวังระดับสูงสุดเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาก็ยังหวาดกลัวกับการกระทำของราชันฟ้าเนี่ยในคราวก่อนอย่างมาก แม้ว่าท่านจะไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอะไรจริงๆ ในทวยเทพ แต่มันมีผลต่อการทำลายขวัญของพวกเขาอย่างรุนแรงในการได้ประจักษ์ว่าราชันฟ้าสามารถที่จะมาหา ฆ่า และกลับไปได้ตามใจชอบ…”

 

หลี่ว์ซู่ยินดีที่ได้ฟังดังนั้น “พอพวกเขาอยากทำบ้าง เนี่ยถิงก็บรรลุขึ้นสู่ระดับ A ไปแล้ว ถึงตอนนั้น พวกที่อยากก่อปัญหาในประเทศของเราอาจไม่ได้กลับออกมาเป็นๆ เสียด้วยซ้ำ…”

 

ความจริงแล้ว เรื่องคงจะแตกต่างออกไปหากเนี่ยถิงยังคงอยู่ในระดับ B เนื่องจากเฉินไป่หลี่ต้องอยู่ห่างไกลออกไปเพื่อป้องกันชายแดนของประเทศ ทวยเทพย่อมเข้าออกได้อย่างง่ายดายเมื่อเสร็จธุระ การที่คนในระดับเดียวกันจะไล่ล่ากันอย่างไม่ลดละนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมจริงเอาเสียเลย

 

มันดูเหมือนเป็นการกระทำที่ต่ำช้า เนี่ยถิงวิ่งหนีหลังจากตบหน้าศัตรูฉาดใหญ่ แต่เมื่อศัตรูอยากจะลงมือล้างแค้นในแบบเดียวกันบ้าง พวกเขากลับพบว่าอย่าว่าแต่จะหนีออกมาได้เลย พวกเขาไม่อาจแม้กระทั่งตบคืนได้ด้วยซ้ำ…

 

“การบรรลุระดับขึ้นไปของเขาเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะมาก” หลี่ว์ซู่อุทาน…

 

ฉะนั้นการที่เนี่ยถิงเน้นทวยเทพเป็นพิเศษก็อาจเป็นเพราะความกังวลว่าจะมีคนระดับ A โผล่ขึ้นมาจากที่นั่น

 

หลี่ว์ซู่ถาม “มีสัญญาณอะไรเกี่ยวกับผู้ที่เพิ่งจะบรรลุขึ้นสู่ระดับ A ของทวยเทพบ้างไหม”

 

“ไม่มี แต่จากข้อมูลที่ได้มีการปล่อยออกมานานแล้วนั้น พวกผู้อาวุโสกำลังค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับพิธีกรรมและสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับการสังเวย แต่พวกเขายังไม่อาจบรรลุผลที่น่าพอใจได้” บันไดตอบ

 

คำพูดของเธอทำให้หลี่ว์ซู่นึกถึงฉากที่อยู่ใต้ถ้ำในโบราณสถานเป่ยหมัง หรือว่านั่นจะเป็นสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการสังเวย พวกเขากำลังพยายามจะสร้างคนระดับ A เทียมขึ้นเองผ่านวิธีการที่บิดเบือนแบบนั้นเหรอ

 

ตอนนี้โนกิวะ ทาเกะโนบุ หนึ่งในยอดฝีมือระดับ B อันดับต้นๆ ของพวกลัทธิคลั่งชาตินั้นได้ตายไปแล้ว ประกอบกับการปะทุพลังที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ดังเช่นการปะทุพลังของท่านนักบุญและแรงกดดันจากทางเครือข่ายฟ้าดิน ความกังวลทั้งหลายของกลุ่มทวยเทพจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลทั้งสิ้น

 

“เดี๋ยวนะ” หลี่ว์ซู่สับสน “คิตะมุระ ฮิโรโนะไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยเลยเหรอ”

 

แม้ว่าเขาจะใช้วิธีที่ไม่เป็นมืออาชีพและการวางแผนแบบพื้นๆ แต่มันก็ควรจะส่งผลให้เกิดความสับสนอยู่บ้างไม่ใช่เหรอ

 

“หลังจากได้ข้อสรุปแล้ว การถกเถียงเรื่องคิตะมุระ ฮิโรโนะก็สงบลง หลักๆ แล้วเป็นเพราะอาจารย์ของคิตะมุระนั้นเป็นหนึ่งในยอดฝีมือระดับ B ของทวยเทพนั่นเอง แน่นอนว่ามีบางเสียงที่สงสัยว่าเป็นฝีมือของคิตะมุระเองทั้งหมด แต่ความเห็นแบบนั้นไม่อาจนำออกมาพูดอย่างเปิดเผยได้” บันไดอธิบาย

 

หลี่ว์ซู่ผิดหวัง ในอดีตเขาเคยป้ายความผิดใส่คนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ตอนนี้พอเขาพยายามจะทำก็กลับมาล้มเหลว!

 

มันอะไรกันหา!

 

ทั้งสองเงียบไปนาน แล้วหลี่ว์ซู่ก็พูดขึ้น “ไม่ได้ ผมรับไม่ได้อีกต่อไป! ผมสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้!”

 

[ได้แต้มจากบันได +166…]

 

บันไดเริ่มสงสัยถึงจุดประสงค์ของราชันฟ้าเนี่ยในการส่งหลี่ว์ซู่มาที่นั่น เพื่อให้อิสระเขาในการทำอะไรก็ได้อย่างที่เขาต้องการเลยเหรอ

 

“เตรียมข่าวกรองให้พร้อมสำหรับผมด้วย ผมต้องเตรียมการอะไรบางอย่าง” หลี่ว์ซู่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

 

ซากุราอิถูกปลุกให้ตื่นขึ้นก่อนฟ้าสางด้วยเสียงแหลมของลมที่ถูกหวด เธอสวมใส่เสื้อผ้าที่คุณบันไดเตรียมไว้ให้…บริเวณหน้าอกของเธอรู้สึกคับเล็กน้อยจริงๆ ด้วย

 

ตอนนั้นเป็นเวลาเพียงตีสามเท่านั้น ซากุราอิเอาเสื้อคลุมมาคลุมเอาไว้ที่ไหล่และเปิดประตูออกไปเห็นหลี่ว์ซู่กำลังฝึกเพลงกระบี่อยู่ในสนาม เขาฝึกเช้าขนาดนี้ทุกวันเลยเหรอ เธอรำพึงในใจกับตัวเองว่า ฉันขยันไม่ได้เท่าครึ่งหนึ่งของเขาเลยด้วยซ้ำ

 

สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือการที่หลี่ว์ซู่ร้องเพลงดาวดวงน้อยเป็นชั่วโมงๆ ก่อนมาฝึกเพลงกระบี่…

 

หลี่ว์ซู่ยิ้มให้เธอและถามออกมาโดยไม่ได้หยุดการฝึกว่า “ตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอ”

 

“ใช่” ซากุราอินั่งเท้าคางอยู่ที่ขอบของระเบียงและมองหลี่ว์ซู่ฝึก หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับซากุราอิ ราวกับว่าเธอ…ทำตัวสบายๆ มากขึ้น

 

ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญลับที่กระทำการด้วยจุดประสงค์และภารกิจต่างๆ ซากุราอิ ยาเอโกะจำต้องแสร้งแสดงอยู่ทุกที่ทุกเวลา ทว่าเมื่อคืนก่อนนี้เองที่ดูเหมือนว่าเธอจะได้ปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างในหัวใจออกไป

 

มันไม่ใช่เพราะคำพูดของคิตะมุระหรือเพราะใคร แต่มันเป็นการระบายความไม่พอใจในสถานการณ์ปัจจุบันที่เธออัดอั้นเอาไว้ออกมาอย่างกะทันหัน แล้วจากนั้นกำแพงแห่งการเสแสร้งของเธอก็ถูกทำลายลงเหมือนกับเขื่อนที่แตก

 

เนื่องจากมีน้ำที่ซึมออกมาจากรอยแตกของเขื่อนนั้น ในที่สุดน้ำก็ทะลักออกมาและไหลท่วมทุกสิ่งทุกอย่างจนหมด

 

“คิริฮาระคุง” ซากุราอิเรียกเขาทั้งที่ยิ้มอยู่

 

หลี่ว์ซู่หยุดเคลื่อนไหวอยู่กับที่ “ว่ายังไง”

 

“เธอจะจำฉันได้ไหม”

 

“ก็คงจะจำได้นะ เธอสวยจะตาย”

 

“ขอบคุณ”

 

เป็นครั้งแรกที่ซากุราอิ ยาเอโกะสัมผัสได้ถึงความจริงใจและความเรียบง่ายในคำชมเชยเกี่ยวกับความสวยของเธอ…

 

แต่หลี่ว์ซู่กลับรู้สึกว่ามันเป็นข้อความอำลาของซากุราอิ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset