ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 922 การปล้น!

บทเรียนวัฒนธรรมเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าไม่เรียนแล้ว จะได้แต่มอารมณ์มาจากไหน

แต่เนื่องจากบทเรียนวัฒนธรรมเหล่านี้ใช้เวลานาน การฝึกที่ดำเนินการในช่วงเวลาที่เหลือจึงต้องเอาจริงเอาจังให้มากพอ เพื่อเติมเต็มแผนของจางเว่ยอวี่ในการฝึกกองทัพอย่างสมบูรณ์ภายในสามเดือน

ถ้าพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น เมื่อทัพเฮยอวี่จัดการช่องเขาเว่ยเป่ยจนเสร็จสิ้น และมุ่งความสนใจไปที่การแก้ไขพื้นที่นี้ ภูเขาราชาหลี่ว์อาจต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้โดยไม่ได้หยุดพัก

จางเว่ยอวี่ได้แต่หวังว่าก่อนที่ทัพอู่เว่ยจะล่มสลาย ดินแดนทางเหนือจะเริ่มโต้กลับได้ ถ้าไม่เช่นนั้น ถึงแม้ทัพอู่เว่ยจะแข็งแกร่งขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดทหารหลายแสนคนจากทัพเฮยอวี่ได้!

 แน่นอนว่าทัพเฮยอวี่ไม่สามารถส่งกำลังพลทั้งหมดมาที่นี่ได้ เพราะพวกเขาจะยังต้องการคนเพื่อคอยปกป้องช่องเขาเว่ยเป่ยและป้องกันการโจมตีจากดินแดงทางเหนืออย่างแน่นอน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น มันก็ยังอันตรายมาก

หลี่ว์ซู่ฝึกท่วงท่าวิชากระบี่ตลอดทั้งวัน ราวกับว่าเขาจะไม่ยอมเดินออกจากถ้ำหินปูน เว้นแต่จะมีเรื่องเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น หลิวอี้เจาถอนหายใจ “เป็นอย่างที่คาดไว้ องค์ราชาแข็งแกร่งกว่าพวกเรา ผมไม่มีแรงแบบนี้ตอนที่ยังฝึกอยู่หรอกนะ”

จางเว่ยอวี่กลอกตา เขาไม่ว่างมาใส่ใจที่จะจัดการกับหลิวอี้เจา เขาไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์ เขาทำได้เพียงรอให้ราชาที่แท้จริงปรากฏตัว

เมื่อหลี่เฮยทั่นเห็นจางเว่ยอวี่กลอกตา เขาก็ยกดาบขึ้น “คุณ คุณมีอะไรอยากจะพูดกับท่านเทพหรือไม่”

จางเว่ยอวี่พูดไม่ออก

หึๆๆ ดีมาก พวกนายทุกคนจงรักภักดีกันเหลือเกิน!

จางเว่ยอวี่มองไปยังทัพอู่เว่ย แม้ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้พวกเขาก็ยังเข้าร่วมบทเรียนวัฒนธรรม เขาทนไม่ได้ เขาจึงวิ่งเข้าไปในถ้ำหินปูนเพื่อตามหาหลี่ว์ซู่

เขาเพิ่งเข้าไปในถ้ำหินปูนในตอนที่เขาเห็นรอยกระบี่รอยใหม่อยู่บนผนัง เขาแทบจะเป็นลมล้มลงกับพื้น จางเว่ยถอยกลับอย่างสับสน เขาไม่ได้คาดหวังว่าในช่วงไม่กี่วันที่เขาไม่ได้เข้ามาในถ้ำนั้น รอยกระบี่บนผนังกลายเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้น เขาไม่สามารถแม้แต่จะมองไปที่พวกมัน!

“นี่ ออกมาเถอะ ฉันจะไม่เข้าไปหรอกนะ” จางเว่ยอวี่คำรามมาจากนอกถ้ำ

หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ว์ซู่ก็เดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”

จางเว่ยอวี่มองไปที่หลี่ว์ซู่อย่างลังเล “นายเลื่อนขั้นอีกแล้วเหรอ”

“ใช่แล้ว ผมก้าวขึ้นสู่ระดับที่สามแล้ว!” หลี่ว์ซู่ตอบ ไม่มีอะไรต้องปิดบัง เขาเพิ่งก้าวขึ้นสู่ระดับที่สาม

แต่เขาไม่รู้ว่านี่ทำให้จางเว่ยอวี่ตกใจมากแค่ไหน!

ในตอนนั้นพวกเขารู้สึกว่าหลี่ว์ซู่เลื่อนระดับเร็วเกินไป มันไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นพวกเขาจึงจดบันทึกทุกครั้งที่หลี่ว์ซู่เลื่อนระดับ ตอนแรก จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือคิดว่าหลี่ว์ซู่จะเลื่อนระดับอีกครั้งในอีกสามเดือน แต่หลี่ว์ซู่ไม่เหมือนกับทัพอู่เว่ยและทัพชิงไซ พลังของเขาไม่ได้ติดอยู่ในคอขวด

แต่หลี่ว์ซู่กลับใช้เวลาไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ เขาเลื่อนระดับจากระดับสี่เป็นระดับสามในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ทำให้รู้สึกราวกับว่าเขากำลังเร่งความเร็วขึ้น

แต่จางเว่ยอวี่ไม่รู้ว่าสำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว นี่ก็เหมือนกับว่าเกมรุ่นเล็กๆ ของเกมเก่าที่เคยปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการก้าวขึ้นสู่ระดับสาม แต่เขาสังเกตเห็นว่าความก้าวหน้าของเขามีแต่เร็วขึ้นและเร็วขึ้น

ราวกับว่าความสำเร็จเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

“ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย “ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับชั้นเรียนวัฒนธรรมล่ะก็ ลืมไปได้เลย”

ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเมื่อไรที่หลี่ว์ซู่จะก้าวไปสู่อัระดับสอง เขาอาจจะไปถึงระดับหนึ่งได้ด้วยซ้ำ ถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้รับแต้มอารมณ์ครั้งใหญ่ เขาจะมาใจเย็นอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

เมื่อจางเว่ยอวี่ได้รู้ว่าจุดมุ่งหมายของเขาถูกบดขยี้อย่างสมบูรณ์ เขาก็แทบสำลัก “แล้วธัญพืชล่ะ พวกเราจะทำยังไง ในตอนนั้นนายบอกว่าพวกเราต้องประหยัดค่าธัญพืช แต่นายกลับอนุญาตให้ทัพอู่เว่ยจัดการด้วยตัวเอง แล้วทีนี้พวกเราจะทำยังไง ตอนนี้อาหารมีไม่พอกินแล้ว…เดี๋ยว ปล่อยฉันนะ!”

จางเว่ยอวี่ถูกพาตัวไปโดยหลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นที่กำลังพยุงเขาไปทั้งสองข้าง ระหว่างทาง หลิวอี้เจาพูดอย่างสงบว่า “คุณจาง คุณกำลังช่วยราชาให้ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ดังนั้นได้โปรดอย่าขัดขวางเขาเลย”

จางเว่ยอวี่กล่าวว่า “อะไรนะ! ฉันควรฆ่านายให้ตายๆ ไปซะตั้งแต่อยู่ที่พระราชวังในตอนนั้น…เจ้าโง่เอ๊ย! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”

นายกำลังพูดถึงอะไร ช่วยหมอนั่นให้ขึ้นครองบัลลังก์เหรอ ทั้งหมดนั่นก็แค่เรื่องหลอกลวง จางเว่ยอวี่ค่อยๆ หยุดดิ้นรน การแสดงออกของเขาดูราวกับว่าเขาไม่เหลืออะไรให้มีชีวิตอีกแล้ว

หลี่ว์ซู่ยืนอยู่บนภูเขาราชาหลี่ว์ เขาดูน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ มันสุดยอดจริงๆ ที่ได้มีลูกน้อง

แต่เขาก็เป็นกังวลเรื่องอาหารเช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหลัก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีเงินแล้ว!

ก่อนที่เธอจะไป หลี่ว์ซู่ถึงขั้นบอกกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ว่า ตอนนี้พวกเขามีเงินแล้ว เธอควรจะทำให้เต็มที่ในการซื้อธัญพืช

ในแง่หนึ่ง หลี่ว์ซู่ไม่ใช่ฆาตกร ถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มโจร แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะจัดการกับเรื่องทุกอย่างด้วยความรุนแรง

ในทางกลับกัน เขาเป็นกังวลว่าช่องเขาเว่ยเป่ยอาจจะมียอดฝีมือคอยดูแล ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะมีไม่มากเท่าทัพเฮยอวี่ แต่ถ้ามียอดฝีมือระดับหนึ่งมากกว่าสองคนคอยจับตาสี่ยวอวี๋อยู่ ก็คงจะไม่สะดวกนัก

นอกจากนี้ หลิวอี้เจายังต้องไปเป็นตัวแทนของทัพอู่เว่ย และแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการทัพอู่เว่ย หลี่ว์ซู่ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาใดๆ ในช่วงเวลาวิกฤตนี้

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋โบกมือ “ฉันจะไม่สู้กับใครทั้งนั้น!”

ถึงแม้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อาจจะรับปาก แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่อาจสบายใจได้

ในตอนแรก หลิวอี้เจาเอาเงินออมออกมาเพียงครึ่งเดียว แต่หลังจากที่เขาได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีแล้ว เขาก็นำเงินออมออกมาทั้งหมด อย่างไรหลิวอี้เจาก็เก็บเงินมาเพื่อวันนี้ …

แต่เขาไม่ได้มีเงินออมมากนัก หลี่ว์ซู่รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ในฐานะเจ้าเมืองหนานเกิงและผู้บัญชาการทัพชิงไซ ทำไมเขาถึงมีเงินเพียงไม่กี่แสน ทั้งๆ ที่เก็บรักษามานานกว่าสิบปี หลิวอี้เจา อธิบายว่าเขาแค่ไม่อยากสร้างความวุ่นวายให้กับผู้คนมากเกินไป และเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยักยอกเงินเดือนของทหาร มีหลายครั้งที่เขาใช้เงินของตัวเองเพื่อจ่ายให้ทหารและซื้ออุปกรณ์ให้พวกเขา

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หลี่ว์ซู่จึงไม่แปลกใจเลยที่ทัพชิงไซนั้นจงรักภักดีต่อเขามาก เขาแข็งแกร่งกว่าเย่เสี่ยวหมิง ผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยคนก่อน

เงินสองสามแสนดูเหมือนจะไม่ใช่เงินเล็กน้อย พวกเขาสามารถซื้อข้าวได้สักสองสามแสน แต่ปัญหาก็คือพวกเขาต้องเลี้ยงดูกว่าห้าพันคน แม้แต่คลังไร้รูปของเสี่ยวอวี๋ก็ไม่เพียงพอที่จะจัดเก็บทั้งหมดนี้ เธอต้องเดินทางหลายครั้ง

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พาหัวหน้าบาทหลวงและแอนโทนีไปยังเมืองในระยะหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลเมตรจากช่องเขาเว่ยเป่ยเพื่อซื้ออาหาร หลังจากสอบถามไปรอบๆ เธอถึงได้รู้ว่าธัญพืชในเมืองทั้งหมดถูกทัพหลงเหมิ่งแห่งช่องเขาเว่ยเป่ยเอาไปหมดแล้ว ว่ากันว่ามีสายลับปรากฏตัวขึ้นในช่องเขาเว่ยเป่ย เปลวไฟทำลายธัญพืชทั้งหมดใน ช่องเขาเว่ยเป่ย ดังนั้นพวกเขาจึงขนส่งธัญพืชจากเมืองใกล้เคียง

จากเรื่องนี้ พวกเขาสามารถอนุมานได้ว่าเป็นแผนของทัพเฮยอวี่ พวกเขาเตรียมตัวมาเนิ่นนานก็เพื่อศึกในวันนี้!

คนขายที่อยู่ที่ร้านธัญพืชขมวดคิ้ว “สาวน้อย ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากขายธัญพืชให้เธอนะ แต่ทั่วทั้งเมืองไม่มีธัญพืชเหลือแล้ว รถขนส่งจากทัพหลงเหมิ่งเพิ่งมาขนธัญพืชไป ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะอยู่ไกลมาก”

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตาเป็นประกายหลังจากได้ฟังเรื่องนี้ “พวกเขาเดินทางไปไหนเหรอ”

ทัพหลงเหมิ่งกำลังเดินทางไปยังช่องเขาเว่ยเป่ยเพื่อขนส่งธัญพืช ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาว่า “รถม้าขนของๆ ฉันหายไปไหน รถม้าขนส่งขนาดใหญ่ของฉันกับธัญพืชหายไป!”

Related

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

Status: Ongoing
หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset