ตอนที่ 551 เขาฉางไป๋
การดึงความสนใจจากตระกูลใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะพวกเขาจัดการอะไรต่อมิอะไรเองได้ อีกทั้งยังมีพื้นที่ทำกิจกรรมต่างๆ ของตัวเอง เพราะฉะนั้นพวกที่พำนักอาศัยยู่ห่างไกลจากเมืองลั่วจึงไม่กระโดดเข้ามาแก่งแย่งชิงดีด้วย
ตระกูลใหญ่เหล่านี้โดยมากมักเป็นพวกจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างรอบคอบ พวกเขาจะชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสียอย่างถี่ถ้วนก่อนเคาะออกมาเป็นข้อสรุปที่สมเหตุสมผล เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางรีบกระโดดลงไปฉกฉวยผลประโยชน์ที่จะได้ถึงแม้จะเข้าใจดีถึงความสำคัญของการฝึกฝนและการต่อสู้แย่งชิงอำนาจเพื่อทรัพยากรในการฝึก
ในแต่ละตระกูลมีหัวกะทิที่ถูกฝึกมาอย่างดีอยู่ อย่างเช่นเฉินจู่อานจากตระกูลเฉิน สวีเวินซินจากตระกูลสวี และเกาเสินอิ่นจากตระกูลเกาในเตียนโจว การจะเลี้ยงดูหัวกะทิเหล่านี้นั้นจะต้องใช้ทรัพยากรในการฝึกเป็นอย่างมาก และการได้รับทรัพยากรอย่างมากนี้ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษที่นักเรียนธรรมดาๆ ของห้องเต้าหยวนหรือผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ จะไม่ได้ตรงนี้ไป
เพราะมีพื้นเพที่ไม่ได้ดีเด่เท่าไหร่ เนี่ยถิงจึงเชื่อในพัฒนาการที่สืบเนื่องมาจากการเข้าถึงทรัพยากรในการฝึกบำเพ็ญ ดังนั้นเขาจึงใช้อำนาจของเขาเพื่อกำหนดให้การจัดการมอบทรัพยากรเป็นไปอย่างเคร่งครัด จะไม่มีการยอมให้มีเส้นสายทหารหรือการรับใต้โต๊ะจากตระกูลที่มีอำนาจต่างๆ เกิดขึ้น สำหรับเนี่ยถิงแล้ว เกณฑ์ที่สำคัญเกณฑ์เดียวคือความสามารถในการฝึกฝน
เขาเล็งเห็นว่าเครือข่ายฟ้าดินจะเจริญเติบโตได้ด้วยการกำจัดการผูกขาดของตระกูลใหญ่ที่มีผลต่อการฝึกบำเพ็ญ เพราะยุคนี้เป็นยุคของความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด!
ที่จริงแล้วหลี่ว์ซู่เองก็ไม่รู้ว่าในตอนที่เขาถูกส่งไปที่ญี่ปุ่นนั้น พวกหัวกะทิที่อยู่ในระดับ A คนอื่นๆ ก็ถูกส่งไปฝึกฝนพิเศษด้วย รวมถึงเฉาชิงฉือและเฉินจู่อานเองก็ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจของตัวเองเหมือนกัน
เฉินจู่อานนั้นโชคไม่ดีเท่าไหร่ เขาคิดว่าคงจะวิเศษมากหากตัวเองถูกส่งไปฝึกฝนกับพวกหัวกะทิคนอื่นๆ แต่ดูเหมือนตัวเขาจะได้รับความสนใจจากราชันฟ้าเนี่ยเป็นพิเศษ…
แท้ที่จริงแล้วเป้าหมายที่สูงสุดของการส่งคนพวกนี้ไปปฏิบัติภารกิจก็เพื่อให้มือของพวกเขาได้เปื้อนเลือดบ้าง จะได้รู้ว่าโลกแห่งความจริงในดินแดนแห่งการฝึกบำเพ็ญนั้นเป็นอย่างไร
พวกหัวกะทิระดับ A จะได้รับการประเมินว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนก็ต่อเมื่อพวกเขาเคยผ่านความยากลำบาก เจอปัญหาและได้ลิ้มรสการฆ่าคนมาก่อน
หากถามเนี่ยถิงว่าจะรู้สึกเสียใจไหมถ้าพวกหัวกะทิระดับ A นั้นถูกฆ่าตายขณะปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องตอบเลยว่าเขาเสียใจแน่ๆ
แต่การส่งพวกเขาไปนั้นเป็นสิ่งจำเป็น พวกเขาต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง เช่นเดียวกับที่ตีเหล็กก็ต้องตีในความร้อน จึงจะหลอมออกมาเป็นเหล็กกล้าได้นั่นแหละ
ดังนั้นในระหว่างนี้เนี่ยถิงเองก็ต้องเคี่ยวกรำหัวกะทิคนอื่นๆ ไปด้วยเช่นกัน และในขณะเดียวกัน เฉาชิงฉือก็ได้ฝังกลบตัวเองในทรายทั้งวันทั้งคืนในการปฏิบัติภารกิจซุ่มโจมตีในทะเลทราย
เป้าหมายของเธอคือคนที่ทรยศเครือข่ายฟ้าดินและหนีจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนไปที่ทางตะวันตก พวกเขาล่วงรู้ข้อมูลลับของเครือข่ายฟ้าดิน ดังนั้นเฉาชิงฉือจึงต้องรับหน้าที่ซุ่มกำจัดคนพวกนั้น
เครือข่ายฟ้าดินบีบให้พวกหัวกะทิต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กดดันตึงเครียดเพื่อช่วยให้พวกเขาเติบโตและแข็งแกร่ง ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะสร้างรากฐานของตัวเองไปแข่งกับพวกตระกูลใหญ่ที่มีต้นทุนดีกว่าได้อย่างไร
ในตอนนั้นเอง หลี่อีเสี้ยวก็พยายามส่งข้อความไปหาตระกูลต่างๆ เพื่อขอความกรุณาให้พวกเขามาซื้อศิลาวิญญาณกว่าหลายพันก้อนในกระเป๋าที เขาบอกไปว่าเขาจะไม่จัดการดูแลตลาดมืดในเมืองลั่วต่อแล้วและขอให้เชื่อในคำพูดของเขาด้วย…
แต่พวกตระกูลใหญ่กลับสงสัยว่าทำไมหลี่อีเสี้ยวถึงมาพูดราวกับว่าเขาเป็นพ่อค้าขายเร่ได้ ทว่าข้อความของหลี่อีเสี้ยวส่งไปก็ค่อนข้างชัดเจน เขาสามารถควบคุมราคาศิลาวิญญาณในตลาดมืดให้อยู่ในราคาที่สมเหตุสมผลได้
เรื่องนี้เรียกความสนใจจากตระกูลใหญ่ได้ทันที ราชันฟ้าหลี่อยากวางมือจากการคุมตลาดมืดหลังจากปิดการขายครั้งนี้ได้งั้นเหรอ แต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าหลี่อีเสี้ยวได้ศิลาเหล่านี้มาจากไหน เพราะใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าราชันฟ้าคนนี้ไม่ค่อยมีเงินออมในบัญชีของเขานัก
แต่ถ้ามองข้ามเรื่องนี้ไปก็ไม่เสียหายอะไรถ้าจะติดต่อขอดูของก่อน เงินกว่าพันล้านหยวนนี่สามารถเอาไปลงทุนในสิ่งอื่นที่มีค่ามากกว่านี้ได้เสมอ ถึงแม้พวกเขาจะต้องการศิลาวิญญาณจำนวนมากก็ตาม แต่ถ้ามันเยอะเกินไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
ในอดีตมีการคาดเดากันว่าอาจหาสกุลเงินกลางเพื่อใช้สำหรับซื้อขายศิลาวิญญาณในโลกของผู้บำเพ็ญโดยเฉพาะ แต่เมื่อลองคำนึงถึงปริมาณศิลาวิญญาณที่มีเทียบกับค่าเงินแล้ว พวกเขาก็รู้ว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการกระจายตัวของศิลาวิญญาณในโลกใบนี้ก็ยังไม่ทราบเป็นที่แน่ชัด
ด้วยเหตุนี้ การซื้อขายศิลาวิญญาณด้วยนสกุลเงินกลางจึงยังไม่เจริญเติบโตมากนัก
เพราะฉะนั้นในตอนนี้ ศิลาพวกนี้มีประโยชน์แค่เอามาเป็นทรัพยากรในการฝึกฝนเท่านั้น
พวกตระกูลใหญ่ๆ มีการเคลื่อนไหวหลังจากได้รับข้อความจากหลี่อีเสี้ยวแล้ว เนื่องจากเมืองลั่วเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของหนึ่งในเจ็ดวิทยาลัยการฝึกฝน ดังนั้นตลาดมืดในเมืองลั่วจึงถือว่าเป็นสถานที่ตั้งที่มีความสำคัญทางภูมิศาสตร์มากเลยทีเดียว!
…
ราชันฟ้าเนี่ยถิงที่อยู่ในเมืองหลวงห่างออกไปหลายไมล์ก็เริ่มขมวดคิ้วขณะที่กำลังอ่านรายงานในมือ
“เขาไม่ได้บทเรียนอะไรเลยใช่ไหมหลังจากที่เขียนหนังสือขอโทษไปน่ะ…”
ในรายงานเขียนไว้ว่าหลี่อีเสี้ยวติดต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในจีนไปทั้งหมดสิบเอ็ดตระกูลเพื่อกระจายข่าวเรื่องการซื้อขายศิลาวิญญาณกว่าพันก้อน มีห้าตระกูลที่ปฏิเสธไปเพราะติดปัญหาเรื่องการเดินทางไกล และพวกเขากลัวว่าตระกูลอื่นๆ จะปล้นของของพวกเขาไปได้ถ้าเกิดการกวาดล้างตลาดขึ้น
นี่ก็เหมือนการเล่นหมากรุกที่ต้องคิดให้ดีก่อนเดินหมาก ต้องพิจารณาถึงประโยชน์และสิ่งที่ต้องเสียไป
ส่วนอีกหกตระกูลที่เหลือจะส่งคนไปที่เมืองลั่ว พวกเขาสนใจอยากซื้อศิลาวิญญาณมาให้ลูกศิษย์ที่ดูแลอยู่และสนใจอยากกระโดดลงไปคุมตลาดมืดเมืองลั่วที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์แทนอีกด้วย
สือเสวจิ้นถามอย่างสงสัย “เขาต้องร่วมมือกับหลี่ว์ซู่แน่ คุณคิดอย่างนั้นไหม คนจนอย่างเขาจะไปเอาศิลามากมายขนาดนั้นมาได้จากไหน…”
“แน่นอน ถ้าสมมุติว่าการคาดเดาของเราถูกต้อง หลี่ว์ซู่จะต้องมีศิลาวิญญาณหลายพันก้อนที่ได้มาจากกลุ่มทวยเทพในมือแน่” เนี่ยถิงค่อยๆ คลายคิ้วที่ขมวดลง
“คุณจะลองไปคุยกับหลี่ว์ซู่ดูไหม” สือเสวจิ้นวางหนังสือลงข้างตัว “ไม่เสียหายอะไรนี่”
คิ้วของเนี่ยถิงกระตุกเล็กน้อย “ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก มันก็แค่ศิลาไม่กี่พันก้อน ไม่ได้เป็นปัญหาขนาดนั้น ไม่แน่ว่าเหตุการณ์นี้อาจทำให้เขาเห็นว่าต่างประเทศนั้นมีทรัพยากรการฝึกในครอบครองมากมายขนาดไหน”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เนี่ยถิงก็พูดต่อ “ปรมาจารย์หุ่นเชิดอยากสร้างชื่อตัวเองในยุโรป แต่เขาก็เอาชนะฝ่ายความศรัทธาไม่ได้ ตอนนี้เขาคงเบนความสนใจไปที่อื่นแล้วล่ะ อเมริกาเองก็มีสมาคมฟีนิกซ์และกลุ่มนักบุญ เขาคงไม่มีโอกาสมากนักหรอก ฉันเกรงว่าเขาจะไปสนใจตะวันออกกลางหรือออสเตรเลียแทน แต่ถึงยังไงฉันก็เชื่อว่าเขาจะไปที่แรกมากกว่า”
สือเสวจิ้นพิจารณาแล้วจึงถาม “ท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหมถ้าเขาจะไปเข้ากับพวกผู้บำเพ็ญในอินเดีย”
ถึงแม้ภายนอกอินเดียจะดูเฟื่องฟู แต่ในด้านของการบำเพ็ญ อินเดียก็ค่อนข้างถดถอยไปแล้ว นักสู้ตัวอันดับต้นๆ หลายคนต่างก็ทยอยร่วงไป แต่ถ้าพินิจดูทรัพยากรการฝึกกับประชากรที่มีมากมาย ผู้บำเพ็ญหลายคนอาจจะยอมขายวิญญาณเพื่อความแข็งแกร่งก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นมันก็ฟังดูเป็นไปได้ ถึงแม้คนพวกนั้นอาจจะไม่รู้ว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดแท้จริงแล้วไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม
และแน่ล่ะว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดสามารถเป็นปิศาจได้เลยทีเดียว!
“จับตาดูด้วยว่าเขาจะเดินไปทางไหนต่อ แต่ยังไงฉันก็ยังไม่มีเวลาสนใจเรื่องนั้น มะรืนนี้ฉันจะไปที่เขาฉางไป๋” เนี่ยถิงกล่าว
“แน่นอนครับ เรื่องนั้นสำคัญกว่าอยู่แล้ว” สือเสวจิ้นพยักหน้าแสดงความเข้าใจ
ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้บอกเพราะเหตุใดเนี่ยถิงจึงต้องมุ่งหน้าไปยังเขาฉางไป๋ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น