ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 555 การรวมตัวที่เมืองลั่วเฉิง

ตอนที่ 555 การรวมตัวที่เมืองลั่วเฉิง

 

 

หลี่ว์ซู่ที่อยู่ในเมืองลั่วไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งของเสี่ยวอวี๋ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากถามเธอ แต่เขายังไม่เคยบอกเสี่ยวอวี๋เรื่องแต้มอารมณ์ที่เขาได้จากเธอ เขาเลยจะอ้าปากถามง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้ เดี๋ยวเสี่ยวอวี๋จะรู้ว่ามีอะไรผิดปกติไป

 

 

กระนั้นหลี่ว์ซู่ก็เลือกถามไปตรงๆ [เสี่ยวอวี๋ เข้ากับเพื่อนที่ค่ายได้หรือเปล่า]

 

 

[อ๋อ ฉันตีพวกเขาไปน่ะ จะได้ไม่มีใครเถียงได้] เสี่ยวอวี๋ตอบกลับอย่างร่าเริง

 

 

[อันนี้แค่พูดเปรียบเทียบใช่ไหม] หลี่ว์ซู่ตะลึง

 

 

[ไม่ใช่ ฉันตีพวกเขาไปจริงๆ จะได้ไม่มีใครกล้าเถียง] เสี่ยวอวี๋ตอบกลับอีกอย่างมั่นอกมั่นใจ

 

 

หลี่ว์ซู่เลยไม่กล้าถามต่อ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กพวกนั้นไป ไม่ใช่เรื่องของเขา…

 

 

ในตอนนี้หลี่ว์ซู่ใช้เวลาทั้งวันเพื่อทบทวนเนื้อหาของเขาอย่างขะมักเขม้น พอตกกลางคืนเขาก็ปลอมตัวเปลี่ยนหน้าตาไปที่ตลาดมืดกับหลี่อีเสี้ยว

 

 

พวกตัวแทนของแต่ละตระกูลมาถึงกันแล้ว ในสมัยนี้การเดินทางนั้นสะดวกสบาย พวกเขาเดินทางมาถึงที่เมืองลั่วในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

 

 

หลายคนมองว่าแบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่ พวกเขายังโหยหาอดีตที่ รถยนต์ ม้า หรือการส่งไปรษณีย์ยังนั้นช้าไปหมด นี่ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าสามารถรักคนคนได้แค่คนเดียวไปตลอดชีวิต

 

 

แต่หลี่ว์ซู่กลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่ผู้คนเลิกซื่อสัตย์ต่อกันหรอก เมื่อก่อนมีคนเหลาะแหละไร้หัวใจร้ายเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์เท่านั้นเหรอ ก็ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย

 

 

ถึงรถยนต์ ม้าและการส่งไปรษณีย์จะช้า แต่คนก็เลือกที่จะไม่ซื่อสัตย์ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการส่งจดหมายทางไปรษณีย์แล้ว

 

 

หลังจากที่ตระกูลทั้งหลายมาถึงเมืองลั่วกันแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้รีบมาทักทายหลี่อีเสี้ยวทันที ช่วงก่อนออกจากบ้าน พวกเขาต่างตื่นตระหนกกัน แต่พอมาถึงเมืองลั่วแล้วจึงได้ว่ากังวลไปก็เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วพวกเขากลัวว่าหลี่อีเสี้ยวจะตั้งราคาสูงเกินไป หลี่อีเสี้ยวคงไปคุยกับทุกตระกูลก่อนจะตัดสินใจอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ดังนั้นพวกเขาจึงรอให้หลี่อีเสี้ยวมา

 

 

พอออดเลิกเรียนดัง หลี่ว์ซู่ก็เดินออกจากโรงเรียนอย่างใจเย็น นี่เป็นเวลาที่ออดเตือนว่าถึงเวลาไปใช้ชีวิตแบบผู้บำเพ็ญแล้ว ไม่ใช่ชีวิตปกติที่ไปเรียนธรรมดาทั่วไป

 

 

พวกเด็กผู้ชายที่อยู่ม.ปลายปีสองไม่ได้วางแผนว่าจะตั้งใจเรียนอะไร พอเลิกเรียนพวกเขาก็พากันวิ่งไปร้านเกมหรือไปเล่นกันที่สนาม

 

 

มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งเริ่มเปิดยทสนทนาอย่างสนอกสนใจขณะกำลังเดินออกจากโรงเรียน “นี่ๆ ได้ยินกันมั้ย เมืองลั่วตอนนี้คึกคักเชียว มีผู้บำเพ็ญหลายคนจากตระกูลใหญ่มากันเต็มเลยล่ะ”

 

 

“ได้ยินว่าถึงขนาดมีคนพูดถึงเรื่องนี้กันในกระทู้ของมูลนิธิด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่างนะ แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าคืออะไร”

 

 

“เออ คงเจ๋งมากเลยถ้าฉันปะทุพลังด้วยเหมือนกัน ใครเป็นคนจัดงานนี้ขึ้นมาล่ะ!” ในขณะที่นักเรียนสองคนคุยกันอย่างร่าเริง พวกเขาก็มองขึ้นไปเห็นหลี่ว์ซู่อยู่ข้างหน้า พวกเขาหยุดพูดทันทีแล้วเดินผ่านหลี่ว์ซู่ไป พอทิ้งระยะห่างออกไปได้แล้วก็เริ่มพูดกันใหม่ พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงอะไรเพราะพวกเขาไม่ชอบนักเรียนคนนี้เป็นอย่างมาก

 

 

หลี่ว์ซู่กลับหลังไปมองตึกเรียนที่ตั้งอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามเย็น เขาหันหลังกลับแล้วก็เดินมุ่งหน้าไปที่ตลาดมืด

 

 

เขาคิดถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมา เขากลับมาจากฐานของพวกทวยเทพประมาณกลางเดือนมกราคม ตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว แต่เสี่ยวอวี๋ต้องอยู่ค่ายฝึกฝนเป็นเดือนๆ งั้นแสดงว่าเขาต้องฉลองตรุษจีนคนเดียวใช่ไหม

 

 

ในขณะที่คิดเรื่องนี้ เขาก็เดินมาถึงหน้าประตูตลาดมืดแล้ว ประตูเหล็กนี่มีสนิมเกาะอยู่

 

 

หลี่ว์ซู่เคาะประตู มีใบหน้าที่ไม่คุ้นตาโผล่มาตรงหน้าต่างเหนือประตู พอเข้าเห็นหลี่ว์ซู่ ตาของเขาก็เป็นประกายและส่งยิ้มให้อย่างประจบประแจง “ท่านที่เคารพ! มาถึงแล้วเหรอครับ!”

 

 

หลี่ว์ซู่กำลังใช้รูปลักษณ์ของเกาเสินอิ่นอยู่ แต่ใช้ชื่อว่ากัสสปะ ตอนนี้ที่ตลาดมืดมีคนสำคัญสองคนด้วยกัน คนแรกก็คือ ‘องค์ท่าน’ ส่วนอีกคนชื่อ ‘กัสสปะ’ สองชื่อนี้พอเรียกรวมกันแล้วฟังดูรื่นหู

 

 

หวังเจ๋อหายตัวไปแล้ว ผู้บำเพ็ญระดับต่ำคนนั้นได้ใช้โอกาสช่วงชุลมุนขโมยศิลาวิญญาณของหลี่ว์ซู่ไปหนึ่งเม็ดและวิ่งหนีไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรหรอก แต่หลี่ว์ซู่หวังว่าหวังเจ๋อจะไม่มาให้เขาเห็นหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง…

 

 

สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วการขโมยศิลาวิญญาณแล้วหนีไปแบบนี้มันก็เหมือนการรนหาที่ให้โดนฆ่า! ศิลาสักเม็ดจะไม่ถูกใครหน้าไหนขโมยไปทั้งนั้น!

 

 

หลี่ว์ซู่เดินไปที่หลุมหลบระเบิดและเข้าไปข้างใน ผู้บำเพ็ญลับบนถนนทักทายเขาอย่างนอบน้อม มีชายวัยกลางคนตัวใหญ่คนหนึ่งเห็นหลี่ว์ซู่แล้วสีหน้าก็สดใสขึ้นมาด้วยความดีใจ “ท่านที่เคารพครับ ผมเอาเหล้าดีๆ มาด้วย ชิมสักหน่อยไหมครับ”

 

 

“ไม่เป็นไรๆ เหล้าของนายจะดีได้สักแค่ไหนเชียว” หลี่ว์ซู่หัวเราะและปฏิเสธเขาอย่างมีชั้นเชิง

 

 

[+199 แต้มอารมณ์จากจางเทียนโก่ว…]

 

 

“ท่านที่เคารพก็ชอบปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแบบนี้ประจำแหละ…” กลุ่มชายแก่ถอนหายใจกันออกมาอย่างรำคาญตอนหลี่ว์ซู่เดินผ่านไปแล้ว

 

 

แต่พวกเขาก็ชอบคุยกับหลี่ว์ซู่เพราะเขานั้นใจดีมาก

 

 

เรื่องนี้ทำให้เพื่อนร่วมชั้นของหลี่ว์ซู่ไม่ค่อยชอบนัก แต่สำหรับพวกผู้บำเพ็ญลับแล้ว พวกเขาเอาหลี่ว์ซู่ไปเปรียบเทียบกับผู้คนที่เคยเจอมาเมื่อก่อน คนพวกนั้นน่ะหน้าด้านแถมยังใจเ**้ยม ถ้าพูดอะไรผิดก็คือตายสถานเดียว

 

 

แต่หลี่ว์ซู่นั้นให้อารมณ์ต่างออกไป พวกเขารู้สึกว่าตราบใดที่ยังจ่ายค่าดำเนินการอยู่ หลี่ว์ซู่จะไม่มาทำให้ทุกอย่างยุ่งยากสำหรับพวกเขา ทุกคนรู้ว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นยอดฝีมือกระบี่คนเดียวกับในคืนนั้นนั่นแหละ เขาแสดงให้เห็นแล้วว่ามีพลังทำลายล้างมากแค่ไหนในคืนนั้น เขาไม่ใช่คนที่พวกผู้บำเพ็ญลับจะไปต่อกรด้วยได้

 

 

แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่ที่เป็นถึงพันตรีของเครือข่ายฟ้าดิน และก็ไม่รู้ด้วยว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนเจรจาตกลงกับองค์ท่านด้วยตัวเอง

 

 

พวกผู้บำเพ็ญลับยังได้ยินข่าวลือกันอีกว่าที่พวกตระกูลใหญ่มากันที่เมืองลั่วนี้ก็เพราะทำข้อตกลงไว้กับองค์ท่าน

 

 

คนสองคนจะเก็บความลับได้ก็ต่อเมื่ออีกคนตายไป หลี่ว์ซู่คิดว่าในเมื่อพวกผู้บำเพ็ญลับรู้เรื่องกันหมดแล้ว เนี่ยถิงเองก็คง… พวกเขาจะหยุดตอนนี้ไม่ได้แล้ว ยอมถอยกลับไปตอนนี้ไม่ใช่ตัวเลือกอีกแล้ว เขาคงทำได้แต่เอาใจช่วยให้หลี่อีเสี้ยวทำสำเร็จ

 

 

พอพวกผู้บำเพ็ญลับรู้ว่าพวกตระกูลใหญ่ๆ กำลังมากัน พวกเขาก็เรียกพรรคพวกให้มารวมตัว สำหรับผู้บำเพ็ญลับแล้ว ตระกูลพวกนี้ร่ำรวยมาก พวกเขาจะทำธุรกิจกันอย่างรอบคอบเพื่อต้องการเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีกว่านี้ในอนาคต ครั้งนี้ตระกูลใหญ่จากทั้งประเทศจะมารวมตัวกันที่เมืองลั่วแห่งนี้

 

 

ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง หลี่ว์ซู่ก็คงไม่เชื่อว่าจะมีผู้บำเพ็ญมากมายที่ถูกมองข้ามไปในทั่วประเทศ หลายๆ คนไม่ได้สืบทอดความสามารถมาด้วย พวกกลุ่มคนส่วนใหญ่มาเดินเส้นทางนี้ได้ก็เพราะว่ามีการปะทุพลังเกิดขึ้น ซึ่งนี่ก็คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ

 

 

ผู้บำเพ็ญลับหญิงบางคนมองว่าหลี่ว์ซู่นั้นทั้งยังหนุ่มยังแน่น แข็งแกร่ง แล้วก็หล่อด้วย หลายคนอยากเสนอตัวให้เขา ถ้าทำอย่างนั้นได้ พวกเธอก็ไม่ต้องติดอยู่ไปกับชายแก่ๆ พวกนั้นอีกต่อไป

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับพวกเธอ ผู้หญิงพวกนั้นก็เลยไม่สนใจเขาแล้ว ในความคิดพวกเธอ อาจจะมีพวกผู้หญิงอีกหลายคนที่ชอบเขาอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเขานั้นทั้งรวย แข็งแกร่ง และเหนือสิ่งอื่นใดก็ตาม เขายังหนุ่มแน่น…

 

 

หลี่ว์ซู่เดินออกไปจนถึงห้องทำงานของหลี่อีเสี้ยว ก่อนที่จะไปถึงประตู เขาก็ได้ยินเสียงน่าหลานเชวี่ยตะโกนใส่หลี่อีเสี้ยวอย่างโกรธเกรี้ยว “ดูสิว่าเธอทำอะไรไร้สาระลงไป!”

 

 

“แล้วทำไมไม่มองจุดดีของฉันบ้างล่ะ!” หลี่อีเสี้ยวตอบอย่างน้อยใจ

 

 

น่าหลานเชวี่ยเงียบไปราวสองวินาที “งั้นดูสิว่าเธอทำอะไรดีๆ ลงไป!”

 

 

หลี่อีเสี้ยวพูดไม่ออก…

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset