ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 560 ขอโทษทีนะ

ตอนที่ 560 ขอโทษทีนะ

 

 

“เธอมีศิลาวิญญาณอยู่กี่เม็ดกัน” หลี่อวิ๋นฉู่ถามอย่างไม่แน่ใจ หลี่ว์ซู่ตั้งใจจะแบ่งศิลาวิญญาณจำนวนแค่ไม่กี่พันเม็ดให้แต่ละตระกูลงั้นเหรอ

 

 

“หมื่นเม็ด” หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ

 

 

เขามีศิลาวิญญาณอยู่กับตัวมูลค่าทั้งหมดสี่พันล้านหยวน หลี่อวิ๋นฉู่มีปัญหาเข้าให้แล้ว… เขายังคงคิดไม่ออกว่าทำไมเขายังงงอยู่ทั้งๆ ที่คิดไปหัวแทบแตกแล้ว

 

 

แต่เดี๋ยวก่อนนะ! หลี่อวิ๋นฉู่มองไปยังหลี่ว์ซู่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา หลี่ว์ซู่ดูสงบใจเย็นมาก เขารู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไอ้หมอนี่อยากจะทำให้ตระกูลใหญ่เหล่านี้ตกอยู่ในความลำบาก ถ้าราคาศิลาพุ่งสูงเกินไปจ่ายกันสู้ไม่ไหว หลี่ว์ซู่ก็จะนั่งลงแล้วเริ่มการเจรจาใหม่อีกครั้ง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ตระกูลหลี่ก็คงจะไม่ใช่ตระกูลแรกที่ถูกทำให้อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอีกแล้ว

 

 

ราคานี้เขาจ่ายได้อยู่แล้ว แต่เหตุผลที่เขาเสนอราคาไปขนาดนี้ก็เพราะอยากจะทำให้ตระกูลอื่นๆ ตกอยู่ในความลำบากเหมือนกัน เพราะถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้วหลี่ว์ซู่ก็คงจะไปคุยเบื้องต้นกับตระกูลอื่นๆ ด้วย แต่ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงตกลงรับข้อเสนอราคาภายในครั้งเดียวแบบนี้กันล่ะ!

 

 

เจ้านี่ทำอะไรไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!

 

 

หลี่อวิ๋นฉู่คิดว่าหลี่ว์ซู่คงจะมีเหตุผลอื่นๆ แอบแฝง แต่จำนวนของศิลานั้นมีจำนวนจำกัดอยู่ที่หมื่นเม็ดเท่านั้น และเครือข่ายฟ้าดินเองก็ไม่น่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย

 

 

พวกตระกูลใหญ่รู้ดีว่าเนี่ยถิงมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากรการฝึกอย่างไร และรู้ด้วยว่าเนี่ยถิงนั้นต้องการข่มอำนาจของตระกูลใหญ่เอาไว้ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เพราะฉะนั้นทำไมเจ้าหมอนี่ถึงเอาศิลาวิญญาณมาได้เยอะขนาดนี้และเอามาแลกเป็นเงินแบบนี้ล่ะ

 

 

หากลองคำนวณการผลิตและการขุดเหมืองของเครือข่ายฟ้าดินแล้ว เครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่มีศิลาวิญญาณเหลืออยู่ในคลังมากนัก และพวกเขาก็ไม่ได้เก็บศิลาวิญญาณไว้สำหรับใช้ในอนาคตเลยด้วย พวกเขาเลือกที่จะแจกจ่ายศิลาให้กับสมาชิกเพื่อให้ช่วยเลื่อนระดับพลังเพื่อเตรียมตัวกับอนาคตที่ไม่แน่นอนในโลกของผู้บำเพ็ญ

 

 

ตัวเลขพวกนี้น่ะปกปิดไม่ได้หรอก แต่ที่สุดแล้วหลี่อวิ๋นฉู่ก็ไม่คิดต่อแล้ว

 

 

พวกเขาลองประเมินดูแล้วว่าหลี่อีเสี้ยวมีศิลาวิญญาณอยู่ครอบครองกี่เม็ด เขาคงไม่ได้ไปกว้านซื้อมาจากตลาดมืดแค่แหล่งเดียวแน่ๆ ดูเหมือนว่าหลี่อีเสี้ยวคงจะได้มาจากการทุจริตขณะเข้าไปในโบราณสถานเกาะช้างครั้งนั้นสินะ ถ้าเป็นแบบนั้นค่อยฟังดูมีเหตุผลขึ้นมาหน่อย

 

 

แต่ถ้าเอาศิลามาได้ทั้งหมดแสนเม็ดคงเป็นจำนวนที่เอามาได้มากที่สุดแล้ว และพวกเขาก็คงจะขายศิลานี้ให้ตระกูลอื่นไม่ได้แน่

 

 

“งั้นหวังว่าจะได้ร่วมงานกันนะ ขอบคุณมากที่จัดการดูแลตลาดมืดนี่อย่างดี ตระกูลหลี่ของเราจะไม่กลับหลังแน่นอน” หลี่อวิ๋นฉู่หัวเราะ

 

 

หลี่ว์ซู่เดินออกจากห้องแล้วเอาศิลาวิญญาณสิบกล่องออกมาจากตราแผ่นดิน เขาได้จัดแจงแบ่งศิลาไว้ในปริมาณน้อยๆ ก่อนหน้านี้เรียบร้อย ซึ่งในแต่ละกล่องจะมีศิลาทั้งหมดพันเม็ด

 

 

หลี่อีเสี้ยวตกใจเมื่อเห็หลี่ว์ซู่ทำแบบนั้น “นี่นายเจรจาตกลงกับตระกูลแรกเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ”

 

 

“ใช่”

 

 

หลี่อีเสี้ยวตะลึงจนพูดไม่ออก ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงได้ไวขนาดนี้เนี่ย ไหนบอกว่ามีศิลาอยู่แค่ไม่กี่พันเม็ดไง ทำไมถึงเอาศิลาออกมามากขนาดนี้ภายในครั้งเดียวได้ล่ะ

 

 

แล้วหลี่ว์ซู่มีเวลาไปนั่งแพ็คศิลาลงกล่องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

 

 

หลังจากที่หลี่ว์ซู่นำศิลาออกมาทั้งหมดหมื่นเม็ด เขาก็ขนพวกมันไปอีกห้องหนึ่งและเปิดกล่องต่อหน้าหลี่อวิ๋นฉู่ “นับดูก่อนนะครับ”

 

 

“ได้สิ ขอเวลาสักครู่นะ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ เราเลยจะต้องระมัดระวังสักหน่อย” หลี่อวิ๋นฉู่พาหลี่อวิ๋นมู่กับคนอีกสองคนเข้ามานับศิลาวิญญาณ

 

 

เมื่อเห็นว่ามีภาษาญี่ปุ่นสลักอยู่บนศิลาแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ ศิลาพวกนี้ไม่ได้มาจากเครือข่ายฟ้าดินแน่ๆ และหลี่อีเสี้ยวก็ได้ศิลาพวกนี้มาจากช่องทางอื่น

 

 

หรือว่าศิลานี้จะได้มาจากโนกิวะ ทาเกะโนบุที่ตายไปที่โบราณสถานเกาะช้างกันนะ หลี่อวิ๋นฉู่เริ่มเดาไปเรื่อย แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่สำคัญแล้ว พวกเขาได้ศิลาวิญญาณตามที่หลี่อีเสี้ยวได้สัญญาไว้ว่าจะให้เรียบร้อย ตลาดมืดนี่ตกเป็นของตระกูลหลี่ในที่สุด!

 

 

หลี่ว์ซู่หยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขึ้นมา เขาเอาสายอินเทอร์เน็ตมาด้วย แต่ก็ยังไม่ได้ปิดเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ หลังจากที่หลี่อวิ๋นฉู่โอนเงินมาให้เรียบร้อยแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ยิ้มออกมา “ตระกูลหลี่นี่ใจกว้างมากเลยนะครับ!”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอกลับก่อนล่ะ เดี๋ยวจะส่งคนมาจัดการรับตลาดมืดนี่วันหลังนะ” หลี่อวิ๋นฉู่พูด

 

 

“อย่ารีบร้อนไปเลยครับ” หลี่ว์ซู่พูดพลางยิ้ม “พักผ่อนให้สบายที่นี่ก่อนเถอะครับ”

 

 

พูดเสร็จหลี่ว์ซู่ก็เดินออกจากห้องไป หลี่อวิ๋นฉู่อยากถามต่อว่าทำไมถึงไม่ยอมให้พวกเขากลับ แต่หลี่อีเสี้ยวก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูเพื่อกันไม่ให้พวกเขาออกไปได้

 

 

แล้วอยู่ๆ หลี่อวิ๋นฉู่ก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ แต่คงไม่หรอกน่า!

 

 

พูดกันตามตรงแล้ว หลี่อีเสี้ยวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าหลี่ว์ซู่ขายศิลาวิญญาณไปหมดแล้วเหรอ ทำไมถึงยังต้องไปคุยกับตระกูลอื่นๆ อีก

 

 

แต่อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงให้หลัง หลี่ว์ซู่ก็เดินออกมานำศิลาวิญญาณสิบกล่องจากตราแผ่นดินกลับเข้าไปในห้องอีกเหมือนเดิม

 

 

หลี่อีเสี้ยวพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ตะลึงอยู่อย่างนั้น…

 

 

พวกตระกูลเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่หลี่อีเสี้ยวเห็นกับตาตัวเองว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนเอากล่องศิลากว่าสองหมื่นเม็ดออกมา หลังจากนั้นก็เป็นสามหมื่น… แล้วก็สี่หมื่น…

 

 

ขนาดหลี่อีเสี้ยวเองยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าว่าแต่ตระกูลอื่นๆ เลย! แต่ละตระกูลคิดว่าหลี่ว์ซู่นั้นมีศิลาวิญญาณอยู่ในมือเยอะก็จริง แต่มีเพียงพอจะขายให้แค่ตระกูลเดียวเท่านั้น

 

 

เนี่ยถิงก็คิดว่าหลี่ว์ซู่มีศิลาอยู่ในมือไม่กี่พันเม็ด แต่เขาก็ยังเฝ้าดูสถานการณ์อยู่

 

 

หลี่อีเสี้ยวก็คิดว่าหลี่ว์ซู่มีไม่กี่พันเม็ดเช่นกัน และส่วนแบ่งที่ได้ศูนย์จุดหนึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นก็ช่างน้อยนิดเหลือเกิน

 

 

แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้นจนได้ ทุกคนคิดกันไปต่างๆ นานา แต่ก็ไม่คาดคิดว่าหลี่ว์ซู่จะมีศิลามากถึงเพียงนี้

 

 

ถ้าเทียบกับการเล่นเกมก็เหมือนกับว่าทุกคนในที่นี้ล้วนคิดว่าตัวเองเป็นผู้เล่นเกมที่เก่งมากแล้ว ฮ่าๆ ต่อให้โจมตีไปมั่วๆ ก็ยังยืนหนึ่งไปจนจบแมตช์ ทว่าในตอนสุดท้าย ภาพผู้เล่นที่ยืนอยู่เป็นคนสุดท้ายกลับเป็นไอ้ขี้โกงคนหนึ่ง!

 

 

เจอแบบนี้ช็อกไหมล่ะ ตาแตกกันเลยไหม

 

 

ตอนที่หลี่ว์ซูเจรจากับตระกูลที่ห้า เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปตอนเห็นอาวุธที่พวกเขาเอามาแสดง ตอนที่พวกเขาหยิบอาวุธออกมานั้น เปลวเพลิงสีขาวที่อยู่ในอกเขาก็ลุกโหมขึ้นมา นี่เหมือนกับตอนที่เขาเจอปรมาจารย์หุ่นเชิดเป็นครั้งแรกเลย นี่มันอะไรกันเนี่ย

 

 

แต่เขาก็ควบคุมเสียงไม่ให้สั่นและคุยกับตระกูลต่อไป เมื่อจังหวะเหมาะๆ มาถึง เขาก็เล่นกลยุทธ์เดิมกับตระกูลนั้นและเก็บอาวุธที่ได้มาเข้ากระเป๋า

 

 

หลังจากที่หลี่ว์ซู่เจรจากับตระกูลที่หกเสร็จสิ้น เขาก็ลากหลี่อีเสี้ยวออกไป “รีบออกไปกันเถอะ ถ้าออกกันช้ากว่านี้เรามีปัญหากันแน่…”

 

 

ตระกูลเหล่านั้นนั่งรอกันได้ แต่เมื่อผ่านไปชั่วโมงให้หลังแล้วพวกเขาก็รู้ว่านี่ไม่ถูกต้อง มีคนลองเปิดประตูออกมาแล้วมองดูข้างใน แล้วก็พบว่าหลี่ว์ซู่และหลี่อีเสี้ยวนั้นหายตัวไปกันแล้ว!

 

 

“หลี่อีเสี้ยว หายไปไหนน่ะ!” น่าหลานเชวี่ยตะโกนถาม

 

 

แต่น่าหลานเชวี่ยก็ยังมีความสุขที่หลี่ว์ซู่ตรงเข้าประเด็นเลยในการตกลงซื้อขายเพราะหลี่อีเสี้ยวคุยมาก่อนไว้แล้ว ให้ตายเถอะ! อีตาตุ้ยนุ้ยนี่ก็ไม่เคยบอกเธอเลยสักนิดว่าเขาหลงเธอจนหัวปักหัวปำขนาดนี้

 

 

ตระกูลอื่นๆ เริ่มเดินออกมาจากห้องรับรองกันแล้ว น่าหลานเชวี่ยก็เลยยิ้มออกไปแล้วพูดว่า

 

 

“ขอโทษทีนะคะทุกคน…”

 

 

“ขอโทษทีนะครับ…”

 

 

“ขอโทษ…”

 

 

ทุกคนก็ต่างแย่งกันพูดคำนี้ แต่แล้วพวกเขาก็คิดได้ว่าทำไมจะต้องมาขอโทษด้วย มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเลยนี่นา มันเป็นความผิดของไอ้พวกนั้นต่างหาก!

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากน่าหลานเชวี่ย +999!]

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเกาเสินอิ่น +999!]

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่…]

 

 

แล้วคืนนั้นก็เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในโลกของผู้บำเพ็ญที่เมืองลั่ว!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset