ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 557 ผิดบท

ตอนที่ 557 ผิดบท

 

 

หลังจากที่หลี่ว์ซู่คุยตกลงรายละเอียดเรื่องการนัดพบตระกูลใหญ่กับหลี่อีเสี้ยวเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกไป เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการนัดแนะว่ามีอะไรที่ต้องเน้นเป็นพิเศษบ้าง อย่างแรกคือต้องปล่อยให้พวกตระกูลใหญ่จัดการคุยกันเองระหว่างตระกูลก่อน หลังจากที่พวกเขาคุยเสร็จแล้วถึงค่อยยื่นข้อเสนอให้ อย่างที่สอง พวกเขาจะเดินทิ้งตลาดมืดนี่ไม่ได้ พวกเขาต้องรอจนกว่าการเจรจาจะจบลง จากนั้นค่อยคุยกันเรื่องรายละเอียดว่าจะดำเนินการธุรกิจตลาดมืดนี่ต่อไปอย่างไร

 

 

สำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว ตลาดมืดที่นี่ถือเป็นธุรกิจที่ใช้ได้เลย ก่อนหน้าที่เขาเปิดร้านขายเต้าหู้เหม็นข้างถนนหรือกุยช่ายนั้นไม่นับว่าเป็นธุรกิจแบบจริงจัง ถ้าหลี่อีเสี้ยวทำธุรกิจตลาดมืดนี่ต่อไป หลี่ว์ซู่ก็มีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากกำไรทั้งหมด ตลาดมืดแห่งนี้จะกลายเป็นธุรกิจแห่งแรกที่หลี่ว์ซู่สามารถหวังผลรายได้ที่แน่นอนได้

 

 

ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็คิดว่าหลี่อีเสี้ยวจะบอกกับทุกคนว่าพวกเขาจะขายศิลาวิญญาณกันและเด้งตัวออกจากตลาดมืดแห่งนี้ไป แล้วพอขายได้ค่อยกลับมาคุมตลาดมืดอีกครั้ง เรื่องแบบนี้ไม่ทำให้หลี่อีเสี้ยวยุ่งยากใจขึ้นหรอกเหรอ

 

 

แต่พอได้คุยกันแล้ว หลี่ว์ซู่ก็รู้ว่าเขาดูถูกศีลธรรมของหลี่อีเสี้ยวไปหน่อย หลี่อีเสี้ยวไม่มีทางจะปล่อยให้ตลาดมืดนี้ตกไปอยู่ในมือของใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเขาคือองค์ท่านที่ควบคุมพื้นที่แห่งนี้นี่นะ!

 

 

หลักการของหลี่อีเสี้ยวคือการไม่มีหลักการตายตัวนี่แหละ

 

 

เขาทั้งสองคนเข้าขากันดีมาก หลี่อีเสี้ยวคิดเรื่องนี้และพูดออกมาว่าเขาไม่รู้ว่าจะไปตกลงกับพวกตระกูลใหญ่ๆ อย่างไรหลังจากการเจรจายุติแล้ว แต่หลี่ว์ซู่เองกลับไม่คิดอย่างนั้น

 

 

หลี่ว์ซู่เดินออกจากห้องทำงานของหลี่อีเสี้ยวและเตรียมตัวกลับบ้าน เขายังต้องตื่นแต่เช้ามาฝึกกระบี่ อีกอย่าง เขาสะสมแต้มอารมณ์มากพอจะจุดประกายกลุ่มดาวที่สามได้แล้วด้วย เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอาแต้มไปหมุนวงล้อ เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงการซื้อผลชี่ไห่

 

 

ถ้าเขาอยากสร้างภูเขาหิมะขึ้นมา เขาต้องพึ่งตัวเองและฝึกฝนให้หนักแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าหลี่เสียนอีนั้นเปิดทะเลแห่งพลังได้ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักด้วยตัวเอง มีแต่หลี่ว์ซู่เท่านั้นที่ใช้ทางลัด

 

 

การใช้ทางลัดนั้นก็มีข้อดีของมันเหมือนกัน แต่เขาจะพลาดอะไรไปหลายอย่าง เช่นรายละเอียดต่างๆ และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการฝึกฝน หลี่ว์ซู่ตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างภูเขาหิมะขึ้นมาใหม่จากการฝึกอย่างหนักเพื่อเป็นการชดเชยให้กับสิ่งที่เขาพลาดไปหลังจากเลือกใช้ทางลัดแบบนี้

 

 

หลี่ว์ซู่เดินออกไปได้ไม่นานก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจสุดขีด เกาเสินอิ่นเองก็ตกใจเช่นกัน…

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเกาเสินอิ่น +666!]

 

 

หลี่ว์ซู่ที่กำลังตกตะลึงนั้นไม่เข้าใจ ทำไมเกาเสินอิ่นถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ!

 

 

เกาเสินอิ่นนั้นตกใจยิ่งกว่า เขาไปทำภารกิจที่ชายแดนของเตียนนานในตอนที่มีผู้เฒ่าในตระกูลบอกว่ามีคนหน้าเหมือนเขาเป๊ะๆ ปรากฏตัวขึ้นมา และต้องประหลาดใจยื่งขึ้นไปอีกตอนได้ยินว่าคนหน้าเหมือนเขาคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญกระบี่ ชื่อเสียงของยอดฝีมือคนนี้แพร่ไปไกลมากในโลกของผู้บำเพ็ญ

 

 

เกาเสินอิ่นต้องรีบกลับบ้านไปคุยกับพ่อแม่ หลี่อีเสี้ยวได้ติดต่อมาที่ตระกูลเกาด้วยเหมือนกัน ตระกูลเกาก็เลยรีบบึ่งกันมา!

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าหลี่อีเสี้ยวติดต่อตระกูลเกาไปด้วย หลี่อีเสี้ยวไม่ได้พูดเรื่องตลาดมืดกับน่าหลานเชวี่ย และน่าหลานเชวี่ยเองก็ไม่ได้คาบเอารายละเอียดที่ได้มาจากหลี่อีเสี้ยวไปบอกกับใคร เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ในตอนนี้จึงกระอักกระอ่วนมากทีเดียว

 

 

หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกแล้วว่าการทำงานกับหลี่อีเสี้ยวนั้นเหมือนการเปิดตำราที่เต็มไปด้วยตัวอย่างของความสัมพันธ์ที่เป็นอันตรายต่อกันและกัน…

 

 

พอตอนนี้คนคนนั้นก็มาปรากฏตัวต่อหน้าแล้ว เขาจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ พวกผู้บำเพ็ญลับที่เดินผ่านไปมาก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาเพิ่งเห็นว่าท่านที่เคารพนั้นเข้าไปในห้องของหลี่อีเสี้ยว แล้วอยู่ๆ ท่านที่เคารพอีกคนก็เดินตามหลังมาติดๆ ฮ่าๆๆ เชื่อด้วยเหรอว่านี่เป็นเรื่องจริงน่ะ

 

 

แต่พวกผู้บำเพ็ญลับพวกนี้เคยพูดกับหลี่ว์ซู่มาก่อนแล้วช่วงก่อนหน้านี้ไม่กี่วันแล้ว หลี่ว์ซู่นั้นมักจะพูดจาด้วยคำพูดใจร้าย ทิ้งให้พวกเขารู้สึกอะไรบางอย่างไปนาน นิสัยนี้น่ะเด่นชัดเหมือนกับตะเกียงที่ส่องสว่างในคืนที่มืดมนเลยล่ะ

 

 

เพราะฉะนั้นพวกผู้บำเพ็ญลับจึงรู้ว่าชายคนแรกนั้นคือท่านที่เคารพตัวจริง ส่วนชายคนที่เดินตามหลังไปน่ะแค่คนที่หน้าเหมือนกันเท่านั้น แต่ไม่ใช่คนเดียวกัน เพราะเกาเสินอิ่นไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

 

 

“นาย…” หลี่ว์ซู่คิดไตร่ตรองปฏิกิริยาของเขาอย่างรวดเร็ว

 

 

“พี่ชาย!” ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะทันได้ทำอะไร เกาเสินอิ่นก็พูดออกมา หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย

 

 

บทนี้มัน…ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นะ!?

 

 

เกาเสินอิ่นว่าต่อ “พี่ชาย! ปีสองปีนี้ไปทำอะไรมาน่ะ รู้ไหมว่าพ่อกับแม่ก็มาด้วย แต่พวกเขากลัวว่าพี่ไม่อยากจะไปเจอพ่อกับแม่ พวกเขาก็เลยส่งผมมา กลับบ้านกันเถอะนะ”

 

 

“…นี่นายมีพี่ชายฝาแฝดด้วยเหรอ” หลี่ว์ซู่ถาม

 

 

“พี่ชาย หยุดพูดอย่างนั้นเถอะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย” เกาเสินอิ่นพูดตอบ

 

 

เอิ่ม…

 

 

หลี่ว์ซู่ไปต่อไม่เป็นเลย

 

 

ก่อนหน้านี้ที่เขาบังเอิญเจอคิตามุระ ฮิโรโนะเข้า เขาก็บอกไปว่าเขาเป็นน้องชายฝาแฝดของฮิโรโนะ พอมาตอนนี้เขาปลอมตัวเป็นเกาเสินอิ่น ทำไมเกาเสินอิ่นตัวจริงถึงบอกว่าเขามีพี่ชายฝาแฝดขึ้นมา!

 

 

“ฉันไม่ใช่พี่ชายนาย ทักผิดคนแล้วล่ะ ไปก่อนนะ” หลี่ว์ซู่ตอบขณะเดินหนี เขาต้องหลบไปคิดก่อนว่าเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาแล้วค่อยทำงานต่อกับหลี่อีเสี้ยวดีหรือไม่

 

 

แต่ทันใดนั้นเกาเสินอิ่นก็ดึงแขนหลี่ว์ซู่ไว้ “พ่อกับแม่น่ะคิดผิดที่ไม่ยอมเคารพความต้องการของพี่ แต่เรื่องมันก็ผ่านไปหลายปีแล้วนะ ให้อภัยพวกเขาเถอะ พี่ไม่ได้อยากปกปิดหน้าตาตัวเองแล้วก็หนีไปเหรอ ทำไมตอนนี้พี่ถึงไปฝึกกระบี่แล้วล่ะ”

 

 

หลี่ว์ซู่จะเป็นบ้าตาย นี่มันเรื่องดราม่าอะไรกันเนี่ย เขาไม่อยากเล่นตามน้ำต่อไปแล้วนะ!

 

 

เขาตบบ่าเกาเสินอิ่น “ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวมาคุยด้วยใหม่นะ”

 

 

หลี่ว์ซู่รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ในหลุมหลบระเบิด เขารีบเปลี่ยนชุดและหน้าตาก่อนออกไป ตอนที่เขาเดินผ่านเกาเสินอิ่น เขาก็ยังเห็นเกาเสินอิ่นรออย่างมีความหวังอยู่หน้าห้องน้ำ…

 

 

ขอโทษด้วยนะที่ทำนายผิดหวังน่ะไอ้น้องชาย…

 

 

คืนต่อมาก็มีข่าวแพร่ไปในหมู่ผู้บำเพ็ญ เล่ากันว่ายอดฝีมือที่ปรากฏตัวในเมืองลั่วนั้นจริงๆ แล้วเป็นหัวกะทิจากตระกูลเกาที่หนีออกจากบ้านไป เขาคนนั้นเป็นพี่ชายฝาแฝดของเกาเสินอิ่น

 

 

แต่เนื่องจากเรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว และคนรุ่นใหม่อย่างเกาเสินอิ่นก็ไม่ได้รับความสนใจนักในยุคที่พลังจิตวิญญาณเสื่อมถอย ก็เลยไม่มีใครใส่ใจกับข่าวนี้มากนัก

 

 

แต่พวกตระกูลใหญ่ทั้งหลายกลับตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าตระกูลเกานั้นจะผลิตยอดฝีมือระดับ B ออกมาได้!

 

 

หลี่ว์ซู่นั่งอยู่บนเตียง เขาร้องเพลงดาวดวงน้อยไปพลาง คิดถึงเรื่องยุ่งเหยิงเมื่อสักครู่ไปพลาง แล้วเขาก็คิดอะไรออก ไม่นานหลังจากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เห็นแต้มอารมณ์ในระบบเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเกาเสินไจ้ +199, +201…]

 

 

ไม่มีใครจะโง่ยอมให้แต้มอารมณ์จากพี่น้องสองคนนี้หลุดมือไปหรอก

 

 

ขณะที่หลี่ว์ซู่เริ่มคิดว่าจะใช้หน้าตาแบบไหนต่อไปดี พวกตระกูลใหญ่ก็เริ่มคิดกันว่า พวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของเกาเสินไจ้แล้ว และที่ยิ่งไปกว่านั้น เกาเสินไจ้เองก็มาที่เมืองลั่วนี้อย่างรวดเร็วและถึงขนาดกล้าปะทะกับราชันฟ้าเลยทีเดียว นี่หมายความว่าพวกตระกูลเกาหมายตาตลาดมืดเมืองลั่วนี่มานานแล้วใช่ไหม

 

 

ดูเหมือนว่าตลาดมืดบริเวณวิทยาลัยผู้บำเพ็ญนี่จะต้องตาของใครหลายคนเลยนะ ตระกูลเตียน น่าน เกานี่เตรียมตัวกันมานานแล้วจริงๆ!

 

 

ในความคิดของพวกเขา เกาเสินไจ้ที่มาปรากฏตัวไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ไม่มีตระกูลไหนหรอกที่ไม่มีเด็กที่หนีออกจากบ้านไป แต่นี่กลับมาเร็วขนาดนี้เชียว ยังไงท้ายที่สุดแล้วเลือดก็ข้นกว่าน้ำ เกลียดกันในตระกูลจริงๆ ไม่ลงหรอก

 

 

เกาเสินไจ้นี่แหละที่เป็นอาวุธลับของตระกูลเกาที่แท้จริง!

 

 

ในคืนนั้น แต่ละตระกูลที่มาถึงเมืองลั่วแต่ยังไม่ได้ระดมพลกันมาก็รีบติดต่อไปที่หลี่อีเสี้ยวทีละคน พวกเขาคิดว่านี่อาจช้าเกินไปหน่อยแล้ว และพวกเขาก็รออีกต่อไม่ได้แล้ว!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset