ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 559 ตกลงซื้อขาย

ตอนที่ 559 ตกลงซื้อขาย

 

 

“อาวุธที่พวกเราเอามาน่ะดีกว่าของใครๆ แถมเราก็ยังจริงใจกับราชันฟ้าหลี่และเธอด้วย” หลี่อวิ๋นฉู่พูด

 

 

“ผมไม่สนเรื่องจริงใจไม่จริงใจหรอกครับ ผมขอดูของแล้วตัดสินใจเองดีกว่า” หลี่ว์ซู่พูดแล้วยิ้ม “วิทยาลัยลั่วเฉิงเพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ พอโฆษณาเรื่องการตกลงซื้อขายนี้แพร่ออกไปก็เรียกพวกผู้บำเพ็ญให้มากันได้ตั้งเยอะ ผลประกอบการของตลาดมืดในลั่วเฉิงนี้ก็ถือว่าอยู่สูงสุดในประเทศเลยมั้ง ไม่ได้อยากจะพูดให้เกินจริงแต่ธุรกิจขนาดนี้ไม่ใช่เล็กๆ นะครับ”

 

 

“แต่เธอก็ต้องเข้าใจหน่อย” หลี่อวิ๋นฉู่สพูดอย่างใจเย็น “ว่าตระกูลแต่ละตระกูลแข่งขันกันอย่างจริงจังมาก ฉันไม่คิดหรอกนะว่าเงินหมุนเวียนที่นายมี…”

 

 

คนคนนี้เตรียมพร้อมจะสู้กลับแล้วสินะ หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมา “ผมเองก็รู้สึกได้ว่าตระกูลอื่นก็คงคิดเหมือนคุณนะ ผมขอถามให้แน่ใจหน่อย คุณตั้งใจจะปะทะกับพวกเรางั้นเหรอครับ”

 

 

“…ไม่ เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะ”

 

 

[แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่ +299!]

 

 

หลี่อวิ๋นฉู่เพิ่งเข้าใจผลประโยชน์ของการแยกแต่ละตระกูลออกจากกันดังที่หลี่อีเสี้ยวและหลี่ว์ซู่ทำ เพราะพวกเขาไม่มีทางสื่อสารกันได้ พวกเขาจึงไม่มีทางหารือกันจนได้ความเห็นออกมาเป็นเอกฉันท์

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ในการแข่งขันกันครั้งนี้ ตระกูลใหญ่ทั้งหมดถือว่าเสียเปรียบเป็นอย่างมาก

 

 

หลี่ว์ซู่มีแผนสำรองเพราะเขายังมีโอกาสได้ไปคุยกับตระกูลอื่นๆ แต่หลี่อวิ๋นฉู่นั้นไม่มีแผนสำรองอะไรทั้งนั้น

 

 

หลี่ว์ซู่นั่งประจันหน้ากับหลี่อวิ๋นฉู่ คิดว่าจะพูดอะไรต่อไป “เรื่องราคาของศิลาวิญญาณนั้นเอาไว้เป็นเรื่องรอง เรื่องหลักๆ ที่เราจะคุยกันคือทุกคนเอาวุธและทรัพยากรสำหรับการฝึกมามากขนาดไหน ศิลาวิญญาณนั้นราคาสูงอยู่แล้ว เราไม่เสียเงินอะไรทั้งนั้นหากขายให้กับพวกคุณ แต่ถ้าพวกเราวางมือจากตลาดมืดนี่ไปทั้งอย่างนั้น มันก็คงเสียหายมหาศาลเลยใช่ไหมครับ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วเงื่อนไขของเราก็คือเมื่อทุกคนซื้อศิลาวิญญาณไปแล้ว ทุกคนก็ต้องเอาอาวุธที่เตรียมกันมาแลกเอาศิลาวิญญาณไป”

 

 

“เดี๋ยวนะ นี่แปลว่าให้เอาอาวุธมาแลกศิลาใช่มั้ย ก็แปลว่าเราต้องยกอาวุธให้พวกเธอแบบฟรีๆ งั้นสิ” หลี่อวิ๋นฉู่ขมวดคิ้ว “อาวุธพวกนี้ไม่ใช่ถูกๆ เลยนะ!”

 

 

“อาวุธมีทั้งถูกทั้งแพงทั้งนั่นแหละครับในอาณาจักรแห่งความมืดนี่ แต่ตามปกติแล้วก็จะประมาณร้อยล้านหยวนต่อชิ้นได้ ผมว่าคุ้มออกนะที่จะเอาอาวุธพวกนั้นมาแลกกับตลาดมืดทั้งตลาด” หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ

 

 

หลี่อวิ๋นฉู่เพิ่งเข้าใจว่าหลี่ว์ซู่นั้นไม่ได้สนใจเรื่องศิลาวิญญาณเลย การแลกเปลี่ยนเงินกับศิลาวิญญาณดูเหมือนจะยุติธรรมดีนะ แต่มันจะคุ้มจริงเหรอถ้าเอาอาวุธหนึ่งชิ้นมาแลกกับตลาดมืดทั้งตลาดแบบนี้

 

 

งั้นมันก็แปลว่าพวกเขากำลังซื้อศิลาวิญญาณที่มีราคาสูงกว่าในตลาดทั่วไปหลายเท่าตัว!

 

 

“งั้นขอดูอาวุธที่คุณเอามาหน่อยได้ไหม ใครจะรู้ อาวุธของคุณอาจจะแข็งแกร่งกว่าของตระกูลอื่นก็ได้ นี่ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดผลการเจรจาได้นะ”

 

 

เจตนาที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่ดูจะเผยออกมาแล้ว ความตั้งใจแรกของหลี่ว์ซู่คือการเอาอาวุธมาให้ได้ และเอาวุธพวกนี้แหละคือความตั้งใจจริงของการซื้อขายนี้

 

 

พวกตระกูลใหญ่ไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะเป็นขี้เหนียวขนาดนี้ เขาแยกตระกูลทุกตระกูลออกจากกันแล้วตั้งตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าในการเจรจาต่อรอง ตอนนี้ก็สายไปแล้วที่พวกเขาจะเดินออกไป ถึงแม้อยากออกใจแทบขาดก็เถอะ

 

 

หลี่อวิ๋นฉู่คิดอย่างหนัก ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือหลี่ว์ซู่ขอมากเกินไปแล้ว แต่พอมาคิดดีๆ แล้ว ตระกูลของตนก็น่าจะยังพอรับได้อยู่ นี่หลี่ว์ซู่คิดอยากจะเอาอาวุธของพวกเขาไปตั้งแต่ต้นเลยเหรอ

 

 

จนถึงตอนนี้หลี่อวิ๋นฉู่ก็ยังไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เป็นใครกันแน่ เขาประหลาดใจมาก ทำไมคนที่จัดการการเจรจาครั้งนี้ถึงไม่ใช่หลี่อีเสี้ยวแต่เป็นหลี่ว์ซู่ กลับกันแล้วหลี่อีเสี้ยวนั้นดูราวกับเป็นอันธพาลที่ถูกจ้างมาเฝ้าหากมีใครในตระกูลใหญ่ทำตัวไม่ดี

 

 

ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่เนี่ย เป็นยอดผู้เจรจาตัวเอ้ของหลี่อีเสี้ยวเหรอ แต่เขาก็ไม่ได้ดูเป็นแบบนั้น เขาใส่ใจในพฤติกรรมที่แสดงออกมามาก ทั้งคำพูดและความคิดก็ห่างชั้นจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการเจรจาโดยสิ้นเชิง

 

 

หลี่อวิ๋นฉู่มองไปที่ลูกพี่ลูกน้องที่มาด้วยกันข้างๆ หลี่อวิ๋นมู่หยิบจี้หยกสีม่วงออกมาจากกระเป๋าของเขา แล้วหลี่อวิ๋นฉู่ก็พูดว่า “หยกชิ้นนี้ถูกส่งผ่านกันมาในตระกูลฉันกว่าหลายรุ่น ใส่แล้วจะทำให้เพ่งสมาธิได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องระบบไหลเวียนเลือดและช่วยชะลอความแก่ อีกอย่าง จี้นี่ยังช่วยให้เธอไม่หมกมุ่นกับการฝึกฝนมาเกินไปอีกด้วย”

 

 

หลี่ว์ซู่หยิบหยกมาดูแล้วเก็บใส่กระเป๋า “มีอย่างอื่นอีกไหม”

 

 

หลี่อวิ๋นฉู่อึ้ง

 

 

เอาใส่เข้ากระเป๋าแบบนั้นน่ะ ยังไม่ทันตกลงเจรจากันเลย! แล้วอยากจะได้เยอะขนาดไหนเนี่ยน้องชาย!

 

 

[แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่ +666!]

 

 

“คิดเหรอว่าหยกชิ้นเดียวจะพอ ถึงหยกชิ้นนี้จะช่วยให้ร่างกายไม่หมกมุ่นกับการฝึกมากเกินไปแต่ว่าประสิทธิภาพอื่นๆ นี่ธรรมดามากเลยนะ คุณคิดว่าผมไม่รู้อะไรเลยเหรอ” หลี่ว์ซู่ว่า

 

 

ในความเป็นจริงแล้วหยกนี้ถือว่าแพงมากในตลาด ทั้งยังเหมาะจะให้ผู้หญิงมากกว่าที่จะเอามาให้ผู้บำเพ็ญ มีคนดังคนหนึ่งเคยจ่ายเงินหนึ่งร้อยยี่สิบล้านหยวนเพื่อซื้อหยกชิ้นหนึ่ง ราคานี้ถือว่าถูกกว่าการไปฉีดหน้าหรือไปทำศัลยกรรมอีกนะ ก็โฆษณามาว่าดูแลสุขภาพได้และทำให้ความสาวคงทนได้ขนาดนี้!

 

 

แต่สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วมันไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรมาก ตระกูลหลี่พูดอย่างชัดเจนเลยว่าหยกชิ้นนี้จะต้องถูกแลกเปลี่ยนเป็นเงินเท่านั้น แต่ไม่ใช่สำหรับในจำนวนเงินที่เท่ากัน นี่เป็นเพราะพวกผู้บำเพ็ญผู้หญิงไม่ต้องใส่หยกชิ้นนี้ก็ได้ ในขณะที่ผู้บำเพ็ญผู้ชายเองจะเน้นฝึกในเรื่องความแข็งแกร่งมากกว่า หยกชิ้นนี้เลยมีค่าน้อยมาก แต่ถ้าเอาไปขายในตลาดปกติธรรมดาก็คงขายดี แต่ในโลกของผู้บำเพ็ญแล้วมันไม่ค่อยมีค่ามากเท่าไหร่

 

 

ถึงแม้ว่าตอนนี้หลี่อวิ๋นฉู่จะอยู่ในสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็ยังไม่ยอมให้ใครมาควบคุมได้ “งั้นถ้าไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ การตกลงก็ยุติเท่านี้แหละ”

 

 

หลี่ว์ซู่ยังอยากเจรจาต่อ ทั้งสองฝ่ายเองก็ก็ไม่อยากจะทำให้มันยืดเยื้อไปนาน หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าตระกูลพวกนี้น่ะดื้อด้านขนาดไหนถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาวุธที่มีในครอบครอง พวกเด็กๆ ในตระกูลเองก็ไม่ได้โง่ ถึงอาวุธจะมีค่ามากขนาดไหน พวกเขาก็ยังหาตลาดขายมันไม่ได้

 

 

ก็คงจะไม่มีใครโง่พอที่จะเอามาวางขายอย่างไม่ระมัดระวังหรอก

 

 

“ผมขอถือหยกไว้ก่อนแล้วกัน หวังว่าทุกคนคงไม่กลัวกันว่าผมจะขโมยหยกนี่หนีไปหรอกใช่ไหมครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ

 

 

“จิตวิญญาณของพวกเรายังอยู่ที่นี่ไง” หลี่อวิ๋นฉู่หัวเราะออกมาอย่างไม่แยแส

 

 

ถึงเขาจะพูดออกไปแบบนั้นแต่เขาก็กังวลใจอยู่ดี เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่ากำลังต่อรองอยู่กับใครกันแน่

 

 

“งั้นผมก็พอใจกับหยกนี่แล้วล่ะครับ มาคุยกันเรื่องราคาศิลาวิญญาณกันดีกว่า” หลี่ว์ซู่พูดพลางหัวเราะ หลี่อวิ๋นฉู่มองหน้าหลี่ว์ซู่ เมื่อกี้ยังบอกไม่ชอบอยู่เลยไม่ใช่เหรอ

 

 

“งั้นราคาเท่าไหร่ล่ะ” หลี่อวิ๋นฉู่ถาม

 

 

“ราคาน่ะไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเราหรอกครับ” หลี่ว์ซู่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างใจเย็น “ผมรู้ว่าพวกคุณเตรียมใจกันมาแล้ว ใครเสนอเยอะที่สุดก็ได้ศิลาไปไงครับ”

 

 

สิ่งที่หลี่อวิ๋นฉู่กลัวได้เกิดขึ้นแล้ว เขากลัวว่าหลี่ว์ซู่จะเอาราคาของตระกูลเขาไปต่อรองกับตระกูลอื่นๆ หากเป็นแบบนั้น ที่ตระกูลหลี่มาวันนี้ก็จะไม่ได้อะไรกลับไปเลย

 

 

หลี่อวิ๋นฉู่เริ่มตบฝ่ามือตัวเองบนพนักเก้าอี้อย่างไม่รู้ตัว นี่แสดงให้เห็นว่าเขากำลังคิดอย่างหนัก ตอนนี้อะไรตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขากันนะ

 

 

เขาคิดหนักแล้วก็ตัดสินใจบอกราคาที่สูงออกไปเพื่อให้หลี่ว์ซู่สับสน เขาเสนอราคาออกไปด้วยความมั่นใจ “เพื่อให้เห็นว่าตระกูลเราจริงใจจริงๆ เรายอมจ่ายสี่แสนต่อศิลาหนึ่งเม็ด!”

 

 

“ตกลงตามนั้นเลยครับ” หลี่ว์ซู่ตอบ

 

 

หลี่อวิ๋นฉู่อึ้งจนพูดไม่ออก

 

 

[แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่ +999!]

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset