ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 566 งานใหญ่จะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่ยอมเสี่ยงดู

สือเสวจิ้นเล่าให้เนี่ยถิงฟังว่าหลี่ว์ซู่ใช้วิธีไหนตบตาหลอกพวกตระกูลใหญ่ เขารู้กระทั่งว่าน่าหลานเชวี่ยเป็นหนอนบ่อนไส้ของบรรดาตระกูลใหญ่ในการร่วมมือในครั้งนี้และถึงกับไปสืบหาข้อมูลมาด้วยว่าแต่ละตระกูลให้ของวิเศษอะไรกับหลี่ว์ซู่ไป

 

 

“พูดอีกอย่างก็คือการที่ฉันไม่อยู่เจ็ดวันนี่ เมืองลั่วได้กลายเป็นศูนย์กลางตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไปแล้วสินะ” เนี่ยถิงพูด

 

 

“ฮ่าๆ … ก็ประมาณนั้นแหละครับ” สือเสวจิ้นรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +1000!]

 

 

ถึงเครือข่ายฟ้าดินจะไม่ได้ปราบปรามพวกตลาดมืดให้สิ้นซากและไม่ได้ทำตัวเ**้ยมเกรียมกับพวกผู้บำเพ็ญลับที่พยายามนำศิลามาจากต่างประเทศมาขายก็จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะทนอับอายขายขี้หน้าจากวีรกรรมล่าสุดของหลี่ว์ซู่!

 

 

สรุปแล้วนี่เป็นตลาดมืดหรือตลาดเกษตรกรกันแน่ ทำไมไม่ตั้งชื่อว่าตลาดขายส่งทรัพยากรฝึกบำเพ็ญไปเลยล่ะ

 

 

ขณะที่บรรยากาศอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ สือเสวจิ้นก็คิดอะไรออก เขาเอ่ยขึ้น “ทำไมไม่ลองปล่อยให้เขาเข้าวิทยาลัยดูล่ะครับ เขาสร้างปัญหามาเยอะมากแล้ว”

 

 

“เขาคิดอะไรของเขากัน” เนี่ยถิงที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินในสวนได้แต่นวดขมับตัวเอง

 

 

“ไม่เข้าใจเหรอครับ” สือเสวจิ้นจำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กับเนี่ยถิง “เขาไม่พอใจในการตัดสินใจของคุณ เขาแค่ไม่อยากโดนควบคุมชีวิต ดูตอนนั้นที่เขาอยากออกเดินทางทั้งๆ ที่เพิ่งเข้าร่วมกับเราได้ไม่นาน! ตอนนี้เขาก็อยู่ในองค์กรเราแล้ว และคุณก็โยนความรับผิดชอบใหญ่ไปให้เขา ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะแข็งข้อต่อต้าน”

 

 

“ระงับบัญชีธนาคารของเขาไว้ก่อน ไว้เราค่อยไปถามว่าเขาต้องการอะไรกันแน่” เนี่ยถิงเริ่มใจเย็นลง

 

 

“เขาอยากได้กระบี่” สือเสวจิ้นเอ่ยขึ้นทันที

 

 

เนี่ยถิงมองสือเสวจิ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “เพราะเขาหาอาวุธที่ถูกใจจากต่างประเทศไม่ได้เหรอ ก็เลยวางแผนจะมารีดไถเอาจากฉันแทนงั้นสิ”

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +999!]

 

 

“ผมว่าเราหากระบี่ให้เขาได้” ดวงตาสือเสวจิ้นส่องประกาย “แล้วมันก็น่าจะเหมาะกับเขาด้วย”

 

 

เมื่อได้ยินสือเสวจิ้นพูดแบบนั้น เนี่ยถิงก็เรียกคืนสมองส่วนการใช้เหตุผลกลับมาได้ “ไม่ได้”

 

 

“ทำไมล่ะครับ”

 

 

“กระบี่เล่มนั้นสำคัญมากเกินไป”

 

 

“แต่คุณอยากให้กระบี่นั่นกับหลี่เสียนอีนี่ ไม่ใช่หรือ” สือเสวจิ้นพูด “หลี่ว์ซู่ยังเด็ก วันหนึ่งฝีมือของเขาอาจนำหน้าหลี่เสียนอีก็ได้นะ”

 

 

“ที่เราตกลงว่าจะมอบกระบี่ให้กับหลี่เสียนอีนั่นก็เพราะต้องการให้รับตำแหน่งราชันฟ้า” เนี่ยถิงส่ายหัว

 

 

“แต่เราคงทำงานใหญ่ให้สำเร็จไม่ได้ถ้าไม่ยอมเสี่ยงบ้างนะครับ!” สือเสวจิ้นพูด

 

 

“ขอคิดก่อนแล้วกัน” เนี่ยถิงตอบ “เอาอย่างนั้นแหละ ระงับบัญชีธนาคารของหลี่อีเสี้ยวด้วย ไม่ต้องไปฟังที่เขาอธิบาย จากนั้นก็ให้จงอวี้ถังส่งคนไปซื้อตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 มา ยื่นข้อเสนอให้หลี่ว์ซู่กับหลี่อีเสี้ยวได้รับส่วนแบ่งคนละสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี”

 

 

เรื่องนี้เนี่ยถิงมีเหตุผล หลี่อีเสี้ยวทำเกินกว่าหน้าที่ เขาจะฝ่าฝืนกฎหมายทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนรักษากฎหมายไม่ได้ แต่เรื่องที่หลี่อีเสี้ยวลงทุนลงแรงกับตลาดมืดไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เนี่ยถิงมองไม่เห็น เขาไม่ปล่อยให้หลี่อีเสี้ยวทำงานไปโดยไม่ได้รับอะไรหรอก

 

 

ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่หลี่ว์ซู่กล้าต่อกรกับเนี่ยถิง

 

 

แล้วพวกเขาจะต่อกรกับหลี่ว์ซู่อย่างไรดีล่ะ จะทำให้เขากลายเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าได้อย่างไร คิดแล้วเนี่ยถิงก็ปวดหัว

 

 

หากเนี่ยถิงเอ่ยขอให้คนจากตระกูลใหญ่มาเป็นราชันฟ้า พวกนั้นต้องตื่นเต้นตาลุกวาวแน่ๆ แต่ทำไมพอเป็นหลี่ว์ซู่แล้วทุกอย่างถึงยากไปหมด

 

 

ตอนแรกเนี่ยถิงก็คิดว่าเขาคงทำสำเร็จแล้วแน่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่ามีแต่เรื่องให้ปวดหัวกว่าเดิม…

 

 

ถึงอย่างนั้นเนี่ยถิงไม่ยอมรับการตอบโต้กลับของหลี่ว์ซู่หรอก เรื่องระหว่างเขาสองคนมันยังไม่จบง่ายๆ!

 

 

สือเสวจิ้นนั่งอยู่ข้างๆ เนี่ยถิงและอ่านหนังสือไปพลางๆ พอเนี่ยถิงกลับมา เขาก็ขี้เกียจที่จะไปจัดการเรื่องของหลี่ว์ซู่ด้วยตัวเองแล้ว สือเสวจิ้นเปลี่ยนเสียงรอสายเป็น ‘ขอโทษค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’ ซึ่งเป็นวิธีที่จงอวี้ถังเคยสอนเขาไว้ และมันก็ได้ผลดีเสียด้วย มีความแต่ความเงียบสงบ

 

 

เนี่ยถิงไม่อยากสนใจหลี่ว์ซู่ไปสักพัก หลี่ว์ซู่ก็เลยโอนเงินห้าแสนหยวนเข้าบัญชีเสี่ยวอวี๋ เจ็ดวันหลังจากที่หลี่ว์ซู่ได้รับแต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง ทันใดนั้นเขาก็ได้รับแจ้งเตือนจากธนาคารว่าบัญชีของเขาถูกระงับแล้ว

 

 

ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร โยวหมิงอวี่ก็พาคนเข้ามาที่ตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย

 

 

“พวกคุณจะเข้ามาควบคุมตลาดมืดกันเหรอครับ”

 

 

“หืม?” โยวหมิงอวี่เองก็สงสัย ฟังจากน้ำเสียงของหลี่ว์ซู่ ดูเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่าเครือข่ายฟ้าดินจะลงมาคุมตลาดมืดแห่งนี้

 

 

หลี่ว์ซู่เตรียมตัวมาแล้ว เครือข่ายฟ้าดินคงจะไม่ให้คนนอกเข้ามาบริหารตลาดมืดในเมืองลั่วที่อยู่ใกล้สถานที่ฝึกบำเพ็ญอันศักดิ์สิทธ์แบบนี้อยู่แล้ว

 

 

แล้วจู่ๆ เสียงตะโกนของหลี่อีเสี้ยวก็ดังออกมาจากห้องข้างๆ “เนี่ยถิง! เราต้องได้เห็นดีกัน!”

 

 

ฮ่าๆ หลี่ว์ซู่พอใจมาก เขารู้ว่าเนี่ยถิงไม่ยอมปล่อยหลี่อีเสี้ยวไปง่ายๆ หรอก

 

 

“ส่งมาให้ผมสิครับ” หลี่ว์ซู่ยื่นมือออกไป

 

 

“ส่งอะไร” โยวหมิงอวี่งง

 

 

“อาวุธที่ราชันฟ้าเนี่ยเอามาให้ผมไง” หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ

 

 

เนี่ยถิงระงับบัญชีธนาคารของหลี่ว์ซู่ช้าไปเจ็ดวันแล้ว นั่นก็แปลว่าในช่วงนั้นเนี่ยถิงยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไรให้หลี่ว์ซู่ดี แต่วันนี้บัญชีธนาคารของเขาถูกระงับไปแล้ว แสดงว่าเนี่ยถิงต้องเอาของบางอย่างที่มีมูลค่าที่เท่ากันมาแลก

 

 

โยวหมิงอวี่โบกไม้โบกมือให้คนที่อยู่ข้างหลังเขา จากนั้นสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินคนหนึ่งก็เอากล่องไม้ยาวๆ เข้ามา เขายื่นมันให้หลี่ว์ซู่ เด็กหนุ่มเปิดมันออกแล้วก็ต้องตกใจ

 

 

“นี่พวกคุณไม่ได้ล้อเล่นกันใช่ไหม”

 

 

“ทำไมเราต้องล้อเล่นกับนายด้วยล่ะ” โยวหมิงอวี่อารมณ์เสีย

 

 

“ก็ในกล่องนี้มันไม่มีอะไรเลยไงล่ะ” ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็คิดว่ากล่องมันหนักๆ แต่พอเปิดออกมาก็พบว่าในกล่องนั้นว่างเปล่า

 

 

“ไม่สิ” หลี่ว์ซู่พบว่าจริงๆ แล้วมันมีบางอย่างอยู่ในกล่องนั่นแหละ แต่ของนั่นล่องหนอยู่!

 

 

“ราชันฟ้าเนี่ยบอกว่ากระบี่นี้มีชื่อว่าเฉิงอิ่ง มันถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลและจดจำเจ้าของจากเลือด เก็บมันไว้ดีๆ ล่ะ” โยวหมิงอวี่กล่าว

 

 

“กระบี่เฉิงอิ่งที่เป็นหนึ่งในสิบกระบี่ในตำนานน่ะนะ ไม่ใช่ว่ามันสูญหายไปในยุคชุนชิว [1] หรอกเหรอ” หลี่ว์ซู่ยังอึ้งไม่หาย

 

 

เขารู้เรื่องสิบกระบี่ในตำนานของจีน ต้นกำเนิดของกระบี่เฉิงอิ่งนั้นยังคงเป็นปริศนาและไม่มีใครทราบ ซางเทียนจื่อและข่งโจ้วเคยใช้กระบี่เล่มนี้มาก่อนในยุคชุนชิว กล่าวกันว่าตัวกระบี่จะเผยให้เห็นแค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ ช่วงที่กลางวันกำลังจะเปลี่ยนเป็นกลางคืนเท่านั้น หลังจากนั้นมันก็จะไปล่องหนดังเดิม

 

 

ไม่ใช่ว่าหลี่ว์ซู่ไม่เห็นกระบี่เฉิงอิ่งในกล่องไม้นี่เลย เมื่อมองดูใกล้ๆ เขาก็พอจะเห็นรูปร่างของกระบี่แบบรางๆ

 

 

“ราชันฟ้าเนี่ยบอกว่ากระบี่นี่ไม่ได้มีสาระสลักสำคัญอะไร นายแค่ต้องใจเย็นให้มากๆ ในการฝึกกระบี่นี้” โยวหมิงอวี่พูดเสร็จเขาก็นึกอะไรออก “เราจะแบ่งส่วนแบ่งของตลาดให้นายกับราชันฟ้าหลี่ด้วย แต่ขอให้นายวางมือจากการจัดการตลาดมืดแห่งนี้”

 

 

จากนั้นโยวหมิงอวี่ก็ผายมือไปที่ประตู หลี่ว์ซู่ปิดปากไม่พูดอะไรอีก เขาถือกล่องและเดินออกไปอย่างรวดเร็วด้วยกังวลขึ้นมาว่าหลี่อีเสี้ยวจะมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้อย่างไร ถ้าเขาก่อปัญหาขึ้นมา เดี๋ยวจะซวยติดร่างแหไปด้วย…

 

 

เขาทิ้งให้โยวหมิงอวี่รับหน้าที่เป็นกระสอบทรายรับโทสะหลี่อีเสี้ยวไปแล้วกัน เขาอาจจะสนุกก็ได้

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะได้กระบี่เฉิงอิ่งในตำนานนี้มาทดแทนสิ่งที่เขาเสียไป เขารู้ดีว่าการได้อาวุธที่จะมาปกป้องชีวิตของเขานั้นดีกว่าการได้เงินมามากๆ เป็นไหนๆ ยิ่งกระบี่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ พลังของกระบี่ก็ยิ่งสูงตามไปด้วยใช่ไหมล่ะ

 

 

 

 

——

 

 

[1] ยุคชุนชิว (春秋) หรือยุควสันตสารท เป็นชื่อเรียกยุคสมัยหนึ่งของจีนโบราณ โดยเริ่มตั้งแต่ 770 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 453 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งตรงกับรัชสมัยของราชวงศ์โจว

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset