ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 569 หลี่อีเสี้ยวนักเจรจา

ตอนที่ 569 หลี่อีเสี้ยวนักเจรจา

 

 

จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ก็คิดว่ามีบางอย่างแปลกไปเหมือนกัน เหมือนกับว่าไห่กงจื่อนั้นกำลังสะกดกลั้นตัวเองอยู่ หลี่ว์ซู่สงสัยว่าไห่กงจื่อแอบซ่อนไม้ตายอะไรไว้หรือเปล่า อย่างเช่นว่าเขาอาจมีความสามารถที่จะขัดขืนต่อเจ้าของได้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้หยิบกลยุทธ์อะไรมาใช้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา…

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกผิดและเสียดายมันฝรั่งปอกเปลือกและผักที่ถูกสับมากกว่าที่เสียดายเลือดตัวเองอีก ให้ตายเถอะ เขาจะทำให้เรื่องนี้จบได้อย่างไรนะ

 

 

หลี่ว์ซู่หันไปถามหลี่อีเสี้ยว “คุณมาที่นี่ทำไมครับ”

 

 

หลี่อีเสี้ยวมองหน้าซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงของหลี่ว์ซู่ และพึมพำตอบออกไป “จะตรุษจีนอยู่แล้ว ฉันก็เลยคิดว่านายคงไม่อยากฉลองคนเดียว ก็เลยจะมาชวนไปกินข้าวเย็นที่บ้าน”

 

 

“บ้านคุณงั้นเหรอ ทำอาหารเป็นด้วยเหรอครับ” หลี่ว์ซู่ผงะไป

 

 

“มาเองเดี๋ยวก็รู้” หลี่อีเสี้ยวตอบแล้วดึงแขนหลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่อยากรู้ว่าหลี่อีเสี้ยวมีอะไรปิดบัง เพราะเขาไม่ใช่คนที่จะมาเยี่ยมใครโดยใช่เหตุแน่ มีอะไรรึเปล่านะ ทำไมอยู่ๆ เขาก็เกิดใจดีมีอัธยาศัยขึ้นมา มีอะไรมากกว่าการชวนไปกินข้าวที่บ้านแน่ๆ

 

 

หลี่อีเสี้ยวอาศัยอยู่ที่หอพักของวิทยาลัยลั่วเฉิงซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อสมาชิกเครือข่ายฟ้าในเมืองลั่วและครูที่จะมาสอนในวิทยาลัยโดยเฉพาะ หลี่อีเสี้ยวได้ห้องที่เป็นห้องชุดสามห้องนอนและมีห้องกินข้าวอีกห้องหนึ่ง

 

 

ด้วยเพราะเขาเป็นราชันฟ้า เขาจึงได้ห้องนี้มาตั้งแต่หอพักนี้เปิดใหม่ๆ แต่เจ้าของที่แท้จริงก็คือเครือข่ายฟ้าดินนั่นแหละ

 

 

หลี่ว์ซู่เจอซีเฟ่ยในหอพักด้วย เขาเจออีกหลายๆ คนที่คุ้นหน้าที่นั่น และพวกเขาก็มองกลับมาอย่างสงสัย อาคารหอพักทุกอาคารเป็นตึกสูงสิบชั้น หลี่อีเสี้ยวนั้นพักอยู่ที่ชั้นสิบ

 

 

เมื่อมาถึงบันไดหน้าห้อง จู่ๆ ประตูก็เปิดโพล่งออกมาก่อนที่หลี่อีเสี้ยวจะทันได้เอากุญแจห้องออกมาเสียอีก ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็อึ้งไปเมื่อเห็นว่าใครอยู่ในบ้าน เขามองหลี่อีเสี้ยวกับน่าหลานเชวี่ยที่กำลังยืนอยู่ข้างในสลับไปมา “นี่พวกคุณสองคนอยู่ด้วยกันเหรอ!”

 

 

เหลือเชื่อไปเลย! ช่วงก่อนหน้านี้ หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าน่าหลานเชวี่ยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลี่อีเสี้ยวตอนที่เธอเข้าร่วมแผนหลอกพวกครอบครัวใหญ่อีกห้าครอบครัวนั่น และเขาก็สัมผัสได้ว่าสองคนนี้น่าจะกลับมาคบกันใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้!

 

 

น่าหลานเชวี่ยผูกผ้ากันเปื้อนไว้รอบเอวและถือไม้พายคนอาหารไว้ในมือ “ดีใจที่เจอนายนะหลี่ว์ซู่ เข้ามาสิ ข้าวเย็นพร้อมแล้ว รอฉันตักใส่จานเดี๋ยวเดียวนะ”

 

 

หลี่ว์ซู่เกือบตัวสั่นด้วยความตกใจ น่าหลานเชวี่ยกลายเป็นแม่บ้านแม่เรือนไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย พอเธอเดินกลับเข้าไปในครัว หลี่อีเสี้ยวก็หลิ่วตาให้หลี่ว์ซู่แบบภูมิใจ “เป็นไงล่ะ ฉันสอนเธอดีใช่ไหม”

 

 

“ผมไม่ยักรู้ว่าคุณทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย!” หลี่ว์ซู่ยังตกใจถึงขีดสุดอยู่

 

 

หลี่ว์ซู่เดินชมรอบบ้านของหลี่อีเสี้ยว เฟอร์นิเจอร์ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบและมีของตกแต่งเล็กๆ รอบบ้าน ซึ่งไม่น่าจะเป็นความคิดของหลี่อีเสี้ยวแน่ๆ ก็เขาเป็นผู้ชายหยาบกระด้างขนาดนั้น!

 

 

หลี่ว์ซู่เหลือบมองน่าหลานเชวี่ยที่ดูเป็นแม่บ้านแม่เรือนในอุดมคติสุดๆ นี่เรื่องจริงหรือเปล่าเนี่ย พวกเขาควรจะเป็นศัตรูชะตาไม่ถูกกันไม่ใช่เหรอ หลี่ว์ซู่เริ่มคิดว่าเชื่อเรื่องดูดวงไม่ได้แล้ว…

 

 

“ข้าวเย็นพร้อมแล้วล่ะ” น่าหลานเชวี่ยพูดเสียงหวานออกมาจากในครัว แล้วเธอก็เดินเข้าห้องกินข้าวมาด้วยจานสองใบในมือ ซึ่งเป็นมีตบอลตุ๋นบราวน์ซอส ส่วนอีกจานเป็นพอร์กช็อปเคี่ยว ดูน่าอร่อยมาก

 

 

แต่ทันใดนั้นเขาก็ถูกดึงความสนใจจากอาหารไปที่ลูกโลกที่วางอยู่ใกล้ๆ กับโต๊ะโทรทัศน์ ลูกโลกนั่นมีบางอย่างแปลกๆ มันมีอะไรสีแดงๆ ยื่นออกมาจากพื้นผิว ด้วยความเบื่อหน่ายปนสงสัย หลี่ว์ซู่ก็เลยลองกดมันเล่นดู แล้วทันใดนั้นลูกโลกนั้นก็แตกออกมา เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในอย่างไม่คาดคิด

 

 

มีธนบัตรปึกใหญ่ยัดไว้อยู่ข้างในนั้น

 

 

หลี่ว์ซู่ตาแทบแตก

 

 

นี่เกมล่าสมบัติรึไง! ก่อนที่เขาจะหายช็อก แต้มอารมณ์ก็เด้งขึ้นมาในระบบ

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +999!]

 

 

น่าหลานเชวี่ยทำจานสองใบร่วงลงกับโต๊ะแตกดังเพล้ง ท่าทีงามสง่าอ่อนโยนสลายหายไปในทันใด กลับกัน น่าหลานเชวี่ยหันขวับไปหาอีกฝ่าย “หลี่อีเสี้ยว เธอไม่ได้สัญญากับฉันหรอกเหรอว่าจะไม่ปิดบังกันน่ะ”

 

 

หลี่อีเสี้ยวพยายามจะอธิบาย “หือ ฉันไม่ได้ซุกมันเอาไว้นะ บางทีมันอาจจะอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่ตอนซื้อมาแล้วก็ได้…”

 

 

หลังจากที่เขาพูดจบ หลี่อีเสี้ยวก็หยิบเงินนั่นขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วยัดมันลงในกระเป๋าของน่าหลานเชวี่ย

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +999!]

 

 

นี่นับเป็นอุบัติเหตุโชกเลือดเลยนะ หลี่ว์ซู่คิดในใจ ใครจะรู้ว่าคุณซ่อนเงินไว้ในลูกโลกกัน แล้วที่สำคัญที่สุด ชีวิตหลี่อีเสี้ยวเต่าถุยมาก แถมเขายังถูกน่าหลานเชวี่ยคอยกุมบังเ**ยน!

 

 

ตอนนี้ในใจหลี่ว์ซู่รู้สึกว่าที่แม่ยายของหลี่อีเสี้ยวน่าเลื่อมใสมากขึ้นกว่าเดิมอีก

 

 

หลี่อีเสี้ยวไม่สามารถบ่นหลี่ว์ซู่ต่อหน้าน่าหลานเชวี่ยได้ ถึงจะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่หลี่ว์ซู่มีความสุขกับมื้อเย็นมาก ฝีมือทำอาหารของน่าหลานเชวี่ยใช้ได้เลย

 

 

กระนั้นหลี่ว์ซู่ก็รู้ว่าหลี่อีเสี้ยวมีเหตุผลที่เชิญเขามาร่วมโต๊ะด้วย มันไม่มีทางเป็นแค่การสังสรรค์ธรรมดาอยู่แล้ว

 

 

หลังจากกินไปได้ครึ่งหนึ่ง หลี่อีเสี้ยวก็เอ่ยถาม “หลี่ว์ซู่ ไหนๆ ตอนนี้นายก็ว่างอยู่ ไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างประเทศกับฉันไหม”

 

 

หลี่ว์ซู่ประหลาดใจ “ต่างประเทศเหรอ มันอันตรายนะ ผมยังเรียนอยู่”

 

 

“อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องเรียนแล้วนี่ การสอบเข้าวิทยาลัยผู้บำเพ็ญผ่านไปแล้ว!”

 

 

“ผมยังสอบจบการศึกษาแล้วไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยปกติได้ ผมชอบเรียน” หลี่ว์ซู่คีบเนื้อหมูเข้าปาก น่าหลานเชวี่ยเลือกเนื้อส่วนซี่โครงมาทำกับข้าว เนื้อส่วนนี้เลาะกระดูกออกง่าย

 

 

น่าหลานเชวี่ยออกความเห็นจากอีกฝั่ง “ทำไมถึงระริกระรี้จะไปต่างประเทศนัก มีอะไรดีหรือไง อย่าประเมินอันตรายที่นั่นต่ำไปเชียว เธอจะทำยังไงถ้าไปติดกับพวกนักบุญหรือฝ่ายศรัทธาเข้าน่ะ!”

 

 

หลี่อีเสี้ยวกลอกตาไปมาประหนึ่งเขาไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร

 

 

หลี่ว์ซู่คิดไว้แล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่หลี่อีเสี้ยวจะถูกใช้เป็นคนส่งสารวิ่งเต้นแทนเนี่ยถิง เขาเคยใช้ไม้นี้มาก่อนแล้ว

 

 

ทำไมเหรอ ก็เพราะเนี่ยถิงต้องการให้หลี่อีเสี้ยวมาหว่านล้อมเขาให้ยอมตกลงดูแลจัดการธุระในต่างประเทศให้เครือข่ายฟ้าดินไงล่ะ ไม่งั้นหลี่อีเสี้ยวจะคะยั้นคะยอให้เขาตามไปต่างประเทศขนาดนั้นทำไมกัน!

 

 

ก่อนพวกเขาจะกินเสร็จ หลี่อีเสี้ยวตื๊อหลี่ว์ซู่อีกสองสามรอบ ทว่าก็โดนปฏิเสธทั้งสิ้น เขาได้แต่ยอมรับว่าหลี่ว์ซู่คงไม่อยากไปต่างประเทศจริงๆ

 

 

อันที่จริงหลี่ว์ซู่ไม่ได้ไม่อยากไป แต่เขาแค่ไม่อยากยอมลงให้เนี่ยถิง จะทำไมล่ะ พวกเขาสองคนอยู่ในเกมสงครามยื้อยุดกันไปมา และเขาไม่ยอมอ่อนข้อให้หรอก ต่อให้หลี่อีเสี้ยวจะเป็นตัวแทนเจรจาวิ่งเต้นระหว่างพวกเขาก็ตามที

 

 

หลังจากหลี่ว์ซู่กลับไป น่าหลานเชวี่ยก็เหลือบมองหลี่อีเสี้ยว “ทำไมถึงต้องพยายามลากหลี่ว์ซู่ไปด้วยขนาดนั้น”

 

 

หลี่อีเสี้ยวปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเธอ แต่หลังจากโดนตะบี้ตะบันกว่าครึ่งชั่วโมง เขาก็ยอมแพ้ “เนี่ยถิงบอกว่าจะระงับบัญชีธนาคารของฉันจนกว่าฉันจะตะล่อมหลี่ว์ซู่ให้ยอมไปด้วยกันได้…”

 

 

“เนี่ยถิงนี่นะ…” น่าหลานเชวี่ยคงจะเป็นคนสุดท้ายที่อยากจะเห็นหลี่อีเสี้ยวออกไปเสี่ยงชีวิตในต่างประเทศ ทำไมถึงปล่อยพวกเขาอยู่สงบๆ สองคนไม่ได้นะ เธอเงียบไปพักใหญ่และคิดไปถึงคำที่เพื่อนสนิทเธอเคยบอกไว้ว่าลูกจะเป็นโซ่ทองคล้องใจให้กับผู้หญิงและผู้ชายของเธอ… น่าหลานเชวี่ยเลยกระแอมและถามว่า

 

 

“หลี่อีเสี้ยว เธออยากมีลูกไหม”

 

 

“มีลูกงั้นเหรอ ใครกันอยากจะมีลูกให้เธอ” หลี่อีเสี้ยวอึ้ง น่าหลานเชวี่ยเองก็อึ้งไปสักพัก

 

 

“ฉันหมายถึงว่าเธออยากมีลูกกับฉันไหม!”

 

 

“ถึงฉันจะไปขอลูกคนอื่นกับเธอ ก็ไม่มีใครยกลูกของพวกเขาให้เราหรอก!” หลี่อีเสี้ยวเริ่มคิดว่าน่าหลานเชวี่ยถามอะไรออกมาได้ น่าหลานเชวี่ยมีสีหน้าน่ากลัว เธอกระทืบเท้าเดินออกไปแล้วไปสนใจทีวี

 

 

“ช่างเถอะ ถ้าเป็นแบบนั้นลูกเราก็คงออกมาปัญญาอ่อนแน่ๆ!”

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset