ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 574 หนีออกจากกรอบที่เข้มงวด

ตอนนี้หมอกสีดำหนาในหุบเหวได้ถูกเจ้างูดูดกลืนไปหมดแล้ว หลี่ว์ซู่เลยคิดว่าคงต้องเปลี่ยนชื่อให้มันเสียหน่อยเพราะ ‘งูสีทอง’ คงจะไม่เหมาะแล้ว แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็น ‘งูสีดำ’ ก็ฟังดูไม่ค่อยเจ๋งเท่าไหร่ ชื่อไม่ควรถูกเปลี่ยนไปตามสี แต่หลี่ว์ซู่เองก็ตั้งชื่อไม่เก่งเสียด้วยสิ

 

 

งั้นเปลี่ยนเป็น ‘งูแห่งความโกลาหล’ ก็แล้วกัน ฟังดูดีเหมือนกันแฮะ

 

 

ขณะที่หมิงเย่ว์เยี่ยนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เขาก็มองไปที่กระจกส่องตะวันในมือหลี่ว์ซู่ที่ตอนนี้ถูกส่องไปที่อื่นแล้ว เขาสงสัยว่าชายหนุ่มคนนี้เข้ามาในนี้ได้อย่างไร และในขณะเดียวกัน เขาเองก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่ได้พูดความจริงออกไปเช่นกัน

 

 

แล้วอยู่ๆ หมิงเย่ว์เยี่ยก็พูดขึ้นมา “ข้ามีเคล็ดการฝึกฝนที่น่าจะเหมาะกับเจ้า หลายปีที่ผ่านมา ท่านอวี้ฝูเหยา เจ้าสวรรค์แดนบูรพานั้นได้รับชื่อเสียงโด่งดังจากเคล็ดวิชานี้ เข้ามาใกล้ๆ แล้วข้าจะบอกเจ้า”

 

 

หลี่ว์ซู่ดีใจ “ไม่เป็นไรครับ อยู่ตรงนี้ผมก็ยังได้ยินคุณ ว่ามาเลย”

 

 

แต่เขาไม่โง่หรอกนะ ดูจากความยาวของโซ่ที่ตรึงไว้แล้ว เขาไม่เข้าไปใกล้ในรัศมีที่ขายคนนี้จะทำอะไรได้หรอก ใครจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร อย่างไรก็ตามหลี่ว์ซู่คิดว่าชายคนนี้ไม่น่าจะแข็งแกร่งเท่าปรมาจารย์หุ่นเชิดหรอก

 

 

หมิงเย่ว์เยี่ยส่ายหน้า “ข้าบอกเจ้าไม่ได้ถ้าเจ้ายืนห่างขนาดนั้น”

 

 

“งั้นก็ได้” หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับรู้ “คุณอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว”

 

 

หมิงเย่ว์เยี่ยเองก็ประหลาดใจที่เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องแบบกะทันหัน “ข้าบอกไม่ได้หรอกว่าเวลาผ่านไปกี่วันกี่คืนแล้วในสถานที่แบบนี้”

 

 

“อยากกินอะไรหรือเปล่า” หลี่ว์ซู่ถาม “เราเจรจากันได้นะ เดี๋ยวผมจะเอาอาหารมาให้คุณ ส่วนคุณก็บอกสิ่งที่ผมอยากรู้มา”

 

 

หมิงเย่ว์เยี่ยคิดว่านี่เป็นข้อตกลงที่ไม่เลวเลย เพราะที่ผ่านมาเขาต้องพยายามรักษาชีวิตของตัวเองจากหมอกดำหนานี่โดยการใช้พลังจิตวิญญาณ แต่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็ยังต้องการอาหารเพื่อความอยู่รอดอยู่ดีนั่นแหละ

 

 

นอกจากนั้น ใครๆ ก็คงคิดถึงรสชาติอาหารหลังจากที่ไม่ได้ลิ้มรสมันมาเป็นเวลานานทั้งนั้น หมิงเย่ว์เยี่ยเลยตอบตกลง

 

 

“ข้าจะตอบคำถามเจ้าทั้งหมดสามคำถาม ถ้าเจ้าเอาไก่เคลือบไฟมาให้ข้าได้”

 

 

หลี่ว์ซู่ทำหน้าเรียบเฉย แต่ในใจนั้นบ่นพึมพำ อะไรคือไก่เคลือบไฟกันวะ ตอนนี้เขาเริมคิดแล้วว่าชายคนนี้เป็นคนจากนอกโลกหรือเปล่า เขากับปรมาจารย์หุ่นเชิดอาจจะมาจากโลกเดียวกันก็ได้

 

 

แต่ก็นะ เจรจาตกลงกับคนหิวนี่มันง่ายจริงๆ หลี่ว์ซู่ออกไปจากไข่มุกดำแล้วกลับเข้ามาพร้อมไก่อบสองตัวที่เขาซื้อมาจากร้านที่ดีที่สุดในเมืองลั่ว หมิงเย่ว์เยี่ยสับสนเล็กน้อยเพราะที่หลี่ว์ซู่เอามานั้นไม่ใช่ไก่เคลือบไฟ “เจ้าไปเอาอาหารนั่นมาจากไหน”

 

 

ข้ามเรื่องที่ไม่ใช่ไก่เคลือบไฟไป กลิ่นของไก่อบก็ช่างยั่วใจเหลือเกิน เขารู้ว่าร่างกายของเขาทนต่ออาหารเป็นพิษได้ ก็เลยตอบตกลงที่จะกินอาหารนี้

 

 

“มาสิ เอาอาหารนั่นมาให้ข้า แล้วข้าจะตอบคำถามเจ้าสามคำถาม” หมิงเย่ว์เยี่ยกล่าว

 

 

“ครับ” หลี่ว์ซู่วางไก่อบไว้ตรงที่หมิงเย่ว์เยี่ยจะเอื้อมไม่ถึง แล้วเขาก็หายออกไปจากไข่มุกดำทันที

 

 

ทำเอาหมิงเย่ว์เยี่ยช็อคไปเลย

 

 

เขาไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องนี้เกิดขึ้น! ความเชื่อใจหายไปไหนหมดล่ะ! นี่เขาอุตส่าห์เตรียมเรื่องเหมาะๆ ที่จะตอบคำถามของหลี่ว์ซู่แล้วนะ!

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +666…]

 

 

ส่วนโลกข้างนอกนี้ หลี่ว์ซู่กำลังสนใจเรื่องที่เขาสามารถได้รับแต้มอารมณ์จากไข่มุกดำได้ด้วย แต่ความจริงแล้วหลี่ว์ซู่มีสีหน้าผิดหวังมาก เพราะชายคนนั้นไม่ได้ต้องการจะพูดความจริงกับหลี่ว์ซู่มาตั้งแต่แรก

 

 

แล้วหลี่ว์ซู่จะยอมทำตามเคล็ดลับการฝึกฝนที่ชายคนนั้นบอกจริงๆ เหรอ ถึงแม้ชายคนนั้นจะอยากบอกเองก็เถอะ คำตอบก็คือไม่แน่นอน จะเกิดอะไรขึ้นมาล่ะถ้าจุดสำคัญของเขาเสียหายขึ้นมา

 

 

หลี่ว์ซู่เลยมองว่าชายคนนั้นเป็นเพียงแค่แหล่งได้รับแต้มอารมณ์ที่น่าจะได้มาเรื่อยๆ เท่านั้น ที่คิดอย่างนี้ก็เพราะว่าเขาไม่อยากจะคิดมาก…

 

 

แต่เขามั่นใจได้อยู่เรื่องหนึ่ง ว่าภูมิหลังของหมิงเย่ว์เยี่ยนั้นคงจะซับซ้อนน่าดู ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงใช้พลังของตัวเองจู่โจมหลี่ว์ซู่หลังจากโดนหลอกไปหลายรอบแล้ว หรือว่าพลังของเขาจะถูกปิดผนึกไว้ด้วยเหมือนกัน

 

 

หลี่ว์ซู่ไปนั่งอยู่บนดาดฟ้าด้วยความกระวนกระวายใจ เขามองออกไปไกลๆ ขณะที่กำลังกินผลไม้แห่งนรกแทนเสี่ยวอวี๋ เขาเคยนั่งอยู่กับเธอตลอด แต่ครั้งนี้เขาต้องอยู่คนเดียว

 

 

เขามนั่งคิดถึงของล้ำค่าที่เพิ่งได้มาสองอย่าง ชิ้นแรกก็คือกระบี่เฉิงอิ่งที่มีวิญญาณกระบี่ที่ไว้ใจไม่ได้ ชิ้นที่สองก็คือไข่มุกดำที่มีวิญญาณไว้ใจไม่ได้อีกหนึ่งตนติดอยู่หุบเหว ไม่ว่าจะอะไรแล้วเขาก็เจอแต่สิ่งที่ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น…

 

 

หลังจากผ่านเที่ยงคืนไปหลี่ว์ซู่ก็ลุกขึ้นมาฝึกกระบี่อีกครั้ง ขณะที่เหวี่ยงกระบี่ออกไปก็นึกไปเรื่อยเปื่อยว่าจะกวนประสาทเนี่ยถิงอย่างไรดี และในตอนนั้นเอง ไห่กงจื่อก็โผล่ออกมาจากกระบี่เฉิงอิ่งอีกครั้ง เขาออกความเห็นด้วยน้ำเสียงเป็นใหญ่

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าพอจะมีความสามารถด้านกระบี่อยู่นิดหน่อย แต่ก็ยังห่างชั้นอยู่ดี รู้หรือเปล่าว่าเจ้าต้องเรียนรู้เรื่องการรำกระบี่อีกเยอะ กระบี่เล่มเดียวสามารถใช้ท่วงท่าได้หลายแบบนับไม่ถ้วน ตอนนี้เจ้าดูเหมือนคนตัดฟืนที่เก้ๆ กังๆ ที่ใช้เพียงแต่แขนและมือในการตัดไม้แต่ไม่ได้ใช้สมองด้วยเลยสักนิด เจ้าอย่างห่างไกลจากจุดที่เจ้าจะสามารถบังคับกระบี่ด้วยความผ่อนคลายอยู่มากนัก”

 

 

วาจาเสียดสีในครั้งนี้ทำให้ความสามารถในการใช้กระบี่ของหลี่ว์ซู่ลดลงไปจนไม่เหลืออะไรเลย

 

 

หลี่ว์ซู่ฟังแล้วก็รู้สึกรำคาญ เขาพอใจกับความสามารถของตัวเองแล้ว “ก็ได้ งั้นขอดูหน่อยสิว่าคุณใช้กระบี่ยังไง”

 

 

“โง่เขลานัก” ไห่กงจื่อเยาะเย้ย แล้วทันใดนั้น กระบี่ยาวก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา กระบี่นั้นมีสีของธารน้ำแข็งที่มีสีฟ้าประหลาดๆ เจืออยู่ในสีขาวนั้น

 

 

จากนั้นเขาก็พลิกข้อมือและจ้วงกระบี่ไปที่เก้าอี้ตรงหน้าเขา กระบี่ดูเหมือนว่าจะไร้น้ำหนักเหมือนกับขนนกเลย และเมื่อกระบี่นั้นสัมผัสถูกเก้าอี้ ข้อมือของไห่กงจื่อก็สั่นเล็กน้อยเพราะเขาส่งพลังทั้งหมดของตัวเองไปที่ปลายกระบี่ รวดเร็วมากจนมองกระบี่ไม่ทันเสียด้วยซ้ำ

 

 

ตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็คิดถึงแต่เรื่องการเคลื่อนไหวของคมกระบี่ซึ่งสวยงามจับใจมาก เคล็ดลับการจำการเคลื่อนไหวของจังหวะกระบี่ที่มี 13 ตัวอักษรของหลี่เสียนอีที่รวมถึงการชน การใช้ด้านปลายแหลมของกระบี่ และการแทงนั้นกลายเป็นเพียงแค่สิ่งพื้นฐานไปเลย เพราะปู่เสียนอีไม่ได้มีเวลามากพอที่จะสอนหลี่ว์ซู่ในขั้นที่สูงขึ้นไป

 

 

เพราะฉะนั้นทักษะกระบี่ของหลี่ว์ซู่ในการสู้ระยะประชิดจึงไม่สามารถพลิกแพลงได้ ยังไม่นับเรื่องที่เขาสามารถควบคุมร่างกายได้ดีนะ

 

 

ซึ่งเรื่องนี้ก็เข้าใจได้ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนฝึกน้อยกว่าหนึ่งปีจะมีความสามรถทียบเท่ากับคนที่ฝึกกระบี่มาเป็นทศวรรษหรอก หลี่ว์ซู่ตั้งใจจะก้าวข้ามผ่านเคล็ดลับกระบี่ 13 ตัวอักษรนี้ให้ได้เพื่อฝึกกระบี่ด้วยความคิดของเขาเอง แต่ทว่า…

 

 

ไห่กงจื่อหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นในขณะที่หลี่ว์ซู่กับลังติดอยู่ในความคิดของตัวเอง “เป็นอย่างไรล่ะ เจ้าได้เรียนรู้อะไรไปบ้างไหม”

 

 

ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลี่ว์ซู่ก็ขมวดคิ้วแน่น “ใครอนุญาตให้คุณมาทำลายเก้าอี้ของผม นี่มันถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษเลยนะ คุณต้องชดใช้”

 

 

ไห่กงจื่อพูดไม่ออก

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +399!]

 

 

“ไร้สาระ” ไห่กงจื่อรีบกลับไปในกระบี่เฉิงอิ่งและไม่ต้องการเสียเวลากับหลี่ว์ซู่อีก

 

 

หลี่ว์ซู่ที่อยู่เพียงลำพังตอนนี้ก็คิดไปถึงความรู้สึกเมื่อสักครู่ เขาพยายามจะหลุดออกจากกรอบที่เหมือนกรงขังและอยากจะใช้กระบี่ออกมาอย่างอิสระ

 

 

แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างนั้นก็คือภูเขาพลังกลับมีหิมะปกคลุมอยู่เป็นสองเท่าโดยทันที!

 

 

งั้นก็แปลว่าภูเขาพลังนั้นมีความเกี่ยวข้องกับพลังแห่งกระบี่จริงๆ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset