ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 575 ข้างภูเขา ริมทะเล

ตอนที่ 575 ข้างภูเขา ริมทะเล

 

 

นี่หมายความว่าหลี่ว์ซู่จะต้องไปหาเรื่องทะเลาะกับไห่กงจื่อหรือเปล่าเนี่ย คงไม่จำเป็นหรอกมั้ง

 

 

ใครอยากจะเจอคนที่ชอบมาตัดสินตัวเองทุกวันกันล่ะ ชอบมาพูดว่าเขาเป็นพวก ‘โง่เขลา’ อยู่ได้ทุกวัน ไม่มีใครทนได้หรอก!

 

 

นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าไห่กงจื่อนั้นดูถูกเขาจริงๆ ซึ่งทำให้หลี่ว์ซู่นั้นไม่พอใจสักนิด ไม่รู้ว่าเขาเปรียบเทียบหลี่ว์ซู่อยู่กับใคร

 

 

อีกสิบวันก็จะถึงตรุษจีนแล้ว หลี่ว์ซู่ต้องอยู่บ้านคนเดียว เขาไม่มีอารมณ์ออกไปซื้อของวันตรุษจีนเลย เขารู้สึกว่ามันฝรั่งที่ถูกปอกไปคงจะเลี้ยงครอบครัวที่มีสามคนได้ไปถึงครึ่งปี เขาซื้อมันฝรั่งมาจากตลาด จนคนขายคิดว่าหลี่ว์ซู่เปิดร้านอาหารหรือเปล่า…

 

 

ทุกเช้าเมื่อหลี่ว์ซู่ฝึกกระบี่ ไห่กงจื่อก็จะออกมาวิจารณ์วิธีการฝึกกระบี่ของเขาและบ่นออกมาตลอด หลังจากนั้นหลี่ว์ซู่ก็จะบังคับให้ไห่กงจื่อกลับเข้ากระบี่ไป เป็นเรื่องหายากมากที่จะเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันอย่างสมัครสมานกลมเกลียว อย่างน้อยก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่หลี่ว์ซู่คอยใช้เลือดตัวเองเรียกไห่กงจื่อออกมาเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อชวนทะเลาะ

 

 

ช่วงนี้หลี่อีเสี้ยวมาเยี่ยมหลี่ว์ซู่บ้างสองสามครั้ง และเขาก็รู้ซึ้งแล้วว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นพวกจิตใจเด็ดเดี่ยวมาก ใครบอกเขากันว่าการไปต่างประเทศนั้นจะไม่ดีสำหรับเขาน่ะ!

 

 

ก่อนรุ่งสาง หลี่ว์ซู่มาประจำอยู่ที่สวนหลังบ้านแล้วถึงแม้ฟ้าจะยังไม่สว่างก็ตาม ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการฝึกครั้งก่อนๆ หลี่ว์ซู่ไม่ได้ออกแรงใช้พลังทั้งหมดไปกับการเหวี่ยงกระบี่ ทำให้การเหวี่ยงกระบี่ในคราวนี้ค่อนข้างช้า เหมือนกับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหลี่ว์ซู่ฝึกกระบี่เลย

 

 

การเหวี่ยงกระบี่ของเขานั้นเหมือนกับหิมะที่ค่อยๆ โปรยลงมา ราวกับว่ามีอากาศต้านไม่ให้กระบี่เหวี่ยงลงมาตามแรง

 

 

ถึงแม้ว่าการออกกระบี่จะเชื่องช้าแต่เขาก็ตั้งใจเต็มที่ ดวงตาของหลี่ว์ซู่มองไปที่การเคลื่อนที่ของกระบี่ การขยับของกระบี่นั้นแทบบรรยายออกมาไม่ได้ เพราะมันดูสวยงามขณะที่เคลื่อนไหวลงมาอย่างเนิบช้า ในขณะที่เขาฝึกฝนเช่นนี้ ทั้งกล้ามเนื้อของหลี่ว์ซู่และพลังแห่งดวงดาวก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานราวกับเป็นทะเลที่ผิวสงบแต่มีคลื่นใต้น้ำซัดแรงอยู่ในนั้น

 

 

สาเหตุที่การออกกระบี่ของเขาเชื่องช้านั้นเป็นเพราะว่าเขาต้องมาวิเคราะห์การกระบวนการมากมายต่างๆ ขณะที่เหวี่ยงกระบี่ลงมา เขารู้สึกถึงพลังที่ค่อยๆ ถูกส่งไปที่ตัวกระบี่ขณะมันกำลังเคลื่อนที่ลง

 

 

ถ้าเพื่อนบ้านมาเห็นเข้าคงตกใจว่าหลี่ว์ซู่กำลังทำอะไรอยู่?!

 

 

เพราะกระบี่เฉิงอิ่งนั้นล่องหน ฉะนั้นคนอื่นที่เห็นคงอดคิดไม่ได้ว่าหลี่ว์ซู่บ้าไปแล้ว เหวี่ยงแขนอะไรนั่นน่ะ ในมือไม่ได้ถืออะไรอยู่เลยแท้ๆ

 

 

แต่ในการต่อสู้จริงๆ แล้ว ศัตรูแทบจะไม่มีทางเห็นกระบี่ได้เลย อย่าว่าแต่การคาดการณ์เลยว่ากระบี่จะยาวได้เท่าไหร่ เรื่องนี้คงทำให้คนกลัวอยู่ไม่น้อย

 

 

“เจ้าก้าวหน้าได้เร็วขึ้นนี่ แต่ก็ยังงกๆ เงิ่นๆ อยู่ดี เจ้าคิดหรือว่าหากลดความเร็วการเคลื่อนไหวของกระบี่ลงแล้วจะมีเวลาให้คิดมากขึ้นน่ะ การโจมตีที่ดีที่สุดก็คือการออกกระบี่ให้เร็ว แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะไปเร็วๆ ได้เสียที” ไห่กงจื่อพูดอย่างใจเย็น

 

 

“ผมจะไปช้าๆ ของผมเพื่อเรียนรู้ทีละขั้นไม่ได้เหรอ” หลี่ว์ซู่อารมณ์เสียเพราะที่ผ่านมาเขาฝึกอย่างมั่นคงและแน่นอน และเขาก็ไม่อยากใจร้อน

 

 

แต่เขาก็เข้าใจที่ไห่กงจื่อพูดว่าการเคลื่อนไหวนั้นควรจะต้องเร็ว และเขาก็มีกระบวนการฝึกของตัวเองเหมือนกัน เขากำลังอดทนรอให้การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ

 

 

ไห่กงจื่อหัวเราะเสียงเย็น “พวกโง่เขลาก็มักจะพูดว่าไปช้าๆ ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ แต่ไม่มีใครรู้จริงๆ หรอกว่าจะมีพรุ่งนี้ให้มีชีวิตต่อกันอีกหรือเปล่า”

 

 

หลี่ว์ซู่ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้โกรธอะไร เขาหัวเราะออกมาแทน “ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ผมรู้สึกได้ว่าตัวตนของคุณน่าจะเป็นบุคคลสำคัญมาตั้งแต่ก่อนเกิดแล้วใช่มั้ย แล้วคุณมาเป็นวิญญาณสิงกระบี่เฉิงอิ่งได้ไงน่ะ”

 

 

หลี่ว์ซู่เดาว่าไห่กงจื่อนั้นแตกต่างจากวิญญาณในอาวุธที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ ก่อนอื่นเลยคือเขามีร่างกายเป็นมนุษย์ซึ่งไม่เหมือนใคร และเขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง คงจะพูดได้แหละว่าเขาเป็นวิญญาณที่มาอาศัยอยู่ในกระบี่เฉิงอิ่ง

 

 

ซึ่งนี่ก็ดูเป็นประเด็นที่น่าคิด ว่าถ้าหากไห่กงจื่อเก่งกาจจริงๆ ทำไมเขาถึงมาติดอยู่ในกระบี่เฉิงอิ่งนี่ได้

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ก็รู้ว่ามันอาจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกของไห่กงจื่อที่มีต่อกระบี่เฉิงอิ่ง เขาปฏิบัติกับกระบี่เฉิงอิ่งเหมือนว่ามันเป็นเพื่อนซี้ หากเขาถูกสาปให้อยู่ในกระบี่แบบไม่เต็มใจ ทำไมเขาถึงแสดงออกเช่นนี้กับกระบี่ได้ล่ะ

 

 

แต่อยู่ๆ ก็มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น ไห่กงจื่อมองหลี่ว์ซู่อย่างน่ากลัว “หลังจากนี้บอกข้าแล้วกันว่าอยากจะหยุดพักเมื่อไหร่ ความใจเย็นของข้ามีขีดจำกัดอยู่นะ ตอนนี้เจ้าอาจจะเป็นเจ้าของของกระบี่เฉิงอิ่ง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าข้าจะทำอะไรเจ้าคืนไม่ได้!”

 

 

หลี่ว์ซู่เม้มปาก เขารู้แล้วว่าไห่กงจื่อไม่ได้มาทำตัวตามสบายขณะที่ดูเขาซ้อมกระบี่ ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็ไม่ใส่ใจอะไรมาก

 

 

แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่รู้แล้วว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในสวนหลังบ้านนี้… หลี่ว์ซู่เพิ่งสัมผัสได้ว่าไห่กงจื่อนั้นคอยจัดของนู่นนี่ในสวนหลังบ้านขณะดูหลี่ว์ซู่ฝึกซ้อม

 

 

ของถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ขนาดที่จับขวดและหูจับแก้วยังหันไปทางทิศเดียวกันอยู่บนโต๊ะเลย…

 

 

เดี๋ยวก่อนนะ หลี่ว์ซู่มองไปที่ไห่กงจื่อ “นี่คุณเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำเหรอ”

 

 

ไห่กงจื่อตอบกลับอย่างดูแคลน “พวกมนุษย์ชอบพูดแบบนี้ ข้าแค่ชอบความสมบูรณ์แบบในโลกนี้เท่านั้นแหละ คนอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร”

 

 

อ้อ… หลี่ว์ซู่ผงกหัว เมื่อก่อนมันก็มีช่วงเวลาที่อาการป่วยทางจิตเกิดขึ้น และคนที่มีอาการก็จะถูกเรียกว่าเป็น’ ผู้ป่วย’ สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนั้นจะมีกิจวัตรประจำวันที่เป็นไปตามแผนเป๊ะๆ อย่างเช่นว่าพวกเขาจะต้องกินข้าวกลางวันตอนเที่ยงตรง กลับถึงบ้านสองทุ่มตรง หรือจัดของให้เป็นระเบียบ เคยมีคนไปสัมภาษณ์คนงานรางรถไฟที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ เขาบอกว่าตอนที่เขาซ่อมรางรถไฟนั้น เขาจะต้องทำให้แน่ใจว่ารางรถไฟนั้นจะไม่เลื่อนไปจากที่เดิมแม้แต่มิลลิเมตรเดียว นี่ก็เพื่อความสวยงามทั้งนั้น

 

 

สำหรับหลายๆ คนแล้วจะทนไม่ได้เลยถ้าของถูกขยับไปผิดแม้แต่องศาเดียว พวกเขาจะรับไม่ได้ถ้าของถูกโยนไปอย่างสะเปะสะปะ หากเป็นแบบนี้แล้วหมายความว่าตัวเองเป็นโรคหรือเปล่า ก็ไม่เสมอไป หลี่ว์ซู่คิดว่ามีคนไม่สามารถออกมายอมรับเรื่องนี้ได้เพราะคนอื่นๆ ไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนตัวเอง ถ้าเกิดมีสัญญาณต่างๆ แล้วก็ควรที่จะพูดได้ว่าตัวเองป่วย นี่ก็เหมือนกับว่าปลาใต้ทะเลลึกหลายตัวไม่สามารถรับรู้การมองเห็นได้ แล้วสามารถพูดได้หรือเปล่าล่ะว่าปลาพวกนั้นพิการ ก็ไม่ได้

 

 

หลี่ว์ซู่ผงกหัวเพื่อแสดงความเข้าอกเข้าใจสิ่งที่ไห่กงจื่อพูดออกมา “รู้ไหมครับ”

 

 

หลี่ว์ซู่พูดเสร็จก็เก็บกระบี่ก่อนที่จะเตรียมตัวกลับไปข้างในบ้าน ทิ้งให้ไห่กงจื่อสับสน

 

 

“รู้อะไรล่ะ เมื่อกี้เจ้าจะพูดว่าอะไร อย่าปล่อยให้มันค้างคาอยู่แบบนี้สิ พูดมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าจะพูดอะไรต่อ!”

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่ต้องการพูดกับไห่กงจื่อ เขาล็อกประตูห้องน้ำแล้วก็ไปอาบน้ำในอ่างอย่างสบายใจ หลังจากอาบเสร็จแล้วเขาก็เดินออกมาเห็นไห่กงจื่อมองเขาอย่างน่ากลัว

 

 

“พูดต่อให้จบเดี๋ยวนี้!”

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]

 

 

หลี่ว์ซู่คิดแล้วตอบออกไป “รู้ไหมครับว่าข้างภูเขา ริมทะเลสาบนั้นมีกลุ่มของ…” เขาหยุดอยู่แค่นั้นแล้วก็หันไปทำมื้อเช้ากิน

 

 

“ข้างภูเขา ริมทะเลสาบนั้นมีกลุ่มของอะไร! พูดต่อให้มันจบได้ไหม!” เอ๋าไห่โกรธจัด หลี่ว์ซู่จะเล่นไม้นี้ไปถึงเมื่อไหร่ ไม่ยอมต่อประโยคให้จบ พูดแล้วทิ้งให้คนอื่นค้างเนี่ยนะ

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset