ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 576 มา! มางัดกันสักตั้ง!

ตอนที่ 576 มา! มางัดกันสักตั้ง!

 

 

ข้างภูเขา ริมทะเล ยังมี… ยังมีอะไรอีกล่ะ! เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ไห่กงจื่อปวดหัวที่สุดในตอนนี้ ถ้านี่เป็นคนจากยุคปัจจุบันแล้ว คนพวกนั้นคงจะร้องเพลงท่อนนี้ไปแล้ว เพราะมันเป็นเนื้อเพลง แต่ไห่กงจื่อไม่เคยได้ยินมาก่อน

 

 

ทางหลี่ว์ซู่เองก็ใช่ว่าจะดีเหมือนกัน เพราะเขาเรียกไห่กงจื่อออกมาก่อนตลอดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม และเขาก็ไม่ให้ไห่กงจื่อกลับเข้าไปในกระบี่ด้วย ซึ่งมันก็เป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วน ไห่กงจื่อทราบข้อนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไห่กงจื่อก็จะออกมาเยาะเย้ยหลี่ว์ซู่ทุกวันที่เขาซ้อมเพื่อให้เขารำคาญใจ

 

 

ไห่กงจื่อหาคำตอบไม่ได้ เขารู้สึกว่าเรื่องมันไม่ควรจบง่ายๆ เช่นนี้ พรุ่งนี้เขาจะออกไปเยาะเย้ยหลี่ว์ซู่อีกจะได้เอาความโกรธเกลียดที่คั่งค้างอยู่ออกไปจากใจ

 

 

วันต่อมาช่วงก่อนรุ่งสาง ไห่กงจื่อก็ออกมาตามที่วางแผนไว้ แล้วในขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังฝึกออกกระบี่ เขาก็ได้ยินไห่กงจื่อพูดเบาๆ ว่า “ความก้าวหน้าของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วก็จริง แต่เทียบแล้วไม่ถึงหนึ่งในสิบของความแข็งแกร่งข้าหรอก ความสามารถของเจ้าอาจถือได้ว่าแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก ต้องแสดงความเสียใจด้วยนะ”

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ก็ได้ยินมาบ้าง”

 

 

หลังจากนั้นเขาก็ฝึกซ้อมต่อไป จนในสุดเขาก็ไม่ได้รับแต้มอารมณ์จากไห่กงจื่ออีกต่อไปจากที่รอเป็นเวลานาน

 

 

“หืม?” หลี่ว์ซู่งุนงง “ไห่กงจื่อ โรคย้ำคิดย้ำทำของคุณหายไปในชั่วข้ามคืนเหรอ”

 

 

แต่ไห่กงจื่อไม่สนใจเขาแล้วและพูดต่อ “เจ้าไม่รู้เหรอว่าการเคลื่อนไหวของเจ้ามันแข็งทื่อ เจ้ามันซุ่มซ่าม เซอะซะ!”

 

 

เอิ่ม…

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำไมมันดูไม่เข้าท่า โรคย้ำคิดย้ำทำจะหายไปในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนได้อย่างไร ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วมันไม่ถูกต้อง!

 

 

หรือว่าไห่กงจื่อจะแกล้งเป็นโรคนี้เมื่อวานกัน แต้มอารมณ์นั่นก็คงเป็นเรื่องโกหกด้วยเหมือนกันน่ะสิ!

 

 

ขณะที่หลี่ว์ซู่คิดอยู่นาน ไห่กงจื่อก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นแล้วกลับเข้ากระบี่เฉิงอิ่งไปด้วยสีหน้ายินดี

 

 

หลี่ว์ซู่ตอนนี้ตะลึงงันไปแล้ว ไห่กงจื่อได้ทำตามแผนหรือเปล่าเนี่ย มันไม่สมเหตุสมผลเลย หลี่ว์ซู่จมลงไปในความคิดตัวเอง ไห่กงจื่อจะออกมาเยาะเย้ยเขาก็อย่างไรก็ได้ แต่เขาเยาะเย้ยไห่กงจื่อคืนไม่ได้ หลี่ว์ซู่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!

 

 

คืนนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ส่งข้อความมาถึงหลี่ว์ซู่เพื่อเตือนเขาเรื่องความปลอดภัย แต่หลี่ว์ซู่สงสัยนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถึงไม่ได้รับแต้มอารมณ์มากเท่าเดิมแล้ว

 

 

จะอ้อมค้อมไปก็คงไม่ได้เรื่องอะไร กลับกัน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็พยายามคิดว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงชอบถามว่าเธอทำอะไรอยู่ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก

 

 

ก็แหงล่ะ หลี่ว์ซู่จะพูดอะไรได้ เขาไม่สามารถบอกเสี่ยวอวี๋ได้ว่าเขาได้รับแต้มอารมณ์ผ่านตัวเธอ

 

 

ในความเป็นจริงแล้ว เสี่ยวอวี๋ทำได้ดีในการฝึกฝนเลยล่ะ ตอนแรกเธอก็เป็นแกะดำในหมู่เพื่อนๆ แต่หลังจากที่เธอทำให้ทุกคนเชื่อถือในตัวเองได้แล้ว เสี่ยวอวี๋ก็ได้รับการยอมรับในที่แห่งนั้น

 

 

ในการต่อสู้กันแบบจริงจัง ทหารผู้บัญชาการมักใช้พวกผู้ชายเป็นเหตุผลให้พวกผู้หญิงฝึกหนักขึ้น แต่ตอนนี้เรื่องมันเปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาใช้เสี่ยวอวี๋ในการสอนพวกผู้ชายแทนว่าควรจะสู้อย่างไร

 

 

พวกเด็กผู้ชายที่อยู่ในการฝึกซ้อมนั้นหัวเสียกันมาก พวกเด็กผู้หญิงชุดนี้นี่จะแรงเยอะอะไรกันขนาดนี้นะ!

 

 

ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าเด็กผู้หญิงพวกนี้จะเปลี่ยนตัวเองจากที่เคยอ่อนแอได้ ตอนนี้พวกเธอไม่ใช่แค่แข็งแกร่งอย่างเดียวเท่านั้น แต่พวกเธอยังมีเทคนิคใหม่ๆ ในการต่อสู้จริงมาใช้ตลอด…

 

 

เสี่ยวอวี๋มักจะปฏิเสธพวกคนแปลกหน้าเพราะเธอโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ว่าจะต้องปกป้องตัวเอง แต่หลังจากเธอรู้ว่าพวกนั้นมีเจตนาที่ดีแล้ว เธอก็ค่อยๆ พังกำแพงลงมา และไม่ได้ดุเหมือนแต่ก่อนแล้ว

 

 

ตอนแรกที่เธอเจอหลี่เสียนอี เธอก็ใช้คำพูดแรงๆ กระทบกระเทียบให้เขารู้สึกแย่ๆ แต่พอเวลาผ่านไป เธอก็ไม่ได้ทำตัวหยาบคายกับหลี่เสียนอีแล้ว

 

 

ซึ่งก็เอาเปรียบเทียบได้กับสถานการณ์ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเสี่ยวอวี๋กับเพื่อนร่วมชั้นจะไม่เหมือนหลี่เสียนอี แต่เธอก็ลดระดับความหยาบคายกับคนอื่นลงมาบ้างแล้ว

 

 

พวกเด็กผู้หญิงเองตอนนี้ก็ไม่ค่อยบ่นเรื่องหลี่วเสี่ยวอวี๋เท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ที่การต่อสู้กันจริงจังได้ถูกระงับไปและมีการซ้อมกลยุทธ์ทางทหารเข้ามาแทน นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่เธอได้แต้มอารมณ์ที่ได้มาแม้แต่จากเด็กผู้ชายลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ถ้าจะให้พูด เสี่ยวอวี๋ก็คงโน้มน้าวผู้คนได้แล้วล่ะ

 

 

เธอรู้สึกว่าหลังจากนี้ถ้าเธอได้เจอหลี่อีเสี้ยว เธอจะลองขอให้เขาไปถามกับเนี่ยถิงดูว่าเธอสามารถสมัครเป็นราชันฟ้าได้หรือเปล่า…

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าตอนนี้เสี่ยวอวี๋สนุกสนานอย่างเต็มที่ เขาวางโทรศัพท์ลงแล้วร้องเพลงดาวดวงน้อยต่อ

 

 

เขานั่งขัดสมาธิในห้อง มีดวงดาวกว่าหมื่นดวงบนกาแล็กซีทางช้างเผือกปรากฏบนท้องฟ้าในเมืองลั่ว

 

 

ถ้ามีใครเห็นก็คงบอกว่านี่น่ะสวยกว่าแสงเหนือแสงใต้ซะอีก

 

 

ก่อนรุ่งสาง หลี่ว์ซู่ดึงกระบี่เฉิงอิ่งออกมาจากตราแผ่นดินแล้วตรงไปที่สวนหลังบ้าน การฝึกฝนก็เหมือนกับภูเขาสูง ใครๆ ก็ต้องพยายามถึงขีดสุดเพื่อที่จะไปถึงยอดภูเขา ถึงจะชมวิวจากจุดยอดนั้นได้

 

 

คนธรรมดาๆ คงคิดว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นคนโชคดีที่เกิดปะทุพลังขึ้นมา แต่ความเป็นจริงแล้ว หลี่ว์ซู่สงสัยในตัวเองมาตลอดว่าจะมีวันไหนที่เขาจะประสบความสำเร็จบ้างหรือเปล่า เพราะการมีชีวิตอยู่มาสิบเจ็ดปีเต็มทำให้เขาเข้าใจสิ่งหนึ่งได้ เขาจะต้องพยายามให้หนักกว่าคนอื่นถ้าอยากจะได้ชีวิตที่สุขสบาย

 

 

หลี่เสียนอีบอกไว้ว่าตอนที่เขาอายุเท่าหลี่ว์ซู่ เขายังเป็นคนเกียจคร้านอยู่เลย ส่วนหลี่อีเสี้ยวก็มักถูกพวกอาจารย์ตามตัวเพราะเขาชอบไปเที่ยวเล่น หลี่อีเสี้ยวคงจะยอมแพ้ในการมีชีวิตที่สุขสบายตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่ยังค่อยๆ ฝึกกระบี่จากการเหวี่ยงทีละครั้ง เขาใส่ใจลงไปในการเหวี่ยงแต่ละครั้งมาก

 

 

ไห่กงจื่อโผล่ออกมาจากกระบี่เฉิงอิ่งแล้วมองหลี่ว์ซู่เงียบๆ อยู่ๆ เขาก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา เทียบกับเจ้าของกระบี่เฉิงอิ่งคนก่อนๆ แล้ว หลี่ว์ซู่คงเป็นคนเดียวที่ขยันและเด็ดเดี่ยวที่สุด

 

 

แต่เขาชื่นชมหลี่ว์ซู่แค่ใจเท่านั้น ไห่กงจื่อไล่ความคิดนั้นออกไปแล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา “ถูกแล้ว เจ้าควรต้องมาฝึกกระบี่ตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้แหละ ความขยันอาจไปแทนที่ความเซอะซะของเจ้าก็ได้”

 

 

ไห่กงจื่อแอบคิดในใจว่าหลี่ว์ซู่ห่างไกลจากคำว่าซุ่มซ่ามนัก หลี่ว์ซู่ไม่ได้ยินอะไรอยู่แล้วนี่ เขาเลยไม่ต้องกลัวว่าหลี่ว์ซู่จะรู้สึกยังไง

 

 

แต่แล้วจู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็หยิบเอาถั่วแขกออกมาจากตราแผ่นดินแล้วปามันลงไปที่พื้น ถั่วพวกนั้นกระจัดกระจายอยู่ใกล้ๆ กันทั่วพื้น

 

 

“อ๊าๆๆ!” ไห่กงจื่อแทบเป็นบ้าตาย “ทำไมเจ้าต้องทำแบบนั้นด้วย!”

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]

 

 

ขณะที่ไห่กงจื่อพูด เขาก็นั่งยองๆ ลงบนพื้นแล้วเก็บถั่วแขกขึ้นมา ไห่กงจื่อไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะไปเตรียมหาถั่วแขกมาก่อน เขาไม่อยากเห็นถั่วพวกนี้ แต่เขาทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!

 

 

บรรยากาศที่สวนหลังบ้านเริ่มแปลกไป หลี่ว์ซู่ออกกระบี่อย่างเชื่องช้าพลางอดทนคำเหยียดหยามของไห่กงจื่อไปด้วย ส่วนไห่กงจื่อนั้นกำลังนั่งยองๆ เก็บถั่วแขกจากพื้น ตาปากก็ยังพ่นคำโจมตีหลี่ว์ซู่ไม่หยุด

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะเงียบๆ มา! มางัดกันหน่อยสักตั้ง!

 

 

หลี่ว์ซู่จะทนคำเหยียดหยามจากไห่กงจื่อไปได้นานแค่ไหน หากเขาทำให้ไห่กงจื่อยอมแพ้ไม่ได้ เขาก็ต้องทนฟังคำพูดพวกนี้ไปทุกวัน!

 

 

สองสามวันน่ะยังพอทนไหว แต่ถ้ามีคนมาดูถูกเขาขณะซ้อมมันทั้งสามร้อยหกสิบห้าวันทั้งปีแบบนี้ หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าควรจะต้องมีการแก้ไขปัญหาที่เข้าท่ากันสักหน่อย!

 

 

ไม่เขาก็ไห่กงจื่อที่ต้องยอมแพ้กันไป!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset