ตอนที่ 586 ออกเดินทางสู่หลัวปู้พัว
การเรียกตัวพวกหัวกะทิเก่งๆ ระดับ A กลับมาที่โรงเรียนนั้นก็เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเรียนธรรมดาๆ ที่ห้องเต้าหยวน เพราะฉะนั้นการเรียกหลี่ว์ซู่กลับมาก็เปรียบได้กับการสร้างขวัญกำลังใจให้พวกหัวกะทิระดับ A อีกที
ก็จริงอยู่ที่พวกหัวกะทิจะสามารถกระตุ้นให้กำลังใจหลี่ว์ซู่ได้เหมือนกัน เพราะพวกเขาเพิ่งเสร็จภารกิจกันมา มันก็จะมีบรรยากาศที่ทรงพลังรอบๆ ตัวพวกเขาที่รู้สึกได้
ภารกิจที่พวกเขาไปทำสำเร็จกันมานั้นเสี่ยงตายกันมากอยู่แล้ว ทำให้พวกเขาเติบโตกันมากขึ้นเมื่อได้ไปเผชิญหน้าความตายมาอย่างซึ่งๆ หน้า
ซึ่งเด็กหัวกะทิกว่าแปดสิบคนที่กลับไปยังวิทยาลัยบำเพ็ญในเมืองที่ประจำอยู่ของพวกเขานั้นทำให้พวกนักเรียนธรรมดาของห้องเต้าหยวนตื่นเต้นกันมาก เพราะพวกคนที่กลับมาล้วนบุคลิกและนิสัยเปลี่ยนแปลงไปชนิดที่ว่ากลายเป็นคนละคน
เนี่ยถิงและสือเสวจิ้นเองก็สังเกตเห็นการเติบโตที่รวดเร็วนี้เหมือนกัน ถ้าจะมีใครเลื่อนระดับเป็นระดับ B ในเวลาอันสั้นๆ ก็ถือว่าเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่กระนั้นความก้าวหน้าของหลี่ว์ซู่ก็ไปไกลยิ่งกว่า แต่ถ้าเขาหยุดพัฒนาตัวเองไป พวกคนอื่นก็สามารถแซงหน้าเขาไปได้ง่ายๆ เช่นกัน
เขาจะต้องทำตัวเป็นประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปต่างประเทศ
หลังจากที่เนี่ยถิงวางหูไป สือเสวจิ้นก็พูดออกมายิ้มๆ “คุณว่าหลี่ว์ซู่กับพวกหัวกะทิจะเป็นแรงบันดาลใจให้กันและกันที่โบราณสถานหลัวปู้พัวไหม แต่ผมสงสัยอยู่อย่าง หลี่เสียนอีไม่เคยบอกเลยว่าเขารับหลี่ว์ซู่เป็นศิษย์ แต่เขากลับสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้หลี่ว์ซู่ มีไม่กี่คนหรอกนะครับที่จะรับเอาเคล็ดลับภูเขาและทะเลแห่งพลังจากหอเกียรติกระบี่มาใช้ได้”
“ถ้าจำไม่ผิดหลี่ว์ซู่กับหลี่เสียนอีเป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่เข้าสู่ช่วงพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแล้วนะ เมื่อก่อนพอหลี่เสียนอีรู้ตัวว่าร่างกายตัวเองทรุดโทรมไปมาก เขาก็เลยอยากจะส่งต่อวิชาให้ได้เร็วที่สุด สงสัยว่าเขาคงสอนกระบี่ให้กับหลี่ว์ซู่ด้วยล่ะมั้ง แต่เรื่องที่ว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นศิษย์ของหลี่เสียนอีหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะหลี่เสียนอีเองก็ยังไม่เคยชักชวนให้หลี่ว์ซู่ไปเข้าร่วมกับมูลนิธิ” เนี่ยถิงตอบอย่างใจเย็น
“คุณคิดว่าหลี่ว์ซู่จะดูแลและพัฒนาให้มูลนิธิได้งั้นเหรอครับ ลืมเรื่องนั้นไปได้เลย” สือเสวจิ้นหัวเราะ
ตอนที่พวกเขาคุยกันอยู่นั้น อยู่ๆ โทรศัพท์ของเนี่ยถิงก็ดังขึ้นมา เขาเหลือบมองดูว่าใครโทรมาแล้วกดรับสาย “ว่าไง หลี่อีเสี้ยว”
[ผมขอรับอนุญาตให้ไปเข้าเรียนเป็นกรณีพิเศษเหมือนกันได้ไหมครับ ผมว่าหลังๆ มานี่ผมไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่ ผมก็เลยอยากเรียนหนังสือเสียหน่อย ถ้าให้โอกาสแล้วละก็ ผมจะรับใช้ประเทศให้ดีที่สุดเลยครับ]
เนี่ยถิงหายใจเข้าลึกแล้วตะเพิดกลับ “ไสหัวไปซะ”
…
หลังจากที่ส่งหลี่อีเสี้ยวกลับไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็เริ่มเก็บกระเป๋า เขาเก็บเสื้อผ้าไปไม่กี่ชุด นอกจากนั้นก็เป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้และอาหารนิดหน่อย
เขาได้หาข้อมูลเพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับทะเลสาบหลัวปู้พัวมาบ้าง ดูเหมือนว่าสถานที่นั้นจะเป็นพื้นที่แห้งแล้งและมีสันเขาที่เกิดจากพื้นดินถูกลมกัดกร่อนจนกลายเป็นร่องตามแนวยาว ส่วนใหญ่จะเป็นทะเลทรายและไม่ค่อยมีพืชพรรณขึ้นเท่าไหร่ น้ำดื่มคงจะหายากน่าดู แต่เครือข่ายฟ้าดินคงจะเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วเพราะมีคนไปเยอะในการเดินทางนี้ นอกจากนั้นเฉินไป่หลี่เองมีอุปกรณ์ที่เอาไว้เก็บของแบบล่องหนไปด้วย พวกราชันฟ้านั้นมีกันทุกคนนั่นแหละ
มีเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาหลายเรื่องที่เชื่อถือไม่ค่อยได้ หลี่ว์ซู่เชื่อว่าในยุคแห่งพลังจิตวิญญาณแบบนี้ พวกผู้บำเพ็ญนั้นคงไม่สนใจอุปสรรคตามธรรมชาติอย่างพายุทะเลทรายเท่าไหร่หรอก
กระนั้นโบราณสถานนั้นก็บ่งชี้ว่ามันมีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่ พวกเขาคงไม่ต้องต่อสู้กับภัยทางธรรมชาติอะไร แต่เป็นพวกสัตว์วิเศษหรืออะไรแปลกๆ มากกว่า
หลี่ว์ซู่ได้ยินมาจากหลี่อีเสี้ยวว่าพวกหัวกะทิระดับ A นั้นเติบโตขึ้นมากหลังจากไปเผชิญภารกิจเสี่ยงตายกันมาแล้ว
และตอนนี้นักศึกษาในวิทยาลัยก็ถูกบังคับให้ฝึกฝนการต่อสู้ในการไปโบราณสถานแห่งนี้ คงจะบอกได้ว่าเครือข่ายฟ้านั้นมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทีเดียว
จงอวี้ถังได้บอกให้หลี่ว์ซู่ออกเดินทางในคืนนั้น ทำให้หลี่ว์ซู่มีเวลาไปหาซื้อแว่นตากันลมและเสื้อกันลมมาได้ นี่ไม่ใช่ว่ากลัวหนาวหรอกนะ แต่เขากังวลว่าจะมีเศษทรายเข้าตาทำให้มองไม่เห็นได้ เงินที่เสียไปกับของพวกนี้น่ะไม่เท่าไหร่เลยถ้าเทียบกับประโยชน์ที่จะได้จากการไปสำรวจโบราณสถาน
หลี่ว์ซู่ใช้เวลาต่อรองราคาไปสามชั่วโมงเท่านั้นเอง…
ในตอนที่รถที่จงอวี้ถังส่งมารับเขามาถึง หลี่ว์ซู่ยังยุ่งอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าอยู่เลย…
พอหลี่ว์ซู่กลับมาก็เห็นจงอวี้ถังรออยู่หน้าบ้าน จงอวี้ถังเงียบไป แต่แล้วก็ถามออกมาในที่สุด “บอกมาสิว่านายไปไหนมา ทำไมถึงใช้เวลานานแบบนี้”
หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวิก่อนจะตอบกลับด้วยคำตอบที่ดูแสนฉลาด “ผมเป็นสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินนี่ครับ ผมก็เลยไปถามความเห็นของผู้คนเกี่ยวกับราคาสินค้าในยุคของผู้มีพลังมา”
“งั้นไปได้อะไรมาบ้างล่ะ” จงอวี้ถังถามอย่างอึ้งๆ
“ผมว่าราคามันสูงเกินไปน่ะครับ ก็เลยบอกพวกเขาไปว่าตั้งราคาแบบนี้มันไม่ถูก” หลี่ว์ซู่ตอบ
“อธิบายการต่อราคาให้สวยหรูเชียวนะ! นายต่อราคาถุงเท้าคู่เดียวเป็นชั่วโมงด้วยซ้ำ” จงอวี้ถังพูดเสียงเรียบ
[ได้แต้มอารมณ์จากจงอวี้ถัง +666!]
“ฮ่าๆ ดูคุณสิ” หลี่ว์ซู่ยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วนแต่ก็ยังคงความสุภาพ “รถเราคันไหนครับ แล้วคุณเองจะไปเมื่อไหร่”
ตามแผนเดิมแล้วหลี่ว์ซู่จะต้องไปที่ค่ายฝึกของห้องเต้าหยวนที่เป็นทางแยกของสามมณฑลก่อนที่จะไปหลัวปู้พัวโดยการนั่งรถทหารไป
เขาได้ยินมาว่าพวกนักเรียนบางส่วนนั้นออกเดินทางไปก่อนหน้าหลายวันแล้ว และเขาจะต้องเดินทางไปพร้อมกับนักเรียนกลุ่มสุดท้ายซึ่งเป็นพวกนักเรียนเจ็ดคนที่บาดเจ็บมาขณะฝึกฝนขั้นสำคัญ
พวกเขาจะไปได้ก็ต่อเมื่อหายดีแล้ว เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมา ก็อาจจะทำให้แผลไม่หายดีได้
พวกนักเรียนเจ็ดคนนั้นไม่เคยเจอหลี่ว์ซู่ที่ค่ายเลย พอพวกเขาได้มารวมกลุ่มกัน หลี่ว์ซู่ก็มามือเปล่าอีก ส่วนพวกเขานั้นต้องแบกเป้ใบใหญ่ที่มีทั้งเสบียงอาหารและเต็นท์นอน
บรรยากาศโดยรอบเลยค่อนข้างกระอักกระอ่วน เหมือนกับว่าหลี่ว์ซู่มาเที่ยวเฉยๆ แต่คนอื่นๆ ต้องไปรบในสนามรบอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งเจ็ดคนนั้นไม่ได้มาจากทีมเดียวกันแต่ก็เริ่มคุ้นเคยกันในห้องพยาบาล มีคนหนึ่งกระซิบออกมาเบาๆ “ไอ้หมอนั่นใครน่ะ ผิวขาวเชียว ฉันว่ามันไม่เคยไปฝึกมาหรอก เป็นเด็กเส้นเหรอ”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ เพราะพวกเด็กที่มีสิทธิพิเศษจากครอบครัวนั้นไม่จำเป็นต้องมาฝึกทหารก็ได้
“เห็นด้วย ผิวไม่ค่อยคล้ำเลย อีกอย่างพวกหัวกะทิระดับ A น่ะคล้ำกว่าเราอีก หมอนั่นไม่น่าจะใช่พวกหัวกะทิหรอก” อีกคนกระซิบมาจากข้างหลังเหมือนกัน พวกเขาได้เห็นพวกหัวกะทิแล้ว พวกเขาผิวดำคล้ำจากการฝึกอย่างหนัก ถ้าจะไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นแล้ว จะให้โปะครีมกันแดดเท่าไหร่ก็คงไม่พอหรอก