เอาล่ะ– ถึงเวลาสำหรับมื้อค่ำแล้ว
หลังคุณซิลเวียกับผมที่ทำความสะอาดร่างกาย
และเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จ ก็ได้มุ่งหน้าไปสถานที่จัดงานเลี้ยง
พวกเราทั้งสองคนมุ่งหน้าไปอาคารที่สูงที่สุดในย่านที่อยู่อาศัย
อาคารนี้ก็เป็นสีขาวเหมือนกับอาคารอื่นๆ
แต่ที่แตกต่างกันก็คือความสูงของที่นี่นั้นสูงกว่าที่อื่นมาก
นับจากหน้าต่างที่เห็นจากตรงนี้แล้ว คงจะสูงประมาณซัก 7 ชั้นได้
พอผมเดินเข้าไปในอาคาร ก็มีดาร์กเอลฟ์ที่น่าจะเป็นยามเฝ้าได้ยื่นแผ่นวงเวทย์ให้ผม
ไม่นานนั้นก็มีวงเวทย์ปรากฎขึ้นมา และเวทย์เทเลพอร์ตก็ถูกเปิดใช้งาน
โดยเทเลพอร์ตผมกับคุณซิลเวียขึ้นไปที่ดาดฟ้าชั้นบนสุดของอาคาร
แผ่นวงเวทย์อันนี้เป็นไอเทมที่แม้แต่ผู้ไม่มีพลังเวทย์ก็ใช้ได้
โดยจะทำให้ผู้ที่ใช้สามารถใช้เวทย์ที่สลักอยู่บนแผ่นหนังได้
มันไม่ใช่ของที่มีขายทั่วไปอยู่ตามตลาดท้องตลาด แถมราคาก็แพงด้วย
การที่เอาของแบบนั้นมาใช้แบบนี้ก็แสดงให้เห็นได้เลยว่าพิธีในครั้งนี้นั้น
มีความสำคัญมากถึงขนาดไหน
“เรียว นายนั่งตรงนี้ก็แล้วกันนะ”
“อา”
ผมนั่งลงตรงที่ที่คุณซิลเวียบอก
ในตอนที่ผมกำลังจะนั่งคุณซิลเวียก็ดึงเก้าอี้ออกมาให้ผมนั่งด้วย
จะเรียกว่าเป็นผู้หญิงที่ดูเท่ หรือผู้หญิงดูเป็นสุภาพบุรุษดีกันล่ะเนี่ย
หลังจากที่ผมนั่งลง คุณซิลเวียก็นั่งลงที่ทางฝั่งขวามือของผม
“ฮุฮุ ไม่ต้องประหม่าถึงขนาดนั้นก็ได้นะเรียวคุง”
และคนที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือของผมคือคุณแม่ของคุณซิลเวีย
เครือญาติของผู้มีคุณสมบัติในการรับมรดกนั้น
สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำนี้ด้วยได้มากสุดแค่สองคนเท่านั้น
คุณพ่อปฏิเสธที่จะมางานเลี้ยงอาหารค่ำและรออยู่ที่บ้าน
ก็เลยมีคุณแม่ของคุณซิลเวียและผมที่มาด้วยกัน
แล้วเธอหันมาที่ผมและยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับผม
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หม่าม้าก็จะคอยอยู่ด้วยตลอด เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปนะ♡ จะว่าไปแล้วเรียวคุงนี่น่ารักจริงๆนะ ถึงตอนแรกจะเป็นห่วงเบบี้จังอยู่ก็เถอะ แต่ถ้ามีคนดีๆแบบนี้คอยอยู่เคียงข้างเบบี้จังของฉัน ก็รู้สึกวางใจได้แล้วล่ะน้า”
“เอ่อ…ท่านแม่….ทั้งต่อหน้าเรียว ต่อหน้าหนู หรือจะต่อหน้าคนอื่น….แบบว่า ช่วยหยุดเรียกหนูแบบแปลกๆอย่างนั้นทีจะรึเปล่า?”
คุณซิลเวียทำหน้าไม่พอใจตอนที่พูดแบบนั้น
และในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงระฆังดังมาจากที่ไหนซักแห่ง
คุณซิลเวียกับคุณแม่ก็ยิ้มออกมา
ผมตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นและกลับมานั่งที่เหมือนเดิม
จากนั้นก็มีแสงสีน้ำเงินอมฟ้าปรากฎขึ้นที่ด้านสั้นของโต๊ะยาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ผมรู้สึกตกใจมาก แต่คุณซิลเวียกับคุณแม่ของเธอ
รวมถึงคนอื่นๆที่นั่งอยู่บนโต๊ะ กลับดูไม่มีทีท่าแปลกใจอะไรกันเลย
ในขณะเดียวกัน แสงก็ค่อยๆสว่างขึ้นและเริ่มเห็นเป็นร่างกายของดาร์กเอลฟ์หญิง
“ทุกคน ขอขอบคุณที่มากันในครั้งนี้เพื่อคนแก่คนนี้นะ”
ดาร์กเอลฟ์หญิงคนนั้นค่อนข้างตัวโปร่งใสเล็กน้อย
ดวงตาของผมถึงกับเบิกกว้าง เพราะตรงหน้าของผมนั้นคือผีล่ะ
(ต้นฉบับใช้คำว่าGhostเลยแต่ผมขอใช้คำว่าผีครับเพราะง่ายดี55)
ปกติแล้วคนที่กลายเป็นผีมักจะสูญเสียสติและเหตุผลไปจนไม่สามารถพูดคุยอะไรกันได้
แต่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าผมนี้กลับมีสติและเหตุผลอยู่ครบสมบูรณ์
นอกจากนี้ พอวิเคราะห์จากบทสนทนาที่คุยกันก่อนหน้านี้แล้ว
ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะเป็นท่านทวดของคุณซิลเวียนะ
ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นจึงหันไปถามคุณซิลเวียด้วยสายตา
“หืม ฉันยังไม่ได้บอกหรอกเหรอ? ท่านทวดของฉันเป็นเนโครแมนเซอร์น่ะ ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านได้ฝึกฝนวิชาลับเพื่อที่จะทำให้ตัวเองสามารถกลายเป็นผีได้น่ะนะ แต่ถึงจะว่างั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่แบบนี้ได้ตลอดไปหรอกนะ เพราะถ้าผ่านไปซัก 10 ปีแล้วก็จะสลายหายไปน่ะ….”
จำไม่เห็นจะได้ว่าเคยบอกเลยนะคุณซิลเวีย
แต่ก็นะ ถึงต่อให้ผมจะได้ยินมาก่อนผมก็คงไม่สามารถทำความเข้าใจได้อยู่ดีนั่นแหละ
เพราะว่าเรื่องแบบนี้มันเหนือความคาดหมายมากๆเลยล่ะ
เนโครแมนเซอร์คือคนที่สามารถจัดการกับร่างกายของคนตายและพวกผี
แต่บอกตามตรงผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีเนโครแมนเซอร์
ที่กลายไปเป็นผีหลังจากที่ตายไปแล้วด้วยอยู่น่ะ
แต่จะว่าไป ปกติแล้วมันก็คงจะไม่มีคนธรรมดาที่ไหนเค้าคิดจะทำกันหรอกนะ
เพราะถ้าเกิดว่ามันพลาดขึ้นมา อาจจะต้องสูญเสียสติและความมีเหตุมีผล
และจบลงด้วยการเร่ร่อนไปตลอดกาลเลยก็ได้นะ?
สมกับที่เป็นสายเลือดของคุณซิลเวียเลยแฮะ
มิน่าล่ะ เพราะงี้ผมถึงรู้สึกใจเต้นตุบตับแปลกๆตอนที่คุณซิลเวียพูดเรื่องนั้นนี่เอง
เรื่องที่ว่าก็คือการที่แม้ท่านทวดจะเสียชีวิตไป
แต่ดันกลับพูดว่าอยากเห็นเหลนเป็นเจ้าสาวเนี่ย
ฟังยังไงมันก็รู้สึกขัดแย้งกันอยู่แล้ว แต่สรุปแล้วเรื่องมันเป็นงี้นี่เองสินะ
“ฉันคิดว่าทุกคนก็คงจะรู้เรื่องเกี่ยวกับฉันและมรดกของฉันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ แต่ถึงอย่างงั้น….ก็ไม่คิดเลยว่า ลิเลีย เอย์เซน คิยาโนโตะ และซิลเวีย ทั้งสี่คนจะได้พบกับคู่หมั้นแบบนี้ น่าดีใจจริงๆ เพียงเท่านี้ฉันก็จะสามารถไปสู่สุขติได้อย่างสบายใจแล้วสินะ”
ท่านทวดมองทุกคนด้วยรอยยิ้ม
“งานแต่งจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ครั้งนี้เราแค่มาพบหน้ากันเฉยๆน่ะนะ ถ้างั้นก่อนอื่น ช่วยแนะนำให้รู้จักกันหน่อยสิ”
โอ๊ะโอ๋ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่ใช่เวลาที่จะมามัวแต่ตกใจสินะ
คุณซิลเวียกับผมค่อยๆลุกขึ้นยืน ในขณะเดียวกันท่านทวดก็มองมาที่พวกเรา
แถมก่อนผมจะยืนขึ้น คุณซิลเวียก็ดึงเก้าอี้ออกให้ผมด้วย เท่จริงๆเลยนะเนี่ย
แถมวันนี้คุณซิลเวียยังใส่ชุดเมอร์เมดเดรสสีไวน์แดงด้วยล่ะ
และผมกับผู้เข้าร่วมคนอื่นๆก็ใส่ชุดที่เหมาะกับพิธีการเหมือนกัน
ไหล่สีน้ำตาลที่เปิดโล่งให้เห็นชัดเจน และตัวเดรสก็ยังเปิดเผยขาให้เห็นด้วย
สีของดวงตาเธอกับสีของชุดนั้นดูเข้ากันมากเลยล่ะ
“ท่านทวดคะ นี่คือเรียวคู่หมั้นของหนูเองค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมเรียวครับ เป็นพนักงานกิลด์ที่ทำงานอยู่ที่กิลด์นักผจญภัยในเมืองคาสซานดร้าครับ”
ผมสบตากับท่านทวดพร้อมพูดไปด้วย
“เดิมที่แล้วพวกเราควรจะมาทักทายก่อนที่คุณจะชวนพวกเรามาที่หมู่บ้านแบบนี้ด้วยซ้ำ….ที่ต้องมาหลังจากที่เชิญมาแบบนี้ต้องขออภัยด้วยจริงๆครับ”
“ไม่ละๆ นี่มันก็เป็นเพราะความเอาแต่ใจของฉันเองด้วยแหละ ไม่ต้องไปใส่ใจนักหรอกนะ”
ท่านทวดมองมาที่ผมด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะประหลาดใจ
แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นประหลาดใจในทางที่ดีล่ะนะ
“ฮึฮึ ท่านทวดคะ เขาคนนี้น่ะ ถึงแม้ว่าหนูจะเป็นผู้หญิงที่น่าเกลียดแบบนี้ แต่เขาก็ปฏิบัติกับหนูด้วยความจริงใจเหมือนที่เห็นอยู่ตอนนี้เลยแหละค่ะ”
คุณซิลเวียพูดขึ้นมาและโน้มตัวมาทางผม
“หนูคงจะทำให้ท่านทวดต้องรู้สึกเป็นห่วง แต่ว่าในที่สุด หนูก็ได้เจอกับคนที่หนูสามารถเปิดใจให้ได้อย่างแท้จริงแล้วล่ะค่ะ”
คุณซิลเวียพูดแบบนั้นเสร็จ เธอก็หันมามองที่ผมและยิ้มให้กับผม
แล้วผมก็ยิ้มกลับไปให้เธออย่างเป็นธรรมชาติและใช้แขนโอบไหล่ของเธอไว้
ทันใดนั้นท่านทวดก็เบิกตากว้าง แล้วก็มีเสียงพึมพำเบาๆจากผู้เข้าร่วมงานคนอื่นๆด้วย
แต่ถึงรอบตัวจะมีอะไรเกิดขึ้น
แต่คุณซิลเวียก็ยิ้มออกมาอย่างสดใสโดยไม่ได้สนใจรอบข้างแต่อย่างใด
“จริงแล้วคนที่เป็นคนผลักดันให้หนูหย่าก็คือเขาเองค่ะ เขาเป็นคนที่มอบความกล้ามากมายให้กับหนู ถ้าไม่มีเขาล่ะก็ หนูก็คงจะได้ใช้ชีวิตต่อไปโดยที่ยังโดยต้องอดทนและปิดกั้นตัวเองก็เป็นได้ค่ะ”
คำพูดในตอนนี้น่ะ
ไม่รู้ว่าเป็นคำพูดที่แสดงออกมาเพื่อเอาใจท่านทวดหรือเป็นใจจริงของคุณซิลเวียกันแน่
แต่ไม่ว่าจะอันไหนผมทำรู้สึกเขินอายนิดๆเหมือนกันอยู่ดีแหละ
“งั้นเหรอ…..”
แล้วน้ำตาก็ได้ไหลออกมาจากตาของท่านทวด
ผมแอบแปลกใจเหมือนกันนะ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผีแต่เธอก็ยังมีน้ำตา
แต่ถึงแบบนั้น น้ำตานั้นมันก็ยังเป็นแสงสีฟ้าอมขาวและจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่น้ำตานั้นจะร่วงลงไปบนพื้นซะอีก
“ซิลเวีย…..คู่แต่งงานคนก่อนของเธอน่ะคือคนที่ฉันจัดการให้หลังจากที่ไปปรึกษากับพ่อแม่ของเธอมาแล้ว ฉันเคยคิดว่านั่นเป็นการทำเพื่อเธอ…..แต่พอตอนที่ฉันได้ยินว่าชีวิตแต่งงานของเธอไม่มีความสุขเลย ฉันก็รู้สึกเสียใจมากเลยล่ะนะ….”
“ท่านทวด….”
“แต่ว่า พอได้เห็นหน้าของเธอในวันนี้แล้ว ความรู้สึกเสียใจในที่อยู่ภายในอกมันก็ได้หายไปหมดแล้วล่ะนะ”
แล้วท่านทวดหันมาก้มหัวให้ผมและพูดออกมาทั้งน้ำตา
“ท่านเรียว ต้องขอขอบคุณจริงๆ ชีวิตคู่ของทั้งสองคนหลังจากนี้ ขอให้มีแต่ความสุขนะ”
โล่งอกไปที ดูเหมือนว่าการทักทายของผมจะสร้างความประทับใจได้ดีเกินคาดนะเนี่ย
พอพวกเราสองคนนั่งลงด้วยความโล่งใจ คราวนี้คู่ถัดไปที่นั่งอยู่ข้างหน้าพวกเราก็ได้ลุกขึ้นยืน
ดูเหมือนว่าจะไม่มีญาติที่มาเข้าร่วมกับทั้งคู่ เพราะเก้าอี้สองตัวข้างๆนั้นว่างเปล่า
ในบรรดาคู่หมั้น ผู้ชายคนนี้มีรูปร่างที่ดูอ้วน จมูกโด่งและตาใหญ่ใบหน้าคล้ายๆกับออร์ค
ถ้าคิดตามค่านิยมของโลกนี้เขาก็คงจะอยู่ในหมวดที่เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มหล่อล่ะนะ
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีทัศนคติที่ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไหร่นะ
ถึงแม้ว่าเขาจะยืนขึ้่นแต่เขาก็ไม่ได้พยายามจะทักทายเลยแม้แต่น้อย
เขาเพียงแค่มองไปทางนั้นแบบไม่มีไร้เรี่ยวแรง
เฮ้ยๆ……
ในตอนที่ผมกำลังรู้สึกประหลาดใจ ผู้หญิงคนข้างๆก็ได้เปิดปากขึ้น
“ได้เจอท่านทวดอีกครั้งแบบนี้ ลิเลียน่ะมีความสุขมากเลยล่ะค่า♡”
เรียกว่าสีสตรอว์เบอร์รีบลอนด์รึเปล่านะ
ผมของเธอจะดูออกเป็นสีชมพูหรือสีบลอด์นั้น
เหมือนจะขึ้นอยู่กับแสงที่ตกกระทบ
สีตาของเธอเป็นสีแดงอมม่วง
ได้ยินมาว่าเป็นดาร์กเอลฟ์นี่นา แต่ผิวของเธอกลับเป็นสีขาว
เธอตัวเล็กเหมือนกับเด็กวัยรุ่นช่วงต้น
แถมค็อกเทลเดรสสีชมพูแซลมอนที่เธอใส่นั่นยิ่งทำให้เธอดูเด็กกว่าเดิมอีก
หน้าตาค่อนข้างจะน่ารัก มีตาสองชั้น แก้มที่อวบอิ่ม และริมฝีปากค่อนข้างเล็ก
ถ้าเป็นในโลกเดิมของผมล่ะก็ เธอคงจะได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชายที่ชอบแนวเด็กสาวแน่ๆ
อ๊ะ จะว่าไปแล้วพูดถึงชื่อของน้องสาวต่างแม่ของคุณซิลเวียแล้วเหมือนจะชื่อว่าลิเลียสินะ?
ถ้างั้นก็แปลว่าเป็นเด็กคนนี้เองงั้นเหรอ!
งี้นี่เอง ที่เด็กคนนี้มีผิวสีขาว ก็เพราะว่าพ่อคุณซิลเวียมีผิวขาวนี่เองสินะ
“หลังจากที่ท่านทวดเสียไป ลิเลียก็รู้สึกเหงามากเลยล่ะค่า….แต่หนูมีเรื่องนึงที่จะพูดกับท่านทวดอยู่น่ะค่ะ”
“เรื่องอะไรงั้นเหรอลิเลียเอ๋ย?”
“เรื่องคู่หมั้นของผู้หญิงคนนั้นน่ะนะค้า นั่นน่ะเป็นคู่หมั้นจริงๆแน่รึเปล่านะคะ? เพิ่งจะหย่าไปเองแท้ๆ แต่จะมีคนใหม่ได้ทันทีเลยเนี่ยมันไม่น่าเป็นไปได้หรอกนะค้า ไม่ใช่ว่าใช้เรื่องมรดกมาเป็นเหยื่อล่อเขางั้นหรอกเหรอ?”
ที่น้องสาวของคุณซิลเวีย– ที่ลิเลียจู่ๆก็พูดแบบนั้นออกมาอย่างอุกอาจ
แถมยังชี้นิ้วใส่คุณซิลเวียแบบนั้นทำผมรู้สึกประหลาดใจมาก
แต่ว่าคุณซิลเวียก็ได้ยิ้มกลับไปหาลิลิธด้วยรอยยิ้มที่ดูใจดี
“ให้ตายสิ ก็นึกว่าจะพูดเรื่องอะไร……แล้วที่พูดมานั่น เธอมีหลักฐานรึเปล่าล่ะลิเลีย?”
“ก็ไม่มีหรอกน้า~…..แต่ว่าถ้าคิดตามปกติแล้วมันก็แปลกไม่ใช่เหรอ? เพิ่งจะเลิกกับผู้ชายคนหนึ่งไปแท้ๆ แต่ทำไมถึงยังมีผู้ชายคนใหม่มาอีกล่ะ?”
“ถ้าไม่มีหลักฐาน ก็หยุดพูดจาส่งเดชได้แล้ว ถ้าพูดมากไปกว่านี้จะถือว่าเป็นการหมิ่นคู่หมั้นของฉันนะ”
“ลิเลียเอ๋ย ถ้ามากไปกว่านี้ล่ะก็ ฉันก็จะโกรธแล้วเหมือนกันนะ ถึงจะติดใจเรื่องของซิลเวียหรือไม่ก็ตาม แต่เวลาจะพูดอะไรก็ควรจะดูกาลเทศะหน่อยนะ”
“ค่า…..”
หลังจากโดนคุณซิลเวียกับท่านทวดดุ ลิเลียจังก็นั่งหน้าจ๋อยไปเลย
ชายรูปร่างเหมือนออร์คคนนั้นก็เงียบจนถึงที่สุดและก็นั่งตามลิเลียจังลงไป
แต่ผมได้ยินมาว่าเธอเป็นลูกครึ่ง ผมเลยคิดว่าคุณซิลเวียกับลิเลียจัง
ก็น่าจะถือว่ามีความสนิทกันมากกว่าคนอื่นในบรรดาเครือญาติแท้ๆ…..
แต่จากที่ดูจากบรรยากาศในตอนนี้แล้ว ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ
อืม….แบบนี้มันค่อนข้างจะดูมีปัญหามากกว่าที่คิดเลยนะ