เช้าวันต่อมา
หลังจากเฮเลนาฝึกฝนตอนเช้าตรู่และรับประทานมื้อเช้าที่อเลกเซียนำมาให้ได้ไม่นาน ฟาร์มาสก็มาถึง
“เตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม?”
“ค่ะท่านฟาร์มาส”
แม้จะรู้สึกไม่ชินกับสถานการณ์ที่ฟาร์มาสมาเยือนตั้งแต่ตอนเช้าแบบนี้อยู่บ้าง แต่เธอก็ตอบไปเช่นนั้น
เฮเลนาได้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อนี่เป็นการไปขี่ม้าท่องเที่ยวบางทีลมมันอาจจะหนาวเย็นก็ได้ ดังนั้นเธอจึงสวมเสื้อนอกทับเพิ่มอีกชั้น นอกจากนี้เพราะจะต้องขี่ม้าจึงไม่ควรใส่กระโปรง ท่อนล่างของเธอเลยเป็นกางเกงที่เนื้อผ้าหนาแทน
ส่วนที่เอวก็มีถุงกระสอบขนาดใหญ่หน่อยซึ่งได้ไหว้วานให้อเลกเซียช่วยจัดเตรียมให้
และในส่วนของฟาร์มาส เขาแต่งกายในแบบที่ดูเรียบง่ายกว่าปกติ อีกทั้งยังสวมหมวกที่ปิดเกือบถึงตา
คงเป็นเพราะวันนี้เป็นการออกไปแบบเป็นการลับ ดังนั้นเขาก็เลยปลอมตัวแบบเบา ๆ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของมวลชนทั่วไปกระมัง
แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ปิดบังใบหน้าที่เพียบพร้อมนั้นอยู่ดี
“อืม ชุดเดรสปกติก็ดี แต่นักรบอย่างเจ้าเหมาะกับชุดแบบนี้มากกว่าจริง ๆ ด้วย”
“ขอบพระคุณค่ะ”
“ทว่าส่วนตัวแล้วเราอยากเห็นชุดที่น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนคราวก่อนนะ……”
“เอ่อ นั่น……”
“แต่ก็ นะ……”
ฟาร์มาสทอดถอนใจเบา ๆ และสังเกตได้ว่าสายตาของเขาเหลือบมองไปทางเกรเดียอยู่เล็กน้อย
‘ไอ้อาการเบรกแตกแบบเมื่อวันนั้นน่ะขอทีเหอะ’ นั่นคือความนึกคิดที่มีร่วมกันของทั้งฟาร์มาสและเฮเลนา
“อ่า เอาเถอะ ก่อนอื่นเราไปที่คอกม้ากันดีกว่า”
“รับทราบค่ะ”
“เจ้าจะพานางกำนัลไปด้วยไหม?”
“ไม่ค่ะ ข้าให้อเลกเซียอยู่เฝ้าที่นี่”
“งั้นรึ งั้นก็ดี”
เคยคิดว่าจะพาอเลกเซียไปด้วยอยู่เหมือนกัน แต่อเลกเซียนั้นคอยรปรนนิบัติรับใช้เฮเลนาอยู่ทุกวันอยู่แล้ว
บางครั้งบางคราวเธอก็ต้องให้อเลกเซียได้พักผ่อนเสียบ้าง ดังนั้นวันนี้จึงเป็นเฮเลนาคนเดียวที่ออกไปข้างนอก
“แล้วเจอกันนะ อเลกเซีย”
“ค่ะ จะทำความสะอาดห้องให้เสร็จก่อนที่ท่านจะกลับมานะคะ”
“……ไม่ใช่อย่างนั้นสิ จะพักผ่อนก็ได้นะ”
“พักหลังมานี้ไม่ค่อยได้มีโอกาสทำความสะอาดเท่าไรเลยค่ะ ไหน ๆ นี่ก็เป็นโอกาสดีจึงจะขอทำรวดเดียวไปเลย”
“งั้นรึ งั้นก็ฝากด้วยนะ”
ตั้งใจจะให้ได้พักผ่อนแท้ ๆ แต่อเลกเซียกลับอยากจะทำงานแฮะ
แต่ก็นะ มันก็จริงที่เธอต้องมาช่วยในการฝึกของเฮเลนาทุกวี่ทุกวันจนละเลยการทำความสะอาดไป ถ้าอเลกเซียจะช่วยใช้โอกาสนี้ในการทำให้ห้องมันสะอาดเรียบร้อยก็ดีเหมือนกันกระมัง
จากนั้น เธอก็ได้โดนฟาร์มาสจูงมือมุ่งไปยังคอกม้า
การมาจับมือกันเดินไปแบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกประหม่าอย่างไรชอบกล
และไม่นานนักก็มาถึงคอกม้าซึ่งอยู่ด้านหลังของพระราชวัง ที่มีม้าผูกเอาไว้อยู่
“เราจะขี่ซิลวาเหมือนทุกทีแล้วกัน เจ้าล่ะสนใจม้าตัวไหน?”
“อ่า……”
ม้ามีจำนวนอยู่สิบกว่าตัว ส่วนม้าพันธุ์ดีที่มีขนสีเงินและและดูร่างกายแข็งแรงตัวนั้นที่ฟาร์มาสไปยืนอยู่ตรงหน้าเกรงว่าคงจะเป็นซิลวากระมัง
ม้าตัวอื่น ๆ ที่เหลือเองก็คงจะเป็นม้าที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีเหมือนกัน ทว่าเฮเลนาก็ไม่ได้สันทัดเรื่องม้าขนาดที่ว่ามองปราดเดียวแล้วรู้ได้เลยว่าม้าตัวไหนคือม้าดี
ใจจริงแล้วก็คิดว่าขอแค่วิ่งได้จะม้าตัวไหนก็ไม่เกี่ยงเป็นพิเศษ
“เช่นนั้น……เอาเป็นม้าสีเกาลัดตรงนั้นแล้วกันค่ะ”
ท้ายที่สุดแล้วม้าที่เธอเลือกก็คือม้าขนสีเกาลัดที่อยู่ถัดมาจากซิลวาม้าของฟาร์มาส
ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ แต่แค่คิดว่าในเมื่อมันอยู่คอกติดกับซิลวาอยู่แล้วต่อให้พาออกไปข้างนอกพวกมันก็คงจะไม่ทะเลาะกันกระมัง
เมื่อเธอลองลูบม้าดู มันก็ร้องฮี่ ๆ ออกมาเหมือนรู้สึกดี
“เช่นนั้น คนเลี้ยงม้า ช่วยเอาซิลวากับฟาลโก แล้วก็อีเกิลของข้าออกมาที”
“ครับ รับทราบแล้วครับ”
เกรเดียออกคำสั่งกับชายคนเลี้ยงม้าที่อยู่ใกล้ ๆ
ม้าของฟาร์มาสคือซิลวา ม้าของเกรเดียคืออีเกิล เช่นนั้นแล้วม้าสีเกาลัดตัวนี้ก็ชื่อว่าฟาลโกสินะ
เมื่อคนเลี้ยงม้าพาฟาลโกมา เธอก็ลูบมันเบา ๆ ครั้งหนึ่ง
“เอาล่ะ เฮเลนา ให้เราช่วย……”
“ฮึบ”
เธอกระโดดเด้งขึ้นไปนั่งบนหลังม้า
มันไม่ใช่ม้าที่ตัวใหญ่อะไรขนาดนั้น ความสูงแค่นี้เธอสามารถกระโดดขึ้นไปนั่งได้อยู่แล้ว แม้จะไม่มีอานม้าแต่เธอก็เคยขี่ม้าที่ไม่ได้ใส่อานมาจนชินแล้ว อันที่จริงเพราะม้าเปลือยนั้นสามารถสั่งการได้อย่างอิสระด้วยการขยับเพียงแค่ต้นขานั่นแหละ เธอจึงสามารถขี่ม้าพลางต่อสู้ไปด้วยในสนามรบได้
ทว่าเมื่อเห็นเฮเลนาทำดังนั้น ฟาร์มาสกลับมองมาเหมือนกำลังเสียดายอะไรบางอย่าง
“……เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า……ไม่มีอะไรหรอก เกรเดีย เราก็จะขึ้นขี่บ้าง”
“ครับ”
แน่นอนว่าฟาร์มาสนั้นไม่สามารถกระโดดขึ้นไปนั่งเองได้ เขาจึงต้องขึ้นขี่โดยพึ่งพาความช่วยเหลือจากเกรเดีย ถึงกระนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้ขี่ม้าอยู่เป็นประจำแล้ว การใช้วิธีนี้มันก็ถือเป็นเรื่องธรรมดากระมัง
ทว่าไม่รู้ทำไมเขาถึงมีสีหน้าเหมือนเจ็บใจอยู่เล็กน้อย
“เอาล่ะ เกรเดีย”
“ครับ”
เมื่อฟาร์มาสออกคำสั่งสั้น ๆ เกรเดียก็เข้ามาหาเฮเลนา
มีอะไรกันนะ—เธอคิด แต่ความสงสัยนั้นก็กระจ่างเมื่อเกรเดียยื่นดาบยาวหนึ่งเล่มออกมาให้
“เฮเลนา พกนี่ไว้สิ”
“ขอบพระคุณค่ะ ท่านเกรเดีย”
แต่เดิมทีผู้ที่ขอร้องว่าอยากจะพกดาบยาวไปด้วยสักเล่มก็คือเฮเลนาเอง
เธอรับมันมาอย่างว่าง่ายแล้วก็เหน็บมันไว้ที่เอว
เท่านี้ก็คงสามารถต่อสู้ได้ทุกเมื่อแล้ว
จากนั้นเกรเดียเองก็ขึ้นขี่ม้าคู่ใจของตนเอง และการเตรียมการทุกอย่างก็เสร็จสิ้นแต่เพียงเท่านี้
“ดีล่ะ งั้นก็ไปกันเลยไหม”
“ค่ะ ท่านฟาร์มาส”
“ไปเลย ซิลวา!”
เมื่อฟาร์มาสกุมบังเหียนและบอกออกมาเช่นนั้น ซิลวาก็เริ่มออกเดิน
เฮเลนาเองก็กุมบังเหียนและบังคับม้าเดินตามไปเช่นกัน
เมื่อออกมานอกพระราชวังแล้วสิ่งที่เจอเป็นอันดับแรกก็คือถนนเส้นหลักของนครหลวง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่สามารถควบม้าทะยานไปกลางถนนเส้นหลักได้อยู่แล้ว ดังนั้นก่อนอื่นจึงต้องค่อย ๆ บังคับม้าให้เดินไปจนกว่าจะออกไปพ้นจากนครหลวงนั่นเอง
พวกเขาเดินไปบนถนนสายหลักที่คับคั่งไปด้วยผู้คนโดยที่ตกเป็นจุดสนใจอยู่เล็กน้อย
“เป็นเด็กดีจังนะ”
บนถนนสายหลักนั้นมีทางสำหรับให้รถม้าวิ่งผ่านอยู่ ซึ่งในกรณีที่ขี่ม้าก็จำเป็นต้องเดินไปในช่องทางนั้นเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไปชนกับคนทั่วไป
แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่ามีคนผ่านไปมามากมายอยู่ดี และคนที่ขี่ม้านั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มีบรรดาศักดิ์สูง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะตกเป็นเป้าสายตา
ทว่าฟาลโกม้าของเฮเลนานั้นก็ยังเดินไปได้อย่างสงบเยือกเย็น
“ฟาลโกกับซิลวาถึงจะไม่ใช่พี่น้องกันแต่ก็เกิดมาไล่เลี่ยกันพอดีน่ะ อยู่ข้าง ๆ กันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
“เช่นนั้นหรือคะ”
“อา เวลาขี่ม้าเรามักจะขี่ซิลวา แต่ก็มีบางครั้งที่ขี่ฟาลโกบ้างเหมือนกัน แม้คนเลี้ยงม้าจะให้มันออกกำลังกายอยู่เป็นพัก ๆ อยู่แล้ว แต่บางครั้งก็ควรปล่อยให้ม้ามันได้วิ่งดี ๆ บ้าง”
“อย่างนี้นี่เอง”
แม้จะเลือกมาโดยไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ แต่ดูเหมือนจะได้ม้าดีมาเลยแฮะ
และเมื่อเดินต่อไปจนคนเริ่มบางตาลง ก็มาถึงประตูด้านหน้าของนครหลวงพอดี
ที่จุดนั้นจะมีทหารยามยืนเฝ้าและคอยตรวจเช็คคนเข้าออกอยู่เสมอ
แม้แต่ตอนนี้เองก็ยังมีคนต่อคิวเป็นแถวเพื่อขอทำเรื่องเข้าเมืองอยู่เลย
เกรเดียได้มุ่งเข้าไปหาทหารยามเหล่านั้น
“ฝากทำเรื่องออกนอกเมืองด้วย”
“แม่ทัพโรมุลุสนั่นเอง งั้นก็แปลว่า……”
“ใช่ ข้ามาคุ้มกันฝ่าบาท”
“รับทราบแล้วครับ โปรดระวังตัวด้วย”
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเคยออกจากเมืองแบบนี้กันมาไม่น้อยครั้งแล้ว ดังนั้นแค่คุยกันไม่คำก็เป็นอันจบเรื่อง
พวกเขาผ่านออกนอกประตูเมืองมาโดยที่มีทหารยามทำวันทยหัตถ์มองส่งอยู่เบื้องหลัง
“ฟู่……ในที่สุดก็จะให้วิ่งได้เสียทีนะ”
“ค่ะ เด็กคนนี้ดูจะคันฝีเท้าอยากวิ่งเต็มแก่แล้ว”
“ซิลวาเองก็เหมือนกัน เอาล่ะ วิ่งไปกันเถอะ”
“ค่ะ”
เมื่อฟาร์มาสกระตุกบังเหียน ซิลวาก็ออกทะยานไป
เฮเลนาเองก็เอาตามเยี่ยงอย่าง เธอกระตุกบังเหียนของฟาลโกให้มันวิ่งไปเช่นกัน
สายลมที่พัดผ่านแก้มทำให้เธอรู้สึกสบายจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“ท่านฟาร์มาสคะ!”
“มีอะไรรึ เฮเลนา!”
“มาแข่งกันไปให้ถึงป่าพาทาจกันเถอะค่ะ! ท่านจะเอาชนะข้ากับฟาลโกได้หรือเปล่าคะ!”
“โอ้ ไม่เลวนี่! งั้นจะแสดงฝีเท้าของซิลวาของเราให้ดูหน่อยเป็นไร!”
‘ฮะ ๆ’ เมื่อฟาร์มาสตอบกลับด้วยความยินดี เฮเลนาก็ใส่แรงที่ต้นขา สั่งให้ฟาลโกวิ่งทะยานไป
สมแล้วที่มันเป็นม้าฝีเท้าเยี่ยมซึ่งได้รับการดูแลอยู่ในราชวัง ฝีเท้าของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าม้าศึกที่เฮเลนาเคยขี่ในสนามรบเลย
ทว่าซิลวาม้าแสนรักของฟาร์มาสเองสามารถยังวิ่งตามมาด้วยฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
“ฮะ ๆๆ!”
“รู้สึกดีจังเนอะ เฮเลนา!”
“ค่ะท่านฟาร์มาส!”
รู้สึกดี ราวกับได้กลายเป็นสายลมที่พัดผ่านไป
ความรู้สึกที่ชวนให้คิดถึงวันวานที่ได้โลดแล่นไปบนสมรภูมิ ทว่าในขณะเดียวกันก็แปลกใหม่ด้วยนี้ มันทำให้เธอผุดยิ้มออกมา
การไปขี่ม้าท่องเที่ยวอันแสนสนุกกับฟาร์มาส
วันนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง—