(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 110

 

เช้าวันต่อมา

หลังจากเฮเลนาฝึกฝนตอนเช้าตรู่และรับประทานมื้อเช้าที่อเลกเซียนำมาให้ได้ไม่นาน ฟาร์มาสก็มาถึง

 

“เตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม?”

 

“ค่ะท่านฟาร์มาส”

 

แม้จะรู้สึกไม่ชินกับสถานการณ์ที่ฟาร์มาสมาเยือนตั้งแต่ตอนเช้าแบบนี้อยู่บ้าง แต่เธอก็ตอบไปเช่นนั้น

เฮเลนาได้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อนี่เป็นการไปขี่ม้าท่องเที่ยวบางทีลมมันอาจจะหนาวเย็นก็ได้ ดังนั้นเธอจึงสวมเสื้อนอกทับเพิ่มอีกชั้น นอกจากนี้เพราะจะต้องขี่ม้าจึงไม่ควรใส่กระโปรง ท่อนล่างของเธอเลยเป็นกางเกงที่เนื้อผ้าหนาแทน

ส่วนที่เอวก็มีถุงกระสอบขนาดใหญ่หน่อยซึ่งได้ไหว้วานให้อเลกเซียช่วยจัดเตรียมให้

 

และในส่วนของฟาร์มาส เขาแต่งกายในแบบที่ดูเรียบง่ายกว่าปกติ อีกทั้งยังสวมหมวกที่ปิดเกือบถึงตา

คงเป็นเพราะวันนี้เป็นการออกไปแบบเป็นการลับ ดังนั้นเขาก็เลยปลอมตัวแบบเบา ๆ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของมวลชนทั่วไปกระมัง

แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ปิดบังใบหน้าที่เพียบพร้อมนั้นอยู่ดี

 

“อืม ชุดเดรสปกติก็ดี แต่นักรบอย่างเจ้าเหมาะกับชุดแบบนี้มากกว่าจริง ๆ ด้วย”

 

“ขอบพระคุณค่ะ”

 

“ทว่าส่วนตัวแล้วเราอยากเห็นชุดที่น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนคราวก่อนนะ……”

 

“เอ่อ นั่น……”

 

“แต่ก็ นะ……”

 

ฟาร์มาสทอดถอนใจเบา ๆ และสังเกตได้ว่าสายตาของเขาเหลือบมองไปทางเกรเดียอยู่เล็กน้อย

‘ไอ้อาการเบรกแตกแบบเมื่อวันนั้นน่ะขอทีเหอะ’ นั่นคือความนึกคิดที่มีร่วมกันของทั้งฟาร์มาสและเฮเลนา

 

“อ่า เอาเถอะ ก่อนอื่นเราไปที่คอกม้ากันดีกว่า”

 

“รับทราบค่ะ”

 

“เจ้าจะพานางกำนัลไปด้วยไหม?”

 

“ไม่ค่ะ ข้าให้อเลกเซียอยู่เฝ้าที่นี่”

 

“งั้นรึ งั้นก็ดี”

 

เคยคิดว่าจะพาอเลกเซียไปด้วยอยู่เหมือนกัน แต่อเลกเซียนั้นคอยรปรนนิบัติรับใช้เฮเลนาอยู่ทุกวันอยู่แล้ว

บางครั้งบางคราวเธอก็ต้องให้อเลกเซียได้พักผ่อนเสียบ้าง ดังนั้นวันนี้จึงเป็นเฮเลนาคนเดียวที่ออกไปข้างนอก

 

“แล้วเจอกันนะ อเลกเซีย”

 

“ค่ะ จะทำความสะอาดห้องให้เสร็จก่อนที่ท่านจะกลับมานะคะ”

 

“……ไม่ใช่อย่างนั้นสิ จะพักผ่อนก็ได้นะ”

 

“พักหลังมานี้ไม่ค่อยได้มีโอกาสทำความสะอาดเท่าไรเลยค่ะ ไหน ๆ นี่ก็เป็นโอกาสดีจึงจะขอทำรวดเดียวไปเลย”

 

“งั้นรึ งั้นก็ฝากด้วยนะ”

 

ตั้งใจจะให้ได้พักผ่อนแท้ ๆ แต่อเลกเซียกลับอยากจะทำงานแฮะ

แต่ก็นะ มันก็จริงที่เธอต้องมาช่วยในการฝึกของเฮเลนาทุกวี่ทุกวันจนละเลยการทำความสะอาดไป ถ้าอเลกเซียจะช่วยใช้โอกาสนี้ในการทำให้ห้องมันสะอาดเรียบร้อยก็ดีเหมือนกันกระมัง

 

จากนั้น เธอก็ได้โดนฟาร์มาสจูงมือมุ่งไปยังคอกม้า

การมาจับมือกันเดินไปแบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกประหม่าอย่างไรชอบกล

และไม่นานนักก็มาถึงคอกม้าซึ่งอยู่ด้านหลังของพระราชวัง ที่มีม้าผูกเอาไว้อยู่

 

“เราจะขี่ซิลวาเหมือนทุกทีแล้วกัน เจ้าล่ะสนใจม้าตัวไหน?”

 

“อ่า……”

 

ม้ามีจำนวนอยู่สิบกว่าตัว ส่วนม้าพันธุ์ดีที่มีขนสีเงินและและดูร่างกายแข็งแรงตัวนั้นที่ฟาร์มาสไปยืนอยู่ตรงหน้าเกรงว่าคงจะเป็นซิลวากระมัง

ม้าตัวอื่น ๆ ที่เหลือเองก็คงจะเป็นม้าที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีเหมือนกัน ทว่าเฮเลนาก็ไม่ได้สันทัดเรื่องม้าขนาดที่ว่ามองปราดเดียวแล้วรู้ได้เลยว่าม้าตัวไหนคือม้าดี

ใจจริงแล้วก็คิดว่าขอแค่วิ่งได้จะม้าตัวไหนก็ไม่เกี่ยงเป็นพิเศษ

 

“เช่นนั้น……เอาเป็นม้าสีเกาลัดตรงนั้นแล้วกันค่ะ”

 

ท้ายที่สุดแล้วม้าที่เธอเลือกก็คือม้าขนสีเกาลัดที่อยู่ถัดมาจากซิลวาม้าของฟาร์มาส

ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ แต่แค่คิดว่าในเมื่อมันอยู่คอกติดกับซิลวาอยู่แล้วต่อให้พาออกไปข้างนอกพวกมันก็คงจะไม่ทะเลาะกันกระมัง

เมื่อเธอลองลูบม้าดู มันก็ร้องฮี่ ๆ ออกมาเหมือนรู้สึกดี

 

“เช่นนั้น คนเลี้ยงม้า ช่วยเอาซิลวากับฟาลโก แล้วก็อีเกิลของข้าออกมาที”

 

“ครับ รับทราบแล้วครับ”

 

เกรเดียออกคำสั่งกับชายคนเลี้ยงม้าที่อยู่ใกล้ ๆ

ม้าของฟาร์มาสคือซิลวา ม้าของเกรเดียคืออีเกิล เช่นนั้นแล้วม้าสีเกาลัดตัวนี้ก็ชื่อว่าฟาลโกสินะ

เมื่อคนเลี้ยงม้าพาฟาลโกมา เธอก็ลูบมันเบา ๆ ครั้งหนึ่ง

 

“เอาล่ะ เฮเลนา ให้เราช่วย……”

 

“ฮึบ”

 

เธอกระโดดเด้งขึ้นไปนั่งบนหลังม้า

มันไม่ใช่ม้าที่ตัวใหญ่อะไรขนาดนั้น ความสูงแค่นี้เธอสามารถกระโดดขึ้นไปนั่งได้อยู่แล้ว แม้จะไม่มีอานม้าแต่เธอก็เคยขี่ม้าที่ไม่ได้ใส่อานมาจนชินแล้ว อันที่จริงเพราะม้าเปลือยนั้นสามารถสั่งการได้อย่างอิสระด้วยการขยับเพียงแค่ต้นขานั่นแหละ เธอจึงสามารถขี่ม้าพลางต่อสู้ไปด้วยในสนามรบได้

ทว่าเมื่อเห็นเฮเลนาทำดังนั้น ฟาร์มาสกลับมองมาเหมือนกำลังเสียดายอะไรบางอย่าง

 

“……เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

 

“เปล่า……ไม่มีอะไรหรอก เกรเดีย เราก็จะขึ้นขี่บ้าง”

 

“ครับ”

 

แน่นอนว่าฟาร์มาสนั้นไม่สามารถกระโดดขึ้นไปนั่งเองได้ เขาจึงต้องขึ้นขี่โดยพึ่งพาความช่วยเหลือจากเกรเดีย ถึงกระนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้ขี่ม้าอยู่เป็นประจำแล้ว การใช้วิธีนี้มันก็ถือเป็นเรื่องธรรมดากระมัง

ทว่าไม่รู้ทำไมเขาถึงมีสีหน้าเหมือนเจ็บใจอยู่เล็กน้อย

 

“เอาล่ะ เกรเดีย”

 

“ครับ”

 

เมื่อฟาร์มาสออกคำสั่งสั้น ๆ เกรเดียก็เข้ามาหาเฮเลนา

มีอะไรกันนะ—เธอคิด แต่ความสงสัยนั้นก็กระจ่างเมื่อเกรเดียยื่นดาบยาวหนึ่งเล่มออกมาให้

 

“เฮเลนา พกนี่ไว้สิ”

 

“ขอบพระคุณค่ะ ท่านเกรเดีย”

 

แต่เดิมทีผู้ที่ขอร้องว่าอยากจะพกดาบยาวไปด้วยสักเล่มก็คือเฮเลนาเอง

เธอรับมันมาอย่างว่าง่ายแล้วก็เหน็บมันไว้ที่เอว

เท่านี้ก็คงสามารถต่อสู้ได้ทุกเมื่อแล้ว

 

จากนั้นเกรเดียเองก็ขึ้นขี่ม้าคู่ใจของตนเอง และการเตรียมการทุกอย่างก็เสร็จสิ้นแต่เพียงเท่านี้

 

“ดีล่ะ งั้นก็ไปกันเลยไหม”

 

“ค่ะ ท่านฟาร์มาส”

 

“ไปเลย ซิลวา!”

 

เมื่อฟาร์มาสกุมบังเหียนและบอกออกมาเช่นนั้น ซิลวาก็เริ่มออกเดิน

เฮเลนาเองก็กุมบังเหียนและบังคับม้าเดินตามไปเช่นกัน

เมื่อออกมานอกพระราชวังแล้วสิ่งที่เจอเป็นอันดับแรกก็คือถนนเส้นหลักของนครหลวง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่สามารถควบม้าทะยานไปกลางถนนเส้นหลักได้อยู่แล้ว ดังนั้นก่อนอื่นจึงต้องค่อย ๆ บังคับม้าให้เดินไปจนกว่าจะออกไปพ้นจากนครหลวงนั่นเอง

พวกเขาเดินไปบนถนนสายหลักที่คับคั่งไปด้วยผู้คนโดยที่ตกเป็นจุดสนใจอยู่เล็กน้อย

 

“เป็นเด็กดีจังนะ”

 

บนถนนสายหลักนั้นมีทางสำหรับให้รถม้าวิ่งผ่านอยู่ ซึ่งในกรณีที่ขี่ม้าก็จำเป็นต้องเดินไปในช่องทางนั้นเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไปชนกับคนทั่วไป

แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่ามีคนผ่านไปมามากมายอยู่ดี และคนที่ขี่ม้านั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มีบรรดาศักดิ์สูง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะตกเป็นเป้าสายตา

ทว่าฟาลโกม้าของเฮเลนานั้นก็ยังเดินไปได้อย่างสงบเยือกเย็น

 

“ฟาลโกกับซิลวาถึงจะไม่ใช่พี่น้องกันแต่ก็เกิดมาไล่เลี่ยกันพอดีน่ะ อยู่ข้าง ๆ กันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

 

“เช่นนั้นหรือคะ”

 

“อา เวลาขี่ม้าเรามักจะขี่ซิลวา แต่ก็มีบางครั้งที่ขี่ฟาลโกบ้างเหมือนกัน แม้คนเลี้ยงม้าจะให้มันออกกำลังกายอยู่เป็นพัก ๆ อยู่แล้ว แต่บางครั้งก็ควรปล่อยให้ม้ามันได้วิ่งดี ๆ บ้าง”

 

“อย่างนี้นี่เอง”

 

แม้จะเลือกมาโดยไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ แต่ดูเหมือนจะได้ม้าดีมาเลยแฮะ

และเมื่อเดินต่อไปจนคนเริ่มบางตาลง ก็มาถึงประตูด้านหน้าของนครหลวงพอดี

ที่จุดนั้นจะมีทหารยามยืนเฝ้าและคอยตรวจเช็คคนเข้าออกอยู่เสมอ

แม้แต่ตอนนี้เองก็ยังมีคนต่อคิวเป็นแถวเพื่อขอทำเรื่องเข้าเมืองอยู่เลย

 

เกรเดียได้มุ่งเข้าไปหาทหารยามเหล่านั้น

 

“ฝากทำเรื่องออกนอกเมืองด้วย”

 

“แม่ทัพโรมุลุสนั่นเอง งั้นก็แปลว่า……”

 

“ใช่ ข้ามาคุ้มกันฝ่าบาท”

 

“รับทราบแล้วครับ โปรดระวังตัวด้วย”

 

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเคยออกจากเมืองแบบนี้กันมาไม่น้อยครั้งแล้ว ดังนั้นแค่คุยกันไม่คำก็เป็นอันจบเรื่อง

พวกเขาผ่านออกนอกประตูเมืองมาโดยที่มีทหารยามทำวันทยหัตถ์มองส่งอยู่เบื้องหลัง

 

“ฟู่……ในที่สุดก็จะให้วิ่งได้เสียทีนะ”

 

“ค่ะ เด็กคนนี้ดูจะคันฝีเท้าอยากวิ่งเต็มแก่แล้ว”

 

“ซิลวาเองก็เหมือนกัน เอาล่ะ วิ่งไปกันเถอะ”

 

“ค่ะ”

 

เมื่อฟาร์มาสกระตุกบังเหียน ซิลวาก็ออกทะยานไป

เฮเลนาเองก็เอาตามเยี่ยงอย่าง เธอกระตุกบังเหียนของฟาลโกให้มันวิ่งไปเช่นกัน

สายลมที่พัดผ่านแก้มทำให้เธอรู้สึกสบายจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

“ท่านฟาร์มาสคะ!”

 

“มีอะไรรึ เฮเลนา!”

 

“มาแข่งกันไปให้ถึงป่าพาทาจกันเถอะค่ะ! ท่านจะเอาชนะข้ากับฟาลโกได้หรือเปล่าคะ!”

 

“โอ้ ไม่เลวนี่! งั้นจะแสดงฝีเท้าของซิลวาของเราให้ดูหน่อยเป็นไร!”

 

‘ฮะ ๆ’ เมื่อฟาร์มาสตอบกลับด้วยความยินดี เฮเลนาก็ใส่แรงที่ต้นขา สั่งให้ฟาลโกวิ่งทะยานไป

สมแล้วที่มันเป็นม้าฝีเท้าเยี่ยมซึ่งได้รับการดูแลอยู่ในราชวัง ฝีเท้าของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าม้าศึกที่เฮเลนาเคยขี่ในสนามรบเลย

ทว่าซิลวาม้าแสนรักของฟาร์มาสเองสามารถยังวิ่งตามมาด้วยฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน

 

“ฮะ ๆๆ!”

 

“รู้สึกดีจังเนอะ เฮเลนา!”

 

“ค่ะท่านฟาร์มาส!”

 

รู้สึกดี ราวกับได้กลายเป็นสายลมที่พัดผ่านไป

ความรู้สึกที่ชวนให้คิดถึงวันวานที่ได้โลดแล่นไปบนสมรภูมิ ทว่าในขณะเดียวกันก็แปลกใหม่ด้วยนี้ มันทำให้เธอผุดยิ้มออกมา

 

การไปขี่ม้าท่องเที่ยวอันแสนสนุกกับฟาร์มาส

วันนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง—

 

(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

Comment

Options

not work with dark mode
Reset