(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 111

 

ป่าพาทาจคือป่าที่เรียกได้ว่ากว้างใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิกันเกรฟ ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาของภูเขาเทโอร็อก

ถึงจะเป็นป่าใหญ่แต่ก็มีการสร้างถนนตัดเข้าไปจนถึงตัวภูเขาเอาไว้อยู่แล้ว โดยถนนดังกล่าวมักจะได้รับการใช้งานโดยผู้คนที่มาขึ้นเขาเทโอร็อก หากจะไปแค่หมู่บ้านตรงตีนเขาก็ไม่มีหลงทาง แต่ถึงกระนั้นมันก็มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก ว่ากันว่าหากพลัดออกไปนอกเส้นทางหลักก็ไม่ยากที่จะหลงป่าเอาได้

ดังนั้นเมื่อก่อนจึงเคยมีพวกกลุ่มกองโจรที่ใช้ประโยชน์จากดินแดนแถบนี้เป็นแหล่งกบดานอยู่ ครั้งนึงเฮเลนาเองก็เคยมาที่นี่เพื่อปราบพวกมันเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นเฮเลนาจึงไม่มีทางหลงทางในป่าพาทาจแน่นอน

 

“ฮ่า ๆ! เราชนะแล้ว!”

 

“มุ……! ซิลวารวดเร็วมากทีเดียวนะคะ ท่านฟาร์มาส!”

 

“อา ม้าฝีเท้าเยี่ยมอันดับหนึ่งในจักรวรรดิเลยล่ะ!”

 

การวิ่งแข่งที่เริ่มต้นอย่างกะทันหันของเฮเลนากับฟาร์มาสได้จบลงด้วยชัยชนะของฟาร์มาส

ฟาลโกที่เฮเลนาขี่อยู่เองก็ฝีเท้าเร็วเหลือเฟือ แต่ซิลวาที่ฟาร์มาสขี่กลับเร็วยิ่งกว่านั้น คิดไปแล้วที่บอกว่าเป็น ‘ม้าฝีเท้าเยี่ยมอันดับหนึ่งในจักรวรรดิ’ นั้นอาจไม่ได้พูดเกินจริงไปเลยก็เป็นได้

และแล้วเกรเดียเองก็ตามมาถึงโดยช้ากว่าฟาร์มาสกับเฮเลนาอยู่เล็กน้อย

 

 

“โธ่……ฝ่าบาท! อย่านำหน้าไปไกลนักสิครับ!”

 

“อ อ่า เกรเดีย โทษทีนะ”

 

“เฮ้อ……หากไปอีกหน่อยจะมีลำธารเล็ก ๆ อยู่ครับ ให้ม้าไปพักเหนื่อยตรงนั้นกันเถอะ”

 

ดูเหมือนการที่วิ่งทิ้งเกรเดียซึ่งเป็นผู้อารักขาไว้เบื้องหลังมันจะไม่สมควรเท่าไรนัก

แต่กระนั้นอุตส่าห์ได้ขี่ม้าหลังจากไม่ได้ทำมานาน เธอก็อยากจะโลดโผนให้เต็มที่นี่นา

 

หลังจากนั้นพวกเขาก็ลดความเร็วลงเล็กน้อย และมุ่งไปยังลำธารเล็ก ๆ ที่เกรเดียบอก

ลำธารสายเล็กที่เกิดจากน้ำหิมะละลายบนยอดเขาเทโอร็อก มันใสกระจ่างจนดูเหมือนจะดื่มได้ทั้งแบบนั้นเลย

 

“เอาล่ะ พักกันสักหน่อย”

 

“ค่ะ ขอบใจนะฟาลโก”

 

เธอลงจากหลังฟาลโกใกล้กับลำธารก่อนจะลูบขนมัน ฟาลโกส่งเสียงร้องเบา ๆ เหมือนชอบใจ

จากนั้นพวกเขาก็ให้ซิลวากับฟาลโกดื่มน้ำที่ลำธารไปพลางพักเหนื่อยกันใต้ร่มไม้

ฟาร์มาสมีรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ

 

“แต่ก็ไม่นึกเลยนะว่าจะได้วิ่งแข่งกันแบบนี้ แบบนี้เห็นทีจะไปถึงภูเขาเทโอร็อกก่อนเที่ยงวันซะแล้วสิ”

 

“อ๊ะ เรื่องนั้น……ต้องขอโทษด้วยยังไงไม่รู้สิคะ”

 

“ไม่หรอก บางครั้งบางคราวทำแบบนี้ไม่เลวนัก เราเองที่สนุกไปกับมันก็ไม่มีสิทธิ์ตำหนิเจ้าอยู่แล้ว”

 

“ขอบพระคุณค่ะ”

 

เธอนั่งดื่มน้ำชาจากในกระติกน้ำซึ่งเหมือนจะหายร้อนไปแล้วด้วยกันสองคนกับฟาร์มาส

ป่าพาทาจดูส่องประกายอย่างมีชีวิตชีวาด้วยแสงตะวันที่ลอดตามช่องใบไม้ มีกลิ่นเขียวขจีลอยอบอวล เมื่อลองเงี่ยหูฟังเสียงลำธารไหลรินและปล่อยตัวไปกับเสียงกระซิบของแมกไม้ ก็รู้สึกเหมือนกับว่าจะหลอมละลายกลายเป็นหนึ่งเดียวกับป่าไปได้เลย

เธอเพียงแค่ใช้ช่วงเวลาสุขสงบเช่นนั้นร่วมกันกับฟาร์มาส

 

“ลมดีจังนะ”

 

“ค่ะ วันนี้น่าจะอากาศดีทั้งวันเลยนะคะ”

 

“อุตส่าห์หาเวลาว่างมาได้ทั้งที ถ้าอากาศไม่ดีก็ลำบากแย่เลยน่ะสิ”

 

“อา……แค่ดินฟ้าอากาศเท่านั้นที่ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้สินะคะ”

 

ต่อให้ฝนตกก็ใช่ว่าจะขี่ม้าท่องเที่ยวไม่ได้

ในสมรภูมินั้นเราไม่อาจเลือกดินฟ้าอากาศ ในทางกลับกันแล้ว วันที่ฝนตกเสียงเดินทัพจะโดนกลบ จึงต้องมีการออกลาดตระเวนเพื่อเฝ้าระวังการลอบโจมตีด้วยซ้ำไป

ดังนั้นต่อให้เป็นท่ามกลางสายฝนก็คงจะขี่ม้าได้นั่นแหละ

แต่ยังไงซะมันก็สู้การได้ขี่ม้าวิ่งไปอย่างเต็มที่ในวันที่อากาศแจ่มใสไม่ได้อยู่ดี

 

“จะว่าไป เราได้ฝากเรื่องปรับปรุงวังหลังให้แม่ทัพรีด สรุปแล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”

 

“อะ ค่ะ เมื่อวานก็บรรลุเป้าหมายเป็นส่วนใหญ่แล้วค่ะ”

 

“งั้นรึ งั้นก็ดีแล้ว แต่เห็นแม่ทัพทำหน้าบูด……บอกว่า ‘ดิฉันไม่ใช่ช่างโยธา’ น่ะ”

 

“แหม……”

 

ทิฟฟานีมีความทระนงสูง จะพูดอะไรแบบนั้นออกมาก็ไม่แปลกนัก

ถึงกระนั้นก็ยังเป็นคำสั่งจากจักรพรรดิโดยตรง คงไม่สามารถปฏิเสธได้อยู่แล้ว

 

“ที่เหลือที่เจ้าขอไว้……พวกดัมเบล บาร์เบล ม้านั่งสินะ ของพวกนั้นเราได้เดินเรื่องให้บริษัทการค้าแอน-มาโลว์จัดหาให้แล้ว คงมาถึงอีกภายในไม่กี่วันนี้กระมัง”

 

“ขอบพระคุณค่ะ”

 

“แต่ว่ามันก็ไม่ได้ราคาแพงอะไรขนาดนั้นนี่นา ราคาแค่นั้นน่ะเครื่องประดับของกุลสตรีเพียงชิ้นเดียวยังแพงกว่ามากเลยนะ”

 

ฟาร์มาสหัวเราะหึ ๆ

ก็จริงที่ว่าอุปกรณ์การฝึกมันมีราคาแพง แต่ไปเทียบกับพวกเพชรพลอยแล้วมันก็คงจะถูกกว่าจริง ๆ หากเป็นแค่แหวนอัญมณีเล็ก ๆ ก็ยังพอทำเนา แต่หากเป็นของที่กุลสตรีทั่วไปใส่ประดับกันนั่นยิ่งแพงใหญ่ แถมพวกเธอมักสวมใส่เพชรพลอยติดตัวกันชนิดที่แทบจะนับไม่ไหวเลยด้วย

สำหรับเฮเลนาแล้ว เธอยังไม่เข้าใจดีนักว่าแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยของพวกนั้นมันสนุกตรงไหนกัน

 

“……”

 

“……”

 

บทสนทนาได้จบลงตรงนั้น กลายเป็นช่วงเวลาที่ดำเนินไปโดยทั้งสองคนเพียงสัมผัสถึงสายลมที่พัดผ่านเท่านั้น

ในบางครั้งการได้สัมผัสกับธรรมชาติเช่นนี้ก็ไม่เลวนัก

 

แม้เป็นช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างเงียบงัน แต่ก็ไม่ได้มีความอึดอัดใจอันใด

กลับกันแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่สุขสงบ จนชวนให้นึกว่าแม้ไม่ต้องพูดจาอะไรกันก็รู้สึกสนุกได้เหมือนกัน

 

“ฟู่ว……”

 

“พักอีกสักหน่อยไหมคะ?”

 

“นั่นสินะ……เช่นนั้นก็พักกันอีกสักหน่อย”

 

แม้จะกำลังพูดแบบนั้น แต่ฟาร์มาสก็เอามือขยี้ตาเล็กน้อย

‘เฮ้อ’ เขาทำท่าอ้าปากหาวเล็ก ๆ ดูจะค่อนข้างง่วงนอนอยู่มาก

 

“ท่านฟาร์มาส นอนไม่พอหรือคะ?”

 

“มุ……อา นิดนึงน่ะ เมื่อคืนกว่างานจะเสร็จก็ใช้เวลามากไปหน่อย”

 

“เช่นนั้นนอนพักดีไหมคะ? เดี๋ยวถึงเวลาข้าก็จะปลุก”

 

“ฮืม…..งั้นเอาแบบนั้นแล้วกัน”

 

ฟาร์มาสที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้เอียงศีรษะมาพิงไหล่ของเฮเลนา

แค่นั้นก็ทำให้เธอรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นผิดจังหวะนิดหน่อย

 

“โทษทีนะ ไม่หนักใช่ไหม?”

 

“ม ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร”

 

ไม่ใช่เรื่องความหนัก แต่มันใกล้ชิดเกินไปจนเธอประหม่าต่างหาก

สถานการณ์ที่แค่เอี้ยวคอไปนิดหน่อยก็เห็นศีรษะของฟาร์มาสอยู่ตรงนั้นแล้ว ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกลายเป็นหุ่นขี้ผึ้งที่คอไม่ยอมหัน

ตอนนี้ใบหน้าเธอคงกำลังเป็นสีแดงอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย ชีพจรเองก็เต้นแรงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

 

“อ เอ่อ ท ท่านฟาร์มาส คะ……”

 

“……”

 

“……ท่านฟาร์มาส?”

 

“ฟี้—……”

 

หลับไปแล้วนี่นา

หลับไปได้ในเวลาสั้น ๆ ขนาดนี้ คงจะอดนอนมามากทีเดียว รู้สึกอายตัวเองที่ใจเต้นไปคนเดียวยังไงไม่รู้สิ

บางทีเขาอาจจะไม่ค่อยมีเวลาได้นอนก็เป็นได้

 

“เมื่อคืนฝ่าบาทตื่นอยู่จนถึงเช้ามืดเลยล่ะ”

 

ตอนนั้นเองเกรเดียก็ได้กล่าวแทรกขึ้นมา

ก็สงสัยว่าจะเป็นแบบนั้นอยู่ เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วยสินะ

 

“ขนาดนั้นเชียวหรือคะ……”

 

“ฝ่าบาทนั้นงานยุ่งอย่างยิ่ง การจะทำให้ตัวเองว่างได้หนึ่งวันน่ะ มันยากมากทีเดียว”

 

“ไม่เห็นต้องฝืนถึงขนาดนั้นก็ได้นี่นา……”

 

“คงเป็นเพราะอยากออกมาเที่ยวทางไกลกับเจ้ามากถึงขนาดนั้นไงล่ะ”

 

ได้ยินแบบนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจขึ้นมา

เมื่อคืนเฮเลนาเองก็ตั้งตารอจนหลับลงได้ยากเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเธอจะเข้านอนเร็วก็เลยไม่มีอาการอดนอนสักนิดเดียวเลยก็เถอะ

 

จะว่าไปแล้ว

ทีแรกวางแผนไว้ว่าจะบอกให้ฟาร์มาสทราบก่อนแล้วค่อยไป แต่ในเมื่อเขาดันหลับไปซะแล้ว งั้นก็ควรไปจัดการซะในจังหวะนี้แหละมั้ง

 

“ท่านเกรเดีย”

 

“หืม?”

 

“ยังมีเวลาเหลืออยู่ไหมคะ?”

 

“แต่เดิมทีก็ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะวิ่งแข่งกันมาน่ะนะ ก็เลยยังพอมีเวลาอยู่”

 

“เช่นนั้น……ให้ฝ่าบาทได้พักผ่อนอีกสักนิดเถอะค่ะ จะปลุกตอนนี้ก็น่าเห็นใจ”

 

“อืม นั่นสินะ”

 

“เช่นนั้นก็”

 

พูดถึงตรงนั้น เธอก็กวักมือเรียกเกรเดีย

‘หืม?’ แม้เกรเดียจะขมวดคิ้ว แต่เขาก็เข้ามาหา

 

“ช่วยนั่งลงตรงนั้นด้วยค่ะ”

 

“อื้ม”

 

เกรเดียนั่งลงตรงหน้าของเฮเลนา

แหละในจังหวะเดียวกันนั้น เฮเลนาก็ได้ค่อย ๆ ขยับศีรษะของฟาร์มาสที่นอนพิงไหล่เธออยู่ ไปวางหนุนลงที่ตักของเกรเดีย

 

“……หืม?”

 

“ฝากอารักขาฝ่าบาทด้วยค่ะ พอดีข้ามีธุระเล็กน้อย”

 

“คิดจะทำอะไรน่ะ?”

 

แน่นอนว่าพฤติกรรมเช่นนั้นของเฮเลนาย่อมถูกเกรเดียเคลือบแคลงสงสัย

ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเกรเดียเฮเลนาก็ไม่ได้คิดจะหยุดอยู่แล้ว

ทว่าสำหรับเกรเดีย เฮเลนาเองก็ถือเป็นเป็นหนึ่งในบุคคลที่เขาต้องคอยอารักขาด้วยเช่นกัน

 

“เอ่อ……ก็ จะไปเด็ดดอกไม้เล็กน้อย”

 

“อ้อ งั้นรึ แบบนั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”

 

“เช่นนั้นก็ขออภัยด้วยค่ะ ข้าขอแยกตัวออกไปสักครู่”

 

แม้จะรู้สึกผิดที่ต้องโป้ปด แต่ถ้าไม่พูดแบบนี้ก็คงแยกตัวออกมาไม่ได้ เฮเลนาปลีกตัวออกมาจากอีกสองคน จากนั้นก็สัมผัสดูถุงกระสอบผ้าที่แข็งแรงทนทานและมีขนาดใหญ่พอสมควรซึ่งเธอได้ขอให้อเลกเซียช่วยจัดเตรียมให้

หากทนทานระดับนี้ ก็คงจะเอาติดตัวไปด้วยทั้งที่ยังเป็น ๆ ได้กระมัง

และขอแค่ปิดปากถุงเอาไว้ให้มิดชิด มันก็จะมีชีวิตอยู่อย่างนั้นต่อไป เจ้าพวกนี้มันมีพลังชีวิตสูงมาก ไม่เน่าตายไปง่าย ๆ หรอก

 

“เอาล่ะ ไปจับงูกันเลยดีกว่า”

 

เนื้องูน่ะอร่อย เธออยากจะให้ทุกคนได้เข้าใจถึงเรื่องนั้น ดังนั้นเลยจะไปจับมันมา

เพื่อจะได้เอาไปให้มาริเอลหรือคลาริสซาลองกินดูในงานปาร์ตี้หม้อไฟครั้งต่อไปนั่นเอง

 

(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

(นิยายแปล) ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

Comment

Options

not work with dark mode
Reset