บทที่ 148 คำเยินยอ

บทที่ 148 คำเยินยอ
โดย

บทที่ 148 คำเยินยอ

เมื่อหลินชิงเหอพูดขึ้นมาแบบนี้ ท่านแม่โจวก็นึกว่าเธอจะพูดเล่น

เธอเป็นแม่คนแล้วแต่ยังคิดจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก สะใภ้สี่ช่างมีอารมณ์ขันจริง ๆ

โจวชิงไป๋กับเด็ก ๆ กลับมาบ้านแค่ในตอนเที่ยง แม้พวกเขาจะไม่ได้อะไรกลับมา แต่มันก็ไม่มีผลทำให้ทั้งพ่อและลูกมีอารมณ์ดีลดลง

เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน เจ้ารองกับเจ้าสามยังคงคุยกันเรื่องจะจับนกอย่างไรดี เด็กทั้งสองยังขอเมล็ดข้าวฟ่างมาเต็มกำมือเพื่อจะเอาไว้ล่อนกในลานหลังบ้านอีกด้วย

หลินชิงเหอจึงปล่อยให้พวกเขาทำตามที่ใจอยาก

ในยุคนี้ไม่มีสิ่งบันเทิงใจอะไรให้ผ่อนคลาย เรื่องนี้จึงถือเป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่งของพวกเขา

ส่วนโจวชิงไป๋นั้นออกจากบ้านไปอีกครั้งในตอนบ่าย แต่ก็ยังจับอะไรกลับมาไม่ได้ สัตว์ป่าพวกนั้นช่างฉลาดนักและไม่ง่ายเลยที่จะล่า

แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังมีพื้นเพเป็นทหารอยู่ หลังจากนั้นไม่กี่วันชายคนนี้ก็กลับมาบ้านพร้อมกับไก่ฟ้าตัวหนึ่ง

หลินชิงเหอรู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน แต่ถึงจะประหลาดใจขนาดไหน เธอก็สั่งให้โจวชิงไป๋เชือดมันในวันเดียวกันก่อนจะเอาไปทอด

เนื้อไก่ฟ้าครึ่งหนึ่งถูกนำไปทอด ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งถูกนำไปต้มในน้ำแกง

รสชาติของมันช่างโอชานัก

แต่หลังกินไก่ตัวนี้แล้ว โจวชิงไป๋ก็ไม่ได้ออกไปล่าสัตว์อีก มันไม่ง่ายเลยกว่าจะล่าพวกมันได้ แค่ไก่ฟ้าตัวเดียวนี้ก็พอจะช่วยกู้หน้าให้เขาได้แล้ว

หลินชิงเหอเห็นดังนี้แล้วก็ไม่เปิดประเด็นอะไร ผู้ชายของเธอบางครั้งก็ชอบไว้หน้าตัวเอง

มีโจวชิงไป๋อยู่ที่บ้านแล้ว หลินชิงเหอจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไร หากทักษะการทำอาหารของโจวชิงไป๋ไม่ต้องได้รับการปรับปรุง เธอก็คงจะให้เขาเป็นคนทำอาหารแล้ว

เพียงแต่ว่าโจวชิงไป๋มีใจรักที่จะทำแต่ไม่มีฝีมือ มันจึงไม่เป็นไรนักในการปล่อยให้เขาได้ทำของง่าย ๆ อย่างเช่นนึ่งหมั่นโถว ต้มโจ๊ก หรือห่อเกี๊ยว แต่พอเป็นอาหารที่ต้องใช้ฝีมือในการปรุงเขาจะไม่สามารถทำได้

ในบางครั้งพวกเขาก็เกือบจะไม่มีอะไรกิน หากหลินชิงเหอไม่เข้ามากู้สถานการณ์

ตอนนี้วัตถุดิบช่างหายากนัก หลินชิงเหอทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาทำลายมันทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เธอก็เลยเป็นคนทำอาหารเอง

เมื่อมีเวลาว่าง หญิงสาวก็อุทิศตนให้กับการเรียน

โจวชิงไป๋มองภรรยาเรียนหนังสือ ชั่วพริบตาเดียวเธอก็เริ่มเรียนเนื้อหาของชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว

ถ้าเขาเห็นว่าผลลัพธ์ออกมาดี เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาจะต้องเข้าใจมันอย่างถ่องแท้และสอนหนังสือได้แน่ ๆ

“ภรรยาครับ คุณเรียนหนังสือจากไหนน่ะ?” โจวชิงไป๋ถามขึ้นมาปุบปับ

“เรียนรู้เองน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบโดยไม่มองหน้า

แม้ว่าสายตาจะจับจ้องบนหนังสือ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ ชายคนนี้เรียนรู้ที่จะทดสอบเธอแล้ว

แต่ตัวเธอจะถูกทดสอบง่ายนักเหรอ?

โจวชิงไป๋เห็นว่าเขาไม่ได้คำตอบใด ๆ ก็ไม่ได้ถามต่อ บางครั้งเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยรู้จักภรรยามาก่อน

ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักเธอ แต่เขารู้สึกว่าหลังได้รู้จักเธอในระดับหนึ่งแล้ว เธอก็จะแสดงอีกด้านหนึ่งของเธอออกมาให้เห็น

เรื่องนี้กระตุ้นให้เขาอยากสำรวจเธออีกครั้ง

หลินชิงเหอไม่สนใจชายคนนี้ หากเขามีความสามารถพอที่จะเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ เธอก็จะยอมแพ้และสารภาพกับเขา ไม่อย่างนั้นแล้วเธอก็จะปล่อยให้เขาได้งงงวยต่อไป

ปีนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ชีวิตช่างดำเนินไปเร็วเหลือเกิน

ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงวันที่จะต้องทำงานอีกครั้ง แม้อากาศจะยังเย็นอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ลดทอนความกระตือรือร้นของผู้คนที่จะออกไปทำงานในทุ่งนาเลย

เทียบกับฝ่ายผลิตกลุ่มอื่นแล้ว ต้องบอกว่าบรรยากาศของฝ่ายผลิตของพวกเขานับว่าดียิ่ง ต่อให้จะมีคนบางคนขี้เกียจอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าหายากอยู่

แน่นอนว่าหลินชิงเหอก็อยู่ในกลุ่มคนขี้เกียจกลุ่มนี้

ตั้งแต่ที่เธอแต่งงานมา เธอก็ไม่ได้รับแต้มค่าแรงให้เห็นเลย หากหญิงสาวไม่ใช่คนขึ้เกียจสันหลังยาวแล้วเธอจะเป็นอะไรได้ล่ะ? เพียงแต่ว่าไม่มีใครบอกให้เธอออกมาทำงานได้เท่านั้น

ในอดีตเธอได้เงินเดือนจากสามีมาเลี้ยงชีพ จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอาหารเครื่องนุ่งห่มและสามารถดูถูกคนอื่นได้ด้วยความทะนงตัว

หลังจากนั้นสามีของเธอก็ยังคงจุนเจือเธอได้อยู่ต่อให้เขาลาออกจากกองทัพแล้ว เธอก็ยังมีอาหารกินโดยที่ไม่ต้องออกไปทำงาน กล่าวกันว่าเธอยังเปลี่ยนแปลงมื้ออาหารที่บ้านทุกวันเพื่อทำอาหารดี ๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะขาดแคลนเลย

เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าขัดใจหรือเป็นพวกเขาเองที่รู้สึกขัดใจกันแน่?

สิ่งที่ต้องพูดถึงก็คือหลังจากการบำรุงร่างกายตลอดฤดูหนาวนี้ ท่านพ่อโจวก็มีสีหน้าท่าทางแจ่มใสขึ้นจนทุกคนเห็นได้ชัด

แถมเขายังอารมณ์ดีมากอีกด้วย

“ไม่มีอะไรหรอก หน้าหนาวนี้สะใภ้สี่มักจะต้มน้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดงให้ดื่มรักษาความอบอุ่นในร่างกายบ่อย ๆ น่ะ” ท่านพ่อโจวเอ่ยอ้อม ๆ

ชายชราคนอื่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาขึ้นมาหน่อย ๆ

ถึงภรรยาของชิงไป๋จะไม่ได้ทำงานในทุ่งนา แต่พวกเขาก็นับถือความสามารถในการดูแลคนอื่น ๆ ของเธอ

ก่อนหน้านี้เป็นชิงไป๋กับลูกชายของเขา ตอนนี้ท่านพ่อโจวก็ได้รับการดูแลแบบนี้ด้วย พวกเขาจะไม่เห็นว่าอาหารที่เธอทำยอดเยี่ยมได้อย่างไรล่ะ?

ท่านแม่โจวตักข้าวต้มชามหนึ่งป้อนให้ซูเฉิงน้อย เจ้ารองกับเจ้าสามก็ได้กินอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่สิ่งที่พวกเขาทั้งคู่กินคือข้าวต้มงา

“อะไรคือข้าวต้มงาเหรอ?” เด็กคนอื่น ๆ ต่างไม่รู้จัก

“มันเป็นข้าวต้มที่ทำจากงาบดเป็นผงแล้วเอาไปต้มในน้ำน่ะ” เจ้ารองสาธยาย

“แล้วมันอร่อยไหม?” โจวเซี่ยถาม

“อร่อยสิ! นายกลับไปขอให้แม่นายทำก็ได้” เจ้ารองพยักหน้า

ในข้าวต้มงามีน้ำตาลอยู่ด้วยเล็กน้อย จึงไม่จำเป็นต้องบอกเลยว่ามันจะอร่อยขนาดไหน

โจวเซี่ยบุตรชายของสะใภ้รองถึงกับถอนหายใจ แม่ของเขาจะทำข้าวต้มงานี่ได้อย่างไรล่ะ?

“อ้าปากสิ” เจ้าสามเอ่ย

เมื่อโจวเซี่ยได้ยิน เขาก็นั่งยอง ๆ และอ้าปากตามที่อีกฝ่ายบอก เจ้าสามตักข้าวต้มงาคำหนึ่ง จากนั้นก็หยอดป้อนลงไปโดยไม่ถูกปากของอีกฝ่าย “ตอนนี้พี่รู้หรือยังว่ามันอร่อยขนาดไหน?”

“อร่อยมากเลย” โจวเซี่ยพยักหน้า

“ผมให้พี่กินแค่ช้อนเดียวเท่านั้นแหละ ผมมีไม่มากหรอก” เจ้าสามเอ่ยก่อนจะกินข้าวต้มงาในส่วนของเขาต่อ เขาเอาชามเก็บเข้าที่ก่อนจะออกไปเล่นดีดลูกแก้วกับเด็กคนอื่น ๆ

“เจ้ารอง นายจะเข้าโรงเรียนในปีนี้ไหม?” โจวเซี่ยถามเจ้ารอง

“เข้าสิ” เจ้ารองยืนยันขณะมองเขา “นายอยากเข้าโรงเรียนกับฉันด้วยไหม?”

“แม่ฉันคงไม่ให้น่ะ” โจวเซี่ยถอนหายใจ

“เรียนหนังสือเป็นเรื่องดีนะ ทำไมคุณป้าไม่ยอมล่ะ?” เจ้ารองถาม

“แม่ฉันบอกว่าเรียนหนังสือเป็นเรื่องไร้ประโยชน์” โจวเซี่ยตอบ

“ทำไมเรียนหนังสือถึงไร้ประโยชน์ล่ะ? ถ้านายเข้ามหาวิทยาลัยได้ อนาคตนายก็จะได้เงินกลับมาที่บ้าน นายไม่เห็นว่ามันมีประโยชน์เหรอ” เจ้ารองเอ่ยขึ้น

ท่านแม่โจวที่กำลังป้อนข้าวฟ่างต้มให้ซูเฉิงน้อยก็เอ่ยขึ้นมาหลังได้ยินดังนี้ “เจ้ารอง หนูอยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยหรือเปล่า?”

“ผมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแน่นอนครับ หลังเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ผมจะทำงานเพื่อจะได้มีเงินเดือนเยอะ ๆ จะได้ซื้อของให้แม่ได้เยอะ ๆ น่ะครับ” เจ้ารองเอ่ย ก่อนจะทิ้งท้ายอย่างเจ็บแสบ “แล้วก็จะซื้อของให้คุณย่าได้เยอะ ๆ ด้วย”

ด้วยอายุเท่านี้เขาก็เอ่ยเยินยอได้ลื่นไหลขนาดนี้แล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ได้ลดความปิติยินดีของท่านแม่โจวลงเลย

“ดี ดี ดี! งั้นย่าจะรอจนกว่าหนูโตพอที่จะเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อหาเงินมาซื้อของให้ย่านะ”

หลังเอ่ยแบบนั้น นางก็หันมาพูดกับโจวเซี่ย “ไปบอกแม่ของหนูนะว่าย่าเป็นคนพูด ปีนี้หนูจะได้ไปโรงเรียนกับเจ้ารองและคอยดูว่าหนูจะได้เข้ามหาวิทยาลัยคนงาน ชาวนา และทหารหรือเปล่า เป็นการแสดงความกตัญญูกับแม่ของหนูด้วยน่ะ”

“ตกลงครับ” โจวเซี่ยตาโต จากนั้นก็กลับบ้านไปคุยเรื่องนี้กับแม่ของเขา

แต่เขากลับได้รับคำปรามาสชุดใหญ่จากสะใภ้รอง “ย่าแกไม่ได้จ่ายเงินให้ก็พูดได้น่ะสิ การเรียนเทอมหนึ่งมันใช้เงินมากขนาดไหน ครอบครัวเราจนขนาดนี้จะหาเงินที่ไหนมาจ่าย?”

“แม่คะ ให้น้องชายหนูไปเรียนเถอะนะคะ” ซานนีเม้มปากและเอ่ยโน้มน้าว

“เรียนอะไร? ไม่มีเงินหรอก” สะใภ้รองแค่นเสียง

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ท่านแม่โจวเริ่มเห็นความดีงามของการได้เรียนหนังสือแล้วค่ะ เด็ก ๆ บ้านโจวจะได้โอกาสดี ๆ กันแล้ว

กุมขมับกับสะใภ้รอง เธอเป็นอะไรของเธอฟระเนี่ย! เข้าใจว่าอยากประหยัด แต่นี่มันงกไปไหม อนาคตของลูกนะ เหนื่อยใจและปวดหัวกับบัวใต้คอนกรีตอย่างนางจริง ๆ ค่ะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset