บทที่ 149 การศึกษา

บทที่ 149 การศึกษา
โดย

บทที่ 149 การศึกษา

เมื่อรู้ว่าพูดกับแม่ของเธอแล้วไม่มีประโยชน์ ซานนีจึงนำเรื่องที่น้องชายจะไปโรงเรียนไปบอกพ่อของเธอในตอนที่พี่ชายรองกลับมาถึงบ้าน

“เจ้ารองได้ไปโรงเรียน แต่ทำไมน้องชายหนูถึงไม่ได้ไปโรงเรียนล่ะคะ” ซานนีเอ่ย

ลูกสาวทั้งสามคนของสะใภ้ใหญ่ได้เรียนหนังสือกันหมด แต่ซานนีกับลิ่วนีไม่ได้เรียน

อู่นีลูกสาวของสะใภ้สามก็ได้ไปโรงเรียนเหมือนกัน

ซานนีจึงรู้สึกว่าตัวเธอเองไม่ได้เรียนหนังสือก็ไม่เป็นไร แต่น้องชายของเธอต้องได้ไปเรียน

พี่ชายรองไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ เขาจึงมาคุยเรื่องนี้กับสะใภ้รอง

สะใภ้รองได้ยินก็โอดครวญ “คุณไม่รู้เหรอคะว่าสถานการณ์ในบ้านเรามันเป็นยังไง?”

“สถานการณ์ในบ้านเรามันเป็นยังไงน่ะเหรอ? มันไม่ได้เลวร้ายจนถึงขนาดให้ลูกชายของเราไปเรียนไม่ได้นี่ ตอนที่คุณยังไม่มีลูกชาย คุณก็อยากมีเพื่อให้เป็นแก้วตาดวงใจ พอถึงตอนนี้คุณให้เขาเกิดมา คุณกลับปฏิบัติราวกับเขาเป็นหญ้างั้นเหรอ? คุณไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสเรียนหนังสือ แล้วคุณจะเก็บเงินน้อยนิดนั่นไว้ทำอะไร?” พี่ชายรองเอ่ย

“ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องแต่งภรรยาในอนาคตเหรอคะ? เรื่องนั้นจะไม่ใช้เงินได้ยังไง?” สะใภ้รองตอบ

“คุณอย่าคิดไปไกลนักเลย ลูกเราก็ตัวแค่นี้ คุณมาพูดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบปีข้างหน้าในตอนนี้เนี่ยนะ ให้เขาไปโรงเรียนเถอะ”

เจ้าใหญ่กับเจ้ารองจากบ้านสะใภ้สี่ต่างได้ไปโรงเรียน แม้แต่ลูกสาวของพี่ชายใหญ่และน้องชายสามก็ยังได้ไปโรงเรียน แล้วทำไมลูกชายของเขาถึงจะไปโรงเรียนไม่ได้?

แม้สะใภ้รองจะไม่กล้าแตะต้องเงินส่วนนั้น แต่หล่อนก็ต้องยอมกัดฟันจ่ายค่าเล่าเรียนให้เพราะสามีของหล่อนเป็นคนเอ่ยปากขอ หล่อนยื่นเงินให้พร้อมกับประกาศกร้าว “ถ้าแกเรียนแล้วได้คะแนนไม่ดี แกก็ไม่ต้องเรียน เข้าใจไหม?”

โจวเซี่ยพยักหน้าเมื่อได้ยินดังนี้

ทันทีที่เขาได้ไปโรงเรียน สองตาของโจวเซี่ยก็มีแต่ความงงงวยจากเนื้อหาบทเรียนทั้งหมดที่อัดใส่เขา

เมื่อเขาเลิกเรียนกลับมาที่บ้าน เขาก็ถูกแม่ของตนเองรั้งไว้และเค้นถาม พอเขาตอบคำถามทั้งหมดไม่ได้ก็ถูกหล่อนทุบตี

ท่านแม่โจวถึงกับตวาดลั่นเมื่อรู้เรื่อง “พอแล้ว! เธอจะตีลูกหาอะไร? เขาเพิ่งไปเรียนแค่วันแรกเธอก็คิดว่าเขาจะต้องเข้าใจทุกอย่างหมดเลยหรือยังไง? ถ้าทำอย่างนั้นได้เขาไม่เป็นปีศาจไปแล้วเหรอ?”

เห็นการกระทำแบบนี้ของสะใภ้รองแล้ว ท่านแม่โจวก็ของขึ้น

สะใภ้รองคนนี้สู้สะใภ้สี่ไม่ได้เลยจริง ๆ ถึงบางครั้งสะใภ้สี่จะบ่นบ้าง แต่อย่างมากที่สุดเธอก็แค่บอกว่า ‘ทั้งพ่อทั้งลูกนี่เป็นเวรกรรมของฉันจริง ๆ’

ต่อให้เธอตีลูก เธอก็แค่เงื้อมือขึ้นสูงและฟาดเบา ๆ ไม่มีการดุด่าว่ากล่าวและทุบตีรุนแรงเหมือนสะใภ้รองเลย

“ฉันกำลังสั่งสอนลูกอยู่น่ะค่ะคุณแม่” สะใภ้รองบอก

“สั่งสอนลูกอะไร? เขาก็เป็นหลานชายฉันเหมือนกันนะ ขนาดฉันยังไม่ว่าเขาสักคำ ถูกไหม?” ท่านแม่โจวพูด

ต่อให้แยกครอบครัวกันแล้ว สะใภ้รองก็ไม่กล้าขัดท่านแม่โจว หล่อนจึงทำได้เพียงตวาดใส่โจวเซี่ย “ถ้าพรุ่งนี้แกตอบคำถามไม่ได้ แกไม่ต้องไปเรียน ฉันจะไปขอเงินคืนจากคุณครูใหญ่!”

โจวเซี่ยรู้สึกระทมใจนัก เขาจึงมาหาเจ้ารอง

“มานี่สิแล้วฉันจะสอนนาย” เจ้ารองบอก เขาคิดว่าเนื้อหาบทเรียนมันง่ายเกินไป แม่ของเขาสอนมาหมดแล้ว เขาไม่อยากจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งเลย อยากจะเลื่อนชั้นไปเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สองแทน

แต่แม่ของเขาบอกว่าตอนนี้เขายังเด็กเกินไป เมื่อไหร่ที่เขาโตขึ้นเขาจะได้เลื่อนชั้น ส่วนตอนนี้ให้เขาเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งไปก่อน

โจวเซี่ยให้เจ้ารองสอนวิชาเรียนให้ แล้วก็ได้รับประทานมื้อเย็นที่บ้านคุณอาสี่โดยบังเอิญ

“เด็กคนนี้ตัวเล็กแต่กินจุไม่น้อยเลยนะคะ” หลินชิงเหอพึมพำกับโจวชิงไป๋ยามอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

โจวชิงไป๋กลั้วหัวเราะ พี่สะใภ้รองดำเนินชีวิตแบบเข้มงวดกวดขันเสียขนาดนั้น ที่บ้านของพวกเขาจะมีอาหารอร่อย ๆ แบบนี้ให้กินได้อย่างไรล่ะ

หลานชายของเขาก็ต้องกินมากขึ้นอยู่แล้ว

“ฉันไม่รู้ว่าเขาจะกินเยอะเกินไปหรือเปล่า ถ้าเขากินเยอะเกินไปล่ะก็ แม่ของเขาต้องมาคิดบัญชีกับฉันแน่ ๆ ค่ะ” หลินชิงเหอบอก

เธอไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยไปเองหรอก ถ้าโจวเซี่ยเกิดท้องอืดขึ้นมา สะใภ้รองจะต้องมาเอาเรื่องกับเธอแน่

โชคดีที่โจวเซี่ยมีระบบเผาผลาญที่ดี ต่อให้เขากินเข้าไปเยอะมาก เขาก็ไม่ได้อิ่มจนจุก จึงไม่มีอาการท้องอืดให้เห็น

“ลูกไปกินอะไรดี ๆ ที่บ้านของคุณอาสี่มาเหรอ?” เมื่อเด็กชายกลับมาบ้าน พี่ชายรองก็ถามลูกชายอย่างตื่นเต้นดีใจ

“หมั่นโถวข้าวโพด ไข่คน แล้วก็ปลาผัดเต้าเจี้ยวครับ” โจวเซี่ยตอบตามตรง

“กินมาเยอะเลยใช่ไหมล่ะ?” พี่ชายรองลูบท้องเด็กชายแล้วก็กลั้วหัวเราะ

“กินเยอะเลยครับ” โจวเซี่ยพยักหน้า

ความจริงแล้วเขากินได้มากกว่านี้อีก แต่คุณย่าบอกว่ากินเกือบอิ่มก็พอ ถ้าเขากินมากกว่านี้จะท้องอืด เขาเลยไม่กินต่อ

แต่ถึงอย่างนั้นอาหารที่บ้านคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่ก็อร่อยเหลือเกิน เขาอยากจะไปที่นั่นแล้วขอเป็นลูกชายของพวกเขาจริง ๆ

สะใภ้รองมีสีหน้าดำคล้ำและไม่พูดจาอะไร หล่อนกินผักดองของหล่อน ผักหั่นชิ้น และข้าวต้มที่มีแต่น้ำ

ทางฝั่งหลินชิงเหอที่กินอาหารมื้อเย็นเสร็จ เธอก็ลงมือเย็บพื้นรองเท้าให้เด็ก ๆ

ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว และพื้นรองเท้าของเด็ก ๆ ก็สึกหรออย่างรวดเร็วอีกครั้ง

เด็กชายพวกนี้ในครอบครัวของเธอช่างสร้างแต่ปัญหาจริง ๆ

หลินชิงเหอแนะแนวการบ้านให้กับเจ้าใหญ่และเจ้ารองขณะที่นั่งเย็บพื้นรองเท้า เจ้ารองกำลังเรียนบทเรียนของระดับชั้นประถมศึกษาปีที่สอง เขาเข้าใจบทเรียนในระดับประถมศีกษาปีที่หนึ่งอย่างแจ่มแจ้งแล้ว แต่เธอให้เขาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งไปก่อน ปีหน้าเขาไม่สามารถข้ามชั้นไปเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สามอย่างเจ้าใหญ่ได้หรอก

ในขณะที่ลูกชายคนโตทั้งสองคนกำลังเรียนหนังสือ เจ้าสามที่เป็นลูกชายคนเล็กก็ฝึกดีดลูกแก้ว

เขาช่างดีดได้อย่างแม่นยำนัก

หลังฝึกดีดลูกแก้วอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ประมาณตัวเองว่ามีประสบการณ์สู้กับเพื่อนคนอื่น ๆ ในวันพรุ่งนี้ได้แล้ว จากนั้นก็เริ่มก่อกวนพี่ชายทั้งสอง

“ฉันให้ปากกานายแล้ว นายเอาไปวาดรูปเองนะ” เจ้าใหญ่ยื่นปากกากับกระดาษให้เขาก่อนจะไม่สนใจ

“ผมไม่เอากระดาษหนังสือพิมพ์ ผมจะเอากระดาษเปล่าอย่างของพี่” เจ้าสามร้องขอ

“นี่มันกระดาษการบ้านของพี่ มันแพงมากและใช้ทิ้งขว้างไม่ได้ นายวาดเขียนบนกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วกัน” เจ้าใหญ่ยืนกราน

“กระดาษมันแพงมาก ถ้านายใช้กระดาษการบ้านเหมือนอย่างเรา แม่จะต้องไม่มีเงินเหลือพอไปซื้อลูกอมให้เราแน่” เจ้ารองเอ่ยจี้ใจดำพอดี

เจ้าสามไม่สนใจสิ่งที่พี่ชายคนโตพูดเมื่อก่อนหน้า แต่สิ่งพี่ชายคนรองพูดหลังจากนั้นมันเหมือนสัญญาณอันตรายสำหรับเขาเลยทีเดียว

เจ้าสามครุ่นคิดเรื่องนี้แล้วก็สรุปได้ว่ามันคงดีกว่าที่จะให้แม่ของเขาเหลือเงินไว้ซื้อขนม เขาจึงวาดเขียนรูปลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์ด้วยตัวเองและไม่ยุ่งกับกระดาษเปล่าแม้แต่น้อย

หลินชิงเหอไม่ค่อยมายุ่งกับการแก้ปัญหาของสามพี่น้องนัก ปกติเธอจะไม่เข้ามายุ่งตอนที่ทั้งสามมีเรื่องขัดแย้งกันและปล่อยให้พวกเขาแก้ปัญหากันเอาเอง

ถ้าพวกเขาแก้ไม่ได้ก็ตีกัน พอตีกันเสร็จพวกเขาก็จะออกไปเล่นดีดลูกแก้วด้วยกันในครั้งหน้าและคืนดีกันอีกครั้ง

เด็ก ๆ ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าพิศวงนัก

หลินชิงเหอไม่เคยคลอดลูกด้วยตัวเอง เธอก็เลยใช้วิธีคลำทางตามน้ำไปเรื่อย ๆ เมื่อต้องเลี้ยงดูเด็ก ๆ แบบนี้ เธอไม่มีประสบการณ์มากนัก แต่ก็สอนสั่งพวกเขาได้ดีมาก

อย่างน้อยก็มีโจวชิงไป๋ที่รู้สึกได้ เด็ก ๆ ทั้งสามถูกเธอสอนมาอย่างดีมาก

“แม่ พรุ่งนี้ผมจะกลับช้าหน่อยนะครับ ผมบอกเพื่อนในชั้นว่าเราจะเล่นฟุตบอลกันที่สนามเด็กเล่นวันพรุ่งนี้” เจ้าใหญ่เอ่ยขึ้นมาขณะที่กำลังคัดหนังสือ

“ได้สิ เอากระติกน้ำของพ่อไปด้วยนะ” หลินชิงเหอตอบโดยไม่เงยหน้า

ที่บ้านมีกระติกน้ำที่ใช้ในกองทัพอยู่สองใบ แม้จะเป็นฤดูหนาวก็มีพอให้ใช้งาน

“แม่ครับ พรุ่งนี้ผมจะรอกลับกับพี่ใหญ่นะครับ ผมจะเฝ้ากระติกน้ำให้เขา” เจ้ารองแทรกขึ้นมา

หลินชิงเหอรู้ว่าเขาเองก็อยากเตะบอลเหมือนกันเลยเอ่ยเตือน “ลูกยังเล่นไม่ได้หรอก พวกเขาทุกคนโตกว่าลูก ลูกเข้าไปเล่นก็จะแพ้พวกเขา ดูได้อย่างเดียวเข้าใจไหม?”

“ไม่เล่นก็ได้ครับ” เจ้ารองตอบ งั้นเขาก็นั่งเฝ้ากระติกแล้วกัน มันจะได้ไม่โดนขโมย!

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อยากตบเรียกสติสะใภ้รองจังเลยค่ะ ลูกเพิ่งเข้าโรงเรียนวันแรกทำไมต้องลงโทษลูกรุนแรงขนาดนั้นด้วย ถ้าท่านแม่โจวไม่ห้ามไว้ก็คืออาเซี่ยน่วมแน่

เจ้ารองเริ่มฉายแววความฉลาดออกมาแล้วค่ะ พูดประโยคเดียวสะกดเจ้าสามอยู่เลยทีเดียว

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset