บทที่ 169 คุณครูโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบล

บทที่ 169 คุณครูโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบล
โดย

บทที่ 169 คุณครูโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบล

“คุณกล้าใช้ระบบศักดินามาเลือกปฏิบัติต่อแรงงานผู้หญิงเหรอคะ? คุณไม่เห็นด้วยกับคำพูดของคณะท่านผู้นำว่าผู้หญิงเป็นคนค้ำจุนท้องฟ้าอีกครึ่งหนึ่งงั้นเหรอ?”

หลินชิงเหอไม่รีรอแต่อย่างใด และตอกกลับหนุ่มนักศึกษาคนนี้ไปในทันที

บัณฑิตหนุ่มที่กำลังโกรธเคืองรู้สึกราวกับโดนน้ำเย็นราดศีรษะ เขารีบตอบอย่างรวดเร็ว “ไม่นะ ผมไม่ได้จะเลือกปฏิบัติต่อแรงงานผู้หญิง ผมเคารพคำพูดของคณะผู้นำ แต่คุณนับเป็นแรงงานผู้หญิงงั้นเหรอ? คุณเคยทำงานในทุ่งนามาก่อนหรือเปล่า!”

เขาส่งสายตาดูถูกหลินชิงเหอจนกระทั่งพูดจบ

“คุณไม่มีความสำนึกเลยจริง ๆ ฉันไม่ได้ทำงานในทุ่งนาก็เลยไม่ได้ชื่อว่าแรงงานหญิงงั้นเหรอ? คุณมีความคิดและความรู้ในเรื่องนี้คับแคบอยู่นะ ฉันดูแลทุกอย่างทั้งในและนอกบ้าน และให้สามีของฉันทำงานอย่างยากลำบากในทุ่งนาเพื่อให้ฝ่ายผลิตได้มีผลผลิตเพิ่ม เรื่องนี้ถือว่าฉันไม่ใช่แรงงานหญิงได้ยังไง?”

“ครอบครัวของฉันเลี้ยงหมู 2 ตัวให้ฝ่ายผลิต ไม่เชื่อคุณก็ไปที่หมู่บ้านของเราและถามได้เลยว่ามีหมูบ้านไหนตัวอ้วนเท่าหมูของเราบ้าง? ฉันจะไม่ใช่แรงงานหญิงได้ยังไง?”

“ฉันมีลูกชาย 3 คนติดกัน ตอนนี้พวกเขาล้วนก้าวหน้าและจะมาพัฒนาประเทศในอนาคต นอกจากนี้ฉันยังใช้เวลาว่างตรงนั้นร่ำเรียนพัฒนาตัวเองอย่างหนัก ฉันยังไม่ใช่แรงงานหญิงอีกเหรอ?”

“ในสายตาของคุณ พนักงานหญิงในเมืองที่ไม่เคยลงแปลงนาเลย ไม่ใช่แรงงานผู้หญิงด้วยงั้นเหรอคะ?”

หลินชิงเหอแค่นเสียงเอ่ย

“เธอมัน…เธอมันก็ได้แต่เถียงข้าง ๆ คู ๆ เท่านั้นแหละ!” บัณฑิตหนุ่มเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“ฉันกำลังพูดความจริง ในสายตาของคุณ แรงงานผู้หญิงคือคำเรียกเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในเมืองเหรอคะ? คุณกล้าเลือกปฏิบัติต่อแรงงานหญิงคนสำคัญ คุณกล้าเลือกปฏิบัติต่อแรงงานหญิงที่คณะท่านผู้นำรับรู้เป็นการส่วนตัว คุณมีความคิดแบบนี้แล้วยังคิดที่จะมาสอนเด็ก ๆ อีกเหรอ? อีกอย่างหนึ่งผลการสอบของคุณก็ได้แค่ร้อยละห้าสิบ คุณยังมีหน้าจะมาสอนนักเรียนอีกเหรอคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยเยาะเย้ยอย่างไม่ไว้หน้า

แต่ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกเศร้าใจไปด้วย

แค่ข้อสอบง่าย ๆ เขากลับได้คะแนนแค่นี้ ยิ่งกว่านั้นคะแนนระดับนี้ยังนับว่าเป็นอันดับสาม

ลำดับที่สองกลายเป็นของชายชั่วเฉินซานนั่นที่สอบผ่านทั้งสองวิชา

เป็นอย่างที่คิดว่าเขาเป็นบัณฑิตหนุ่มเพียงคนเดียวในพื้นที่ใกล้เคียงที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และกลับไปอยู่ในเมืองได้ด้วยความสามารถของเขาเองหลังจากที่มีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

แต่แน่นอนว่าเขายังห่างชั้นนักจากคะแนนเต็มที่เธอได้ทั้งสองวิชา

“ครูใหญ่ครับ ผมสงสัยว่าข้อสอบจะมีการรั่วไหลกลางทาง ไม่อย่างนั้นเธอจะได้คะแนนเต็มจากข้อสอบแสนยากแบบนี้ได้ยังไง!” บัณฑิตหนุ่มคนนั้นขบเคี้ยวฟัน

“ไร้สาระ! ข้อสอบนี้เพิ่งจะจัดทำขึ้นในเวลาทำการตอนเช้านี้ และเพิ่งจะคัดลอกเสร็จเมื่อไม่นานนี้เองนะ!” ครูหลายคนในโรงเรียนมัธยมต้นแห่งนี้ถึงกับไม่พอใจและส่งเสียงคัดค้านในทันที

ความจริงพวกเขาเองก็รู้สึกประหลาดใจมากเหมือนกันที่มีคนได้คะแนนเต็มจากข้อสอบเหล่านี้

พวกเขาได้ยินหลินชิงเหอเพิ่งบอกว่าเธอใช้เวลาว่างเรียนหนังสือด้วยตัวเองอย่างหนัก ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่เธอจะได้คะแนนเต็มจากการสอบ

“คุณสงสัยในชื่อเสียงของโรงเรียนมัธยมต้นระดับตำบลของเรางั้นเหรอครับ?!” ครูใหญ่ของโรงเรียนก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาเองก็กวาดสายตาไม่พอใจมาทางบัณฑิตหนุ่มคนนั้น

“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลยครับ!” บัณฑิตหนุ่มเอ่ยตะกุกตะกัก

โจวชิงไป๋ย่นคิ้ว เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่หลินชิงเหอก็ห้ามไว้ เธอแค่นแสยะให้กับบัณฑิตหนุ่มคนนั้นที่ไม่รู้จักชื่อ “ทำไมฉันจะได้คะแนนนี้ไม่ได้ล่ะคะ? คุณคิดว่าฉันเป็นคุณงั้นเหรอ? ที่คืนทุกอย่างที่เรียนรู้มาให้โรงเรียนหมดและไม่ปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวหน้า? ครูใหญ่คะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่แล้ว เชิญให้ใครก็ตามที่มีคำถามได้ถามฉันตรง ๆ ได้เลยค่ะ คุณให้พวกเขาดูกระดาษคำตอบของฉันด้วยก็ได้นะคะ”

“ใช่แล้ว นำกระดาษคำตอบมา” ครูใหญ่เอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ในที่สุด

ครูผู้หญิงคนหนึ่งส่งกระดาษคำตอบของหลินชิงเหอให้กับครูใหญ่และส่งรอยยิ้มใจดีให้เธอ

หล่อนเชื่อว่าหลินชิงเหอไม่ได้โกงข้อสอบเลย เพราะหล่อนตั้งคำถามไว้ดีมาก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หล่อนเค้นสมองเขียนมันออกมา

ไม่มีใครอื่นรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้

นอกจากหลินชิงเหอแล้ว ก็ไม่มีใครทำมันได้

และยังมีคำพูดในเรียงความของหลินชิงเหอที่เขียนได้ตรงประเด็นและประณีต แสดงให้เห็นว่าเป็นเรียงความของคนที่ขยันเรียนอย่างหนัก

เรื่องนี้ยังไม่พอที่จะพิสูจน์อีกเหรอ?

ครูใหญ่พิจารณากระดาษคำตอบทั้งสองวิชา โดยเฉพาะเรียงความภาษาจีน จากนั้นเขาก็หันไปทางหลินชิงเหอ “คุณเรียนรู้ด้วยตัวเองงั้นเหรอครับ?”

“ชิงไป๋ของฉันสอนให้นิดหน่อยน่ะค่ะ ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็เรียนหนังสืออยู่กับบ้าน” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้มขวยเขิน

โจวชิงไป๋เหลือบมองภรรยา ซึ่งเธอก็ส่งสายตารักใคร่ให้เขา

โจวชิงไป๋จึงไม่ได้เอ่ยอะไรและคอยคุ้มกันครอบครัวของเขา

“ชิงไป๋ช่างโชคดีจริง ๆ” ครูใหญ่กับท่านพ่อโจวต่างรู้จักกันดี เขามักจะปฏิบัติต่อโจวชิงไป๋เป็นหลานชายคนหนึ่ง เขาพยักหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างยอมรับ

หลินชิงเหอมองโจวชิงไป๋อย่างภาคภูมิใจ ซึ่งสายตาของโจวชิงไป๋ที่มองภรรยาไม่อาจอ่อนโยนได้มากกว่านี้อีกแล้ว

ขณะที่ทั้งสองสบตากัน ครูใหญ่ก็ได้แจกข้อสอบของหลินชิงเหอให้ทุกคนดู “เอาละ พวกคุณดูกันเอาเองแล้วกันครับ ไม่ว่าจะเป็นเรียงความหรือกระดาษคำตอบก็ลองเทียบกับคำตอบของพวกคุณเองนะ”

ข้อสอบของหลินชิงเหอถูกส่งต่อไปรอบ ๆ เหล่าบัณฑิตหนุ่ม ไม่มีใครในห้องสามารถเขียนเรียงความสู้เรียงความอันสละสลวยอย่างเห็นได้ชัดของหลินชิงเหอได้เลย

เรียงความของเฉินซานถือว่าดีไม่น้อย แต่ก็อยู่ในระดับดีเท่านั้น ไม่ใช่ดีเยี่ยม

บนกระดาษคำตอบทั้งสองแผ่นของหลินชิงเหอ ลายเส้นอักษรดูสะอาดตาและเรียบร้อยอย่างยิ่ง

“ฉันจะไม่ลงลึกในวิชาคณิตศาสตร์นะคะ พวกคุณเองก็คำนวณได้เหมือนกัน กระดาษทดของฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าพวกคุณอยากรู้ขั้นตอนการแก้โจทย์ก็เอาไปดูได้” หลินชิงเหอหยิบกระดาษทดออกจากกระเป๋ากางเกง ซึ่งมันเป็นกระดาษทดเลขจากการสอบครั้งนี้

“ส่วนในด้านภาษา ในเมื่อมันเขียนออกมาจากความจำ ฉันก็สามารถท่องให้ฟังได้ทั้งหมดเลยนะคะ ฉันจำมันได้ทั้งหมด พวกคุณจะทดสอบฉันก็ได้หากต้องการ” หลินชิงเหอเอ่ยเสียงเรียบ

บัณฑิตหนุ่มที่ยังกังขาเธออยู่ก็ขอให้เธอท่องเรียงความยาวบทนั้นทันทีอย่างไม่ลังเล

หลินชิงเหอจึงปริปากท่องบทความนั้นให้ฟัง

เธอท่องบทความนี้โดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว

ครูใหญ่และครูบางคนถึงกับมองหลินชิงเหอด้วยความชื่นชม

มีบัณฑิตสาวอีกหลายคนที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ตราบใดที่เป็นเรื่องท่องจำบทความ หลินชิงเหอก็ไม่ลังเล เธอท่องให้ฟังทีละประโยค

หลังท่องไปได้ห้าประโยค แม้แต่บัณฑิตชายทั้งหลายยังพากันพูดไม่ออก

หลินชิงเหอออกเสียงท่องได้อย่างลื่นไหลไม่ติดขัดแม้แต่น้อย ลายมือของเธอก็ดูงดงาม ชนิดที่เหลือบมองครั้งแรกก็บอกได้ว่าเธอมีความรู้มาก อีกทั้งกระดาษทดเลขของเธอก็แสดงถึงวิธีแก้โจทย์ที่สบายตา

เฉินซานมองหลินชิงเหอด้วยสายตาที่เป็นประกายมากกว่าเดิม เขาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะมีด้านลับ ๆ แบบนี้ด้วย

เธอดูเหมือนเปล่งประกายไปทั้งตัว

ในตอนนี้เอง หลินชิงเหอก็ได้เป็นครูคณิตศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลอย่างเป็นทางการ

แต่การเรียนการสอนยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ดังนั้นมันจึงยังไม่เริ่มการเรียนการสอนจนกว่าจะถึงวันที่ 01 กันยายน

ซึ่งเงินเดือนก็คำนวณจากเวลานั้นเช่นกัน

เธอจะได้สอนนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง เนื่องจากชั้นปีที่สองกับสามมีครูสอนอยู่แล้ว

แต่เรื่องเหล่านี้ก็ไม่สำคัญหรอก

สิ่งสำคัญก็คือหลินชิงเหอได้รับการจ้างงานแล้ว!

เธอจะคอยดูว่าในอนาคตจะยังมีใครกล้าเรียกเธอว่าเป็นหญิงขี้เกียจสันหลังยาวที่สุดในหมู่บ้าน หรือกล้าบอกว่าโจวชิงไป๋เป็นชายผู้โชคร้ายแปดชาติที่ได้มาแต่งงานกับเธออีกไหม!

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แม่ปังไม่หยุด ปรบมือให้แม่รัว ๆ เลยค่ะ แม่กลับบ้านไปคราวนี้ได้หน้าสั่นกันทั้งหมู่บ้านล่ะ

เฉินซานคิดจะทำอะไร อย่ามายุ่งกับแม่นะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset