บทที่ 170 อิจฉาในวาสนาของน้องชายสี่

บทที่ 170 อิจฉาในวาสนาของน้องชายสี่
โดย

บทที่ 170 อิจฉาในวาสนาของน้องชายสี่

ความสำเร็จของหลินชิงเหอในการได้เป็นครูประจำชั้นมัธยมต้นปีที่หนึ่งของโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน

เรื่องนี้ทำให้หมู่บ้านโจวเจี่ยถึงกับปั่นป่วนไปทั้งหมู่บ้าน

อะไรนะ?

ภรรยามือเติบของโจวชิงไป๋ได้เป็นครูคณิตศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมต้น?

เป็นไปได้อย่างไร? มันจะต้องเป็นข่าวปลอม ข่าวโคมลอยแน่!

อย่าว่าแต่คนในหมู่บ้านเลย แม้แต่ครอบครัวสาขารองทั้งสามของตระกูลโจวยังพากันประหลาดใจเมื่อได้ยินข่าวนี้

สะใภ้สามยอมรับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเพราะหล่อนเคยเห็นหลินชิงเหอเรียนเป็นการส่วนตัว ยิ่งกว่านั้นบทความที่เธอเขียนยังดีมากด้วย

สะใภ้ใหญ่ได้ยินเรื่องนี้มาจากต้านีกับคนอื่น ๆ ว่าอาสะใภ้สี่ของเธอเป็นคนสอนการบ้านพวกเธอ หล่อนคุยเรื่องนี้กับสะใภ้สามและรู้สึกว่ามันไม่ยากนักที่จะยอมรับ

ในขณะที่สะใภ้รองนั้นรับไม่ได้ หล่อนไม่อาจกล้ำกลืนเรื่องนี้ไปได้เลยจริง ๆ

เป็นไปได้ยังไงเนี่ย? เป็นไปได้ยังไง? ดูจากการกระทำของหลินชิงเหอแล้ว ทำไมเธอถึงได้รับคัดเลือกเป็นครูคณิตศาสตร์ประจำชั้นมัธยมต้นของโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลไปได้ล่ะ?

ถึงกับต้องรับคนแบบนี้เข้าไปสอนเลยเหรอ ไม่มีคนอื่นในตำบลอีกแล้วหรือไง?

“เธอคิดว่าน้องสามีสี่ของเธอใช้เส้นสายเขาให้เธอได้งานหรือเปล่า?” หวังหลิงที่เป็นพวกของหล่อนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

สะใภ้รองไม่ตอบ

“ฉันเดาว่าร้อยละเก้าสิบต้องใช่แน่ ๆ หล่อนเป็นแบบนี้คงไม่มีทางที่หล่อนจะสอนในโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลได้หรอกหากน้องสามีสี่ของเธอไม่ได้ใช้เส้นยื่นหล่อนเข้าไป แม้แต่โรงเรียนประถมของฝ่ายผลิตเรายังไม่รับหล่อนเลย” หวังหลิงบอก

ในที่สุดสะใภ้รองก็อดไม่ได้ต้องเอ่ยออกมา “ฉันเดาว่าคงเป็นอย่างนั้นเพราะน้องสามีสี่ใช้เส้นสาย แต่ฉันก็ได้ยินมาว่าครั้งนี้มีบัณฑิตหนุ่มสาวมากมายมาสมัครตำแหน่งนี้ด้วย ถ้าหล่อนใช้เส้นสายเข้าจริง เรื่องนี้มันคงไม่จบแค่นี้หรอก”

บรรดาบัณฑิตหนุ่มสาวเคยเจอปัญหานี้มาก่อน พวกเขาก็เลยรวมกำลังกันในภายหลังและก่อตั้งเป็นคณะกรรมการบัณฑิตขึ้นมา หากมีเรื่องไม่ยุติธรรมอะไรเกิดขึ้น คณะกรรมการบัณฑิตก็จะเข้าไปรายงานเรื่องนี้ในอำเภอ ถึงตอนนั้นทั้งตำบลก็จะได้รับผลกระทบตามมา

บัณฑิตหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่คุ้นเคยกับความยากลำบาก และหมายตาตำแหน่งครูตำแหน่งนี้มานานแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งครูในโรงเรียนประถมศึกษาของฝ่ายผลิตหรือตำแหน่งครูในโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบล ดวงตาของพวกเขาก็ไม่ต่างจากหมาป่าที่จ้องมองเนื้อในทันทีที่มีตำแหน่งว่างเกิดขึ้น

การได้เป็นครูมันจะดีแค่ไหนกันนะ?

พวกเขาจะได้แต้มค่าแรงโดยที่ไม่ต้องออกไปทำงานตากแดดตากลม โดยเฉพาะโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลนั้น พวกเขาได้ยินมาว่าคนที่ได้ทำงานในนี้จะได้เงินเดือนมากกว่า 10 หยวนต่อเดือน มันจะมีงานไหนที่ดียิ่งกว่านี้อีก?

หากหลินชิงเหอใช้เส้นสายของโจวชิงไป๋สอบเข้ามันก็จะเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ บัณฑิตหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นหรอก

ดวงตาของหวังหลิงเป็นประกายเมื่อได้ยินดังนี้ “ถ้าเรื่องนี้เป็นสาเหตุของปัญหาล่ะก็ ดังนั้นมันจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ หล่อนจะถูกจับเข้าคุกไหม?”

สะใภ้รองเองก็คอยดูตอนที่หลินชิงเหอถูกจับกุมและได้รับบทเรียนอย่างสาแก่ใจ เรื่องนี้จะทำให้หล่อนรู้ว่าไม่ควรทำตัวอุกอาจไปนาน!

หล่อนรอแล้วรอเล่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

7 วันผ่านไปโดยที่บรรดาบัณฑิตรุ่นเยาว์ไม่มีการก่อจลาจลใด ๆ เลย

“คุณแม่คะ บรรดาบัณฑิตหนุ่มสาวพวกนั้นยังไม่ลุกฮืออีกเหรอคะ?” ในที่สุดหลังผ่านไปอีก 5 วัน สะใภ้รองก็นั่งไม่ติดที่และถามเรื่องนี้กับท่านแม่โจว

หลายวันผ่านไปแล้วยังไม่ได้ข่าวสักเรื่อง เรื่องนี้ทำให้คนรอถึงกับร้อนใจ

ท่านแม่โจวได้ยินเรื่องนี้ก็ย่นคิ้ว “ทำไมบัณฑิตหนุ่มสาวพวกนั้นต้องลุกฮือกันด้วยล่ะ?”

“เรื่องที่แม่เจ้าใหญ่ใช้เส้นสายของน้องสี่สอบเข้าเป็นครูมัธยมต้นประจำตำบลน่ะสิคะ” สะใภ้รองตอบ

“สะใภ้รอง เธอพูดอะไรน่ะ? แม่เจ้าใหญ่ได้บรรจุเป็นครูเพราะความสามารถของหล่อนเองต่างหาก” สะใภ้ใหญ่ตอบในทันทีหลังได้ยินดังนี้

“ใช่แล้วค่ะ เราทุกคนถามเรื่องนี้โดยตรงแล้ว แม่เจ้าใหญ่ได้คะแนนเต็มในการทดสอบทั้งสองวิชา โดยที่บัณฑิตหนุ่มสาวพวกนั้นสู้หล่อนไม่ได้เลย หล่อนได้บรรจุเพราะความสามารถของหล่อนเอง แล้วหล่อนจะใช้เส้นสายของสามีได้ยังไงคะ?”สะใภ้สามเอ่ยพลางย่นคิ้ว

หล่อนกำลังท้องแก่และใกล้จะถึงวันคลอดแล้ว

เมื่อท่านแม่โจวได้ยินดังนี้นางก็เข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที นางแค่นเสียงใส่สะใภ้รอง “ตอนนี้เธอรอพวกคณะกรรมการบัณฑิตมาสร้างปัญหาให้กับบ้านตระกูลโจวของเราอยู่งั้นเหรอ?”

ในตอนนี้เองสะใภ้รองก็ตอบรัวเร็ว “คุณแม่คะ…ฉันไม่ได้…”

“ถ้าเธอไม่ได้หวัง แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง? คนในหมู่บ้านพากันยินดีกับสะใภ้สี่ แต่เธอแช่งให้หล่อนโชคร้ายเรอะ? ทุกครั้งที่เซี่ยเซี่ยไปทำการบ้านที่บ้านนั้น สะใภ้สี่ก็มักจะแบ่งของกินอร่อย ๆ ให้เสมอ เขาได้กินอาหารจากบ้านนั้นตั้งมากมายแต่เธอกลับแช่งให้สะใภ้สี่เจอเรื่องร้าย ๆ อย่างนั้นเรอะ?” ท่านแม่โจวจ้องเขม็ง

สะใภ้รองถึงกับหน้าซีด “คุณแม่คะ อย่าเพิ่งพูดถึงฉันเลย พูดเรื่องนี้กันก่อนดีกว่าค่ะ หล่อนอาจหลอกลวงคนอื่นได้ แต่หล่อนจะหลอกลวงครอบครัวเราได้อย่างไรล่ะคะ? ให้หล่อนยอมแพ้เถอะค่ะ มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะคะถ้าคณะกรรมการบัณฑิตมาสร้างความวุ่นวาย ตระกูลโจวทั้งตระกูลจะขายหน้าเพราะหล่อนนะคะ”

“เธอนี่พูดจาเหลวไหลใหญ่แล้ว!” ท่านแม่โจวพูดออกมาตรง ๆ “ทำไมต้องยอมแพ้? คะแนนของสะใภ้สี่ได้มาเพราะความสามารถของหล่อนเอง เธอไม่มีความสามารถนั้นก็เลยไม่อยากให้สะใภ้สี่มีความสามารถอย่างนั้นเรอะ? ทำไมการสอบตำแหน่งครูของสะใภ้สี่ต้องพึ่งเส้นสายของชิงไป๋ด้วยล่ะ? ชิงไป๋มีเส้นสายอะไรในโรงเรียนมัธยมนั้นเรอะ?”

“ฉันได้ยินว่ามีคนหลายคนคอยดูตอนสอบและคุณครูหลายท่านก็คิดโจทย์ขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่นะคะ ดังนั้นไม่มีโอกาสที่ใครจะรู้ข้อสอบก่อนคนอื่นเลยค่ะ” สะใภ้ใหญ่ชี้ประเด็น

“นอกจากชายที่ชื่อเฉินซานสอบผ่านทั้งสองวิชาแล้ว บัณฑิตหนุ่มสาวที่เหลือก็สอบไม่ผ่านกันหมด ขณะที่แม่ของเจ้าใหญ่ได้คะแนนเต็มทุกวิชา ว่ากันว่าคุณครูทุกท่านเชื่อหล่อนกันหมดเลยนะคะ” สะใภ้สามเสริมอย่างไม่รีบร้อน

“ตอนแรกบัณฑิตหนุ่มสาวพวกนั้นก็ยังไม่เชื่อหรอกนะคะ ฉันได้ยินว่าพวกเขาถามคำถามมากมาย แต่ก็ไม่มีใครโต้กลับแม่เจ้าใหญ่ได้เลยค่ะ” สะใภ้ใหญ่เอ่ยต่อ

“พวกเขาทุกคนต่างหวังตำแหน่งเดียวกันหมด ถ้าพวกเขาสู้แม่เจ้าใหญ่ได้ ทำไมพวกเขาต้องหยุดรอไปนานขนาดนี้ด้วยล่ะคะ?” สะใภ้สามเอ่ย

สะใภ้รองตะลึงงันไปแล้ว

“เธออยู่กับผู้หญิงบ้านหม่าคนนั้นมาตลอดทั้งวันจนสมองเธอกลวงไปพร้อมกับหล่อนแล้วสินะ!” ท่านแม่โจวตำหนิสะใภ้รอง

สะใภ้รองได้ฟังก็อับอายอย่างเหลือแสนจนต้องหมุนตัวกลับเข้าห้องไปร้องไห้

หล่อนรู้สึกผิดอยู่ในใจ เมื่อพี่ชายรองกลับมาบ้าน เขาก็ตะลึงงันไป “เกิดอะไรขึ้น? ใครมันกล้ารังแกคุณ?”

เขาถามคำถามนี้ขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด เพราะทางบ้านตระกูลโจวนั้น ไม่ว่าจะเป็นสะใภ้ใหญ่หรือสะใภ้สามก็ไม่มีใครหาเรื่องใครเลย ดังนั้นไม่มีทางที่จะรังแกหล่อนได้

“คุณบอกมาสิคะ ว่าแม่เจ้าใหญ่สอบเป็นครูได้ด้วยความสามารถของหล่อนจริง ๆ หรือเปล่า?” สะใภ้รองถามขณะปาดน้ำตา

จนกระทั่งตอนนี้หล่อนก็ยังไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง

พี่ชายรองถึงกับหน้าตาเหลอหลา “เรื่องนี้ก็รู้กันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าหล่อนไม่อยู่เหนือกว่าบัณฑิตรุ่นเยาว์พวกนั้นด้วยความสามารถของหล่อนเอง คณะกรรมการบัณฑิตก็จะเอาเรื่องแน่”

พูดถึงตอนนี้ พี่ชายรองรู้สึกอิจฉาขึ้นมาจริง ๆ แล้วที่น้องชายสี่ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้

เขาคิดว่าอีกฝ่ายแต่งงานกับภรรยาที่ไม่สามารถเก็บเงินได้ ดังนั้นต่อให้พวกเขากินดีอยู่ดีแค่ไหน พี่ชายรองก็ไม่ได้อิจฉาถึงขนาดนั้น

ชีวิตไม่ใช่เรื่องราวแค่วันเดียว ทั้งครอบครัวยังต้องเก็บเงินไว้

หากพวกเขาไม่เก็บเงินแล้วในอนาคตพวกเขาจะทำอย่างไร?

แต่สะใภ้สี่ไม่ได้คิดมากนักและยังไม่คิดที่จะลงทำงานในแปลงนาด้วย

แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเหตุผลที่หล่อนไม่ลงแปลงนาเป็นเพราะเรื่องนี้

หล่อนอุทิศตัวให้กับการเรียน เป็นเพราะหล่อนต้องเรียนหนังสือนี่เองทำให้หล่อนไม่ได้ไปทำงาน และที่น่าชื่นชมก็คือทั้งที่เวลาผ่านมาหลายปีแล้ว สะใภ้สี่ก็ไม่เคยหลุดปากพูดเรื่องนี้เลย

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

สะเทือนทั้งหมู่บ้านแล้วค่ะทีนี้ สะใภ้รองจนมุมแล้วสินะ อิจฉาไปยังไงเธอก็สู้แม่ไม่ได้หรอก พันธมิตรแอปเปิลของแม่ทำงานกันดีมาก แถมพ่วงลาสบอสอย่างท่านแม่โจวอีก

สะใภ้รองจะคิดได้ไหม ติดตามตอนหน้าค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset