บทที่ 172 ผมจะรอคุณอยู่ที่บ้าน

บทที่ 172 ผมจะรอคุณอยู่ที่บ้าน
โดย

บทที่ 172 ผมจะรอคุณอยู่ที่บ้าน

“อีกไม่นานเสี่ยวเม่ยก็จะคลอดแล้ว ถึงตอนนั้นคุณแม่คงจะยุ่งมาก ถ้าถึงเวลานั้นคุณแม่ก็ทำอาหารจานหลักได้นะคะ ส่วนกับข้าวก็ค่อยรอฉันกลับมาทำให้แล้วกันค่ะ” หลินชิงเหอบอก

เธอรู้สึกว่างานเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว

เพียงมองดูก็รู้สึกว่าช่วงนี้ความคิดของท่านแม่โจวที่มีต่อเธอได้เปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

เธอไม่พูดว่าก่อนหน้านี้มันแย่หรอก เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถึงระดับนั้น แต่ตอนนี้มันกลับให้ความรู้สึกว่าได้รับความรักใคร่เทิดทูนแทน

เรื่องนี้ทำให้หลินชิงเหอรู้สึกหวั่นไหวปั่นป่วนในใจนิดหน่อย

มันไม่เป็นไรหรอกหากให้ท่านแม่โจวทำอาหารจานหลัก แต่พอเป็นกับข้าวแล้ว ทั้งครอบครัวต้องไม่คุ้นลิ้นแน่

ยิ่งกว่านั้นตอนนี้โจวเสี่ยวเม่ยยังท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว หลังคลอดบุตรและอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายหลังคลอด เด็กคนนั้นก็จะถูกส่งกลับมาที่นี่

ท่านแม่โจวรู้คร่าว ๆ ว่าลูกสะใภ้กำลังหมายความว่าอะไร นางจึงพยักหน้าและตอบกลับ “งั้นฉันจะเตรียมผักทั้งหลายไว้ให้ เธอก็แค่มาผัดเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วกัน”

หลินชิงเหอเห็นด้วย

ทันทีที่เจ้าใหญ่กับเจ้ารองกลับมาจากการเก็บผักขม โจวชิงไป๋กับท่านพ่อโจวก็กลับมาจากแปลงนาเช่นกัน

หลินชิงเหอจึงเข้าไปในครัวและต้มเกี๊ยว

ตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคมที่อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ดังนั้นนอกจากเกี๊ยวแล้ว หลินชิงเหอก็ทำถั่วเขียวต้มน้ำตาลด้วย

ถั่วเขียวต้มน้ำตาลนี้เหมาะที่จะดื่มตอนหนึ่งทุ่ม มันจะช่วยระบายความร้อนจากร่างกายได้ดี

หลังทำอะไรทุกอย่างจนเสร็จและมานอนบนเตียงเตาแล้ว หลินชิงเหอจึงบอกโจวชิงไป๋เกี่ยวกับเรื่องนี้ “คนข้างนอกชมฉันเสียใหญ่โตเชียวค่ะ ถ้าเกิดว่าฉันสอนเด็กนักเรียนไม่ดีล่ะคะ?”

“มันไม่เกิดขึ้นหรอก” โจวชิงไป๋ยิ้ม

“คุณมั่นใจในตัวฉันถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” หลินชิงเหอยิ้มกริ่ม

“คุณสอนเจ้าใหญ่กับเจ้ารองดีมากนะ” โจวชิงไป๋ตอบ

ในเมื่อเธอสอนลูกชายทั้งคู่ดีขนาดนี้ ทำไมเธอถึงจะสอนนักเรียนแย่ล่ะ? มันไม่เกิดอะไรแบบนั้นขึ้นหรอก

“แล้วคนข้างนอกยังพูดว่าคุณโชคร้ายที่แต่งงานกับฉันอยู่หรือเปล่าคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยเย้า

โจวชิงไป๋มีสายตาอ่อนโยนลง “พวกเขาอิจฉาผมกันหมดล่ะ”

ใช่แล้ว แม้แต่พี่ชายรองกับพี่ชายสามก็ยังอิจฉาเขา

พวกเขาเคยอิจฉาที่เขาเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของพ่อแม่ต่อให้เขาไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าพวกเขา แม้เขาจะแยกตัวออกมาสร้างบ้านหลังนี้อยู่ แต่มันก็มาจากเงินเดือนที่เขาได้ล้วน ๆ

ต่อมาพวกเขาก็อิจฉาว่าเขามีลูกชายสามคนกับภรรยาของเขาที่ทำอาหารเก่ง มาคราวนี้อิจฉาที่เธอมีความสามารถในการหาเงิน

“พวกเขาชมฉันยังไงคะ?” หลินชิงเหอเลิกคิ้ว

โจวชิงไป๋หัวเราะในลำคอและดึงตัวภรรยาเข้ามากอด

หลินชิงเหอฟังเสียงหัวใจของเขา มันให้ความรู้สึกสงบเหลือเกิน

การขอให้ชายคนนี้พูดอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอมีความสุขมันเป็นการกดดันเขาเกินไป เขาไม่ถนัดในเรื่องนี้และไม่มีวันทำได้ด้วย

แต่เขาอุทิศตัวให้เธออย่างเต็มที่ เขามักอดทนกับเธอ ต่อให้บางครั้งเธอจะทำตัวน่ารำคาญไปบ้าง แต่เขาก็ยังใช้ความใจกว้างของเขาทำให้เธอตระหนักรับฟังได้

หลินชิงเหอรู้สึกว่าการได้พบกับเขาคงเป็นชะตาฟ้าลิขิต มันยากเหลือเกินที่เธอจะนึกภาพออกว่าชีวิตที่แต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่เขามันเป็นอย่างไร

“ชิงไป๋ ถ้าเกิดวันข้างหน้ามีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ฉันจะไปสอบนะคะ หลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วฉันจะไปเรียนที่นั่น แล้วก็จะได้กลับมาที่บ้านไม่กี่ครั้งใน 1 ปีน่ะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยเสียงแผ่วในอ้อมแขนของชายหนุ่ม

“งั้นผมจะรอคุณอยู่ที่บ้านนะ” โจวชิงไป๋เอ่ย

หลินชิงเหอเงยหน้ามองเขา “คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันหมายความว่ายังไง”

ที่เธอหมายถึงก็คืออยากให้เขาไปมหาวิทยาลัยกับเธอด้วย ต่อให้ต้องเช่าบ้านอยู่รอบนอกก็ตาม

“ข้างนอกไม่มีแหล่งรายได้หรอก แล้วภาระที่แบกรับมันก็จะหนักมาก” โจวชิงไป๋มองเธอและแจงเหตุผลให้ฟัง

เขาเชื่อคำพูดของเธอโดยไม่มีเงื่อนไขในบางเหตุผล แม้เขาจะไม่รู้ว่าเธอได้ยินข่าวว่าจะมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาจากไหน แต่เขาก็เชื่อเธอโดยไม่ลังเล ในวันข้างหน้าอาจมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจริง ๆ ก็ได้

แต่เขาไม่คิดที่จะไปกับเธอเลย หากเขาไปด้วย การดำรงชีวิตของพวกเขาก็จะเป็นปัญหาใหญ่

“ภาระหนักอะไรกันคะ? เรายังมีเงินกับคูปองเหลืออยู่มากมาย อีกอย่างมหาวิทยาลัยก็ออกค่าเดินทางให้ มันไม่ต้องใช้เงินเลยสักเหมา ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

“ผมจะรอคุณอยู่ที่บ้านล่ะ” โจวชิงไป๋ส่ายหน้า

เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ หลินชิงเหอก็ไม่โน้มน้าวต่อ เธอรู้จักผู้ชายของเธอดี ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นเรื่องในอีกหลายปีต่อมา ไม่จำเป็นต้องคุยกันตอนนี้หรอก

เรื่องนี้จึงจบไป

สะใภ้สามเจ็บท้องคลอดลูกในอีกไม่กี่วันก่อนเข้าสู่เดือนสิงหาคมตามปฏิทินสุริยคติ อาการเจ็บท้องของหล่อนคงอยู่ข้ามคืนเลยทีเดียวกว่าจะคลอดลูกได้

เมื่อหลินชิงเหอทราบเรื่อง เธอก็ให้น้ำตาลทรายแดง 1 ชั่งไปกับหล่อน นอกจากนี้ยังมีขาหมูเหมือนทุกครั้ง หลินชิงเหอยังคงทำตามวิสัยนี้อยู่เสมอ

เมื่อเว้นสะใภ้รองไว้คนเดียวแล้ว ไม่ว่าสะใภ้ใหญ่หรือสะใภ้สามจะคลอดลูก พวกหล่อนต่างได้รับขาหมูกันหมด

ไม่รู้ว่าเด็กสองคนมีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ หลังจากสะใภ้สามคลอดลูกไม่ถึงสองวัน โจวเสี่ยวเม่ยก็คลอดลูกเหมือนกัน

โดยที่ลูกคนที่สองของหล่อนก็เป็นลูกชาย

สรุปคือหล่อนได้ลูกชายสองคน ซึ่งนับว่าอัศจรรย์มาก

ซูต้าหลินรู้สึกดีใจอีกครั้ง ส่วนโจวเสี่ยวเม่ยกลับผิดหวังเล็กน้อย เพราะหล่อนอยากให้เด็กคนนี้เป็นลูกสาวมากกว่า

โดยไม่คาดคิด กลับกลายเป็นว่าหล่อนได้ลูกชายอีกคนหนึ่ง

เมื่อซูต้าหลินซื้อของสำหรับบำรุงร่างกายหลังคลอด เขาก็ซื้อของแต่ละอย่างมาสองชุด

สะใภ้สามได้รับไก่ตัวหนึ่ง ไข่ 1 ตะกร้า และปลาตัวใหญ่ 2 ตัว ทั้งหมดนี้ซูต้าหลินเป็นคนส่งมา

ต้องบอกว่าของขวัญครั้งนี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อย สะใภ้สามรู้สึกดีใจอย่างมาก

และในครั้งนี้ ลูกของสะใภ้สามก็เป็นลูกชายเหมือนกัน

เมื่อนับดูแล้ว หล่อนก็จะมีลูกชาย 2 คนกับลูกสาว 2 คน

ของกินที่หล่อนได้มาบำรุงร่างกายหลังคลอดจึงค่อนข้างมากมาย

และในช่วงนี้มันยังเป็นฤดูจับปลาอีกด้วย หล่อนให้พี่ชายสามออกไปจับปลาหลังการทำงานอันแสนวุ่นวาย ซึ่งบางครั้งเขาก็จับปลากลับมาตุ๋นหนึ่งหรือสองตัว

หลังบำรุงร่างกายหลังคลอดได้ 1 เดือน โจวเสี่ยวเม่ยกับซูต้าหลินก็พาซูสวิ่นลูกชายคนเล็กกลับมา

ลูกชายคนโตชื่อว่าซูเฉิง ขณะลูกชายคนเล็กชื่อซูสวิ่น ต้องบอกว่าซูต้าหลินช่างเลือกชื่อได้ดีเหลือเกิน

ไข่อีกตะกร้าหนึ่งและไก่ตัวหนึ่งถูกนำกลับมาด้วย ทั้งหมดนี้ได้มาเพราะการช่วยเหลือจากป้าของซูต้าหลิน ถ้าไม่ได้นางช่วยมันคงเป็นเรื่องยากที่จะได้มา

เมื่อโจวเสี่ยวเม่ยกับซูต้าหลินพาลูกกลับมา ก็เป็นเวลาที่หลินชิงเหอไม่อยู่บ้าน เพราะเธอเริ่มการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการที่โรงเรียนพอดี

คราวที่แล้วซูต้าหลินกลับมา เขาก็กลับมาอย่างเร่งรีบ แต่ไม่รู้ว่าหลินชิงเหอได้เป็นครูในโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลไปแล้ว

พอทั้งสองรู้ข่าว ทั้งคู่ก็มีสีหน้าอึ้งไป

โดยเฉพาะโจวเสี่ยวเม่ยที่มีท่าทางชื่นชมอย่างลึกซึ้ง “พี่สะใภ้สี่ของฉันช่างอัศจรรย์จริง ๆ ฉันบอกแล้วว่าในหมู่พี่สะใภ้ทั้งหลาย ไม่มีใครหัวไวเท่ากับหล่อนอีกแล้ว”

ในตอนแรกที่เธอได้งานทำก็ต้องขอบคุณพี่สะใภ้ที่บอกให้เธอใช้เส้นสาย ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ได้ทำงานนี้หรอก

ซูต้าหลินเองก็ชื่นชมเธอ

ทั้งคู่ไม่เคยคิดเลยว่าหลินชิงเหอผู้เป็นครูที่ได้เริ่มสอนช้ากว่าคนอื่นจะสามารถรับมือกับนักเรียนในโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลได้หรือไม่ หรือบางทีอาจถูกขอให้ออกหรือเปล่า?

แต่ดูเหมือนว่าความคิดของสังคมนี้จะเป็นแบบเดียวกัน ตราบใดที่คน ๆ นั้นได้รับการยอมรับจากโรงเรียน พวกเขาก็มีอำนาจที่จะสอน

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ถ้าแม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จริง แม่ก็ต้องแยกจากพ่อแล้วน่ะสิ แง ขอให้หาทางออกที่ลงตัวได้นะคะ

คราวนี้ทั้งสะใภ้สามกับเสี่ยวเม่ยได้ลูกชายกันหมดเลยค่ะ เหลือลูกสาวแม่แล้วล่ะค่ะที่จะมาเกิดตอนไหน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset