บทที่ 187 ทำซาลาเปาไส้หมู

บทที่ 187 ทำซาลาเปาไส้หมู
โดย

บทที่ 187 ทำซาลาเปาไส้หมู

วันเวลาผ่านไป จนกระทั่งถึงวันแจกจ่ายเนื้อหมูประจำสิ้นปี

หมูอ้วนพีสองตัวของครอบครัวถูกต้อนออกมาตั้งแต่เช้าตรู่

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ เจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามก็อยากไปดูการเชือดหมู

ซูเฉิงน้อยเองก็อยากไปเหมือนกัน

“ไม่ได้ นายยังเด็กเกินไป ภาพการเชือดหมูไม่เหมาะให้นายดู” เจ้าสามโน้มน้าวเขา

“ผมไม่กลัวหรอก” ซูเฉิงน้อยยืนกราน

เพราะการที่เขามักจะตัวติดกับพี่ชายทั้งหลายนี่เอง จึงทำให้ทักษะภาษาของเขาพัฒนาดีขึ้นมาก

“นายจะฝันร้ายนะหลังจากเห็นเข้า” เจ้ารองเอ่ยเช่นกัน

“ผมไม่กลัวหรอก” ซูเฉิงน้อยยังคงยืนยัน

แต่ท้ายที่สุดแล้วซูเฉิงน้อยก็ไม่ได้ไปดูการเชือดหมูเพราะเขายังเล็กเกินไป เขาตัวเล็กเพียงเท่านี้ ไม่มีทางที่เขาจะได้รับอนุญาตให้ดูหรอก

อย่างไรก็ตามคนที่โจวชิงไป๋พาไปต่างเอามือปิดตาเมื่อเห็นหมูถูกเชือด โดยที่เจ้าใหญ่ยื่นมือมาปิดตาเจ้าสาม ส่วนเจ้ารองก็ปิดตาครึ่งหนึ่งพร้อมกับทั้งร่างเกร็งสะท้านเล็กน้อย

หลังจากเสียงหมูร้องโหยหวนทยอยดังขึ้น หมูทั้งหมดก็ถูกเชือดเสร็จเรียบร้อย

ปีนี้มีหมูสามตัวในหมู่บ้านถูกเชือด ทำให้ทุกครัวเรือนได้ส่วนแบ่งเนื้อหมูจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นหมูที่ให้เนื้อมากที่สุดยังคงเป็นหมูสองตัวจากครอบครัวของโจวชิงไป๋ พวกมันช่างอ้วนเหลือเกิน อ้วนพีและแข็งแรงโดยแท้

ปีนี้หลินชิงเหอได้รับเนื้อหมูเพิ่มอีก 3 ชั่งจากปีที่แล้ว มันเป็นเพราะแต้มค่าแรงที่เธอได้จากการเป็นครู และแน่นอนว่ายังมีแต้มค่าแรงจากการเลี้ยงหมูตัวใหญ่สองตัวนี้อีก

หัวหมูยักษ์หนึ่งหัว ซี่โครงเจ็ดหรือแปดซี่ เนื้อติดกระดูก ของพวกนี้คือสิ่งที่ขออยู่แล้วเป็นประจำ

และพวกเขาก็ไม่ลืมที่จะขอลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก และกระเพาะหมูด้วย

ส่วนที่เหลือคือเนื้อติดมัน ซึ่งหลินชิงเหอได้ไป 7 ชั่ง ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องมองด้วยความอิจฉา แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยว่าอะไรเธอได้

หากพวกเขามีโอกาส พวกเขาก็จะขอมันเหมือนกัน

หลินชิงเหอยังขอเนื้อสามชั้นและเนื้อแดงเป็นจำนวนมากหลังจากได้เนื้อซี่โครงกับเนื้อติดกระดูกไปบางส่วนตั้งแต่ต้น พวกมันเป็นเนื้อชั้นสามที่มีมูลค่าน้อยที่สุด

เนื้อแดงนับว่าเป็นเนื้อชั้นสามเช่นกัน

เนื้อสามชั้นจัดว่าเป็นเนื้อชั้นสอง เนื้อชั้นยอดย่อมเป็นเนื้อติดมันอยู่แล้ว ทุกคนต่างให้ค่าว่ามันเป็นเนื้อส่วนที่ดีที่สุด

เมื่อรวมสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกัน มันก็มีน้ำหนักราว 30 ชั่ง

แน่นอนว่าเป็นเพราะมีส่วนของท่านพ่อโจวรวมอยู่ด้วย

ถึงเป็นเช่นนั้น การนำเนื้อกลับไปมากขนาดนั้นก็ยังสร้างความอิจฉาให้กับคนอื่น ๆ

แต่ในบางครั้งคนเราก็ไม่สามารอิจฉาใครได้

ก่อนหน้านี้ทุกคนไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากครอบครัวของโจวชิงไป๋

วลีที่ว่า สามสิบปีธาราไหลสู่บูรพา สามสิบปีต่อมาหวนสู่ทิศประจิม มีความหมายได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่ใช่คำโกหกแต่อย่างใด

ตอนนี้ครอบครัวของเขาได้แต้มค่าแรงเท่าไหร่แล้วล่ะ?

มีทั้งแต้มค่าแรงจากการเลี้ยงหมู 2 ตัว อีกทั้งปุ๋ยคอกที่ได้จากหมู 2 ตัวนี้ก็นับเป็นค่าแรงด้วย รวมกับแต้มค่าแรง 10 แต้มของโจวชิงไป๋ แต้มค่าแรง 8 แต้มของท่านพ่อโจว หลินชิงเหอเองก็ได้แต้มค่าแรง 5 แต้มเหมือนกัน อีกทั้งยังได้เงินเดือน 13 หยวน พ่วงด้วยของแถมอย่างคูปองอาหารและคูปองผ้าอีก

ตอนนี้เจ้าใหญ่กับเจ้ารองโตแล้ว พวกเขาสามารถเก็บผักขมได้เป็นจำนวนมากหลังเลิกเรียน และได้แต้มค่าแรงมาอีก 1 หรือ 2 แต้ม

ต่อให้ท่านแม่โจวจะไม่ได้ลงทำงานในทุ่งนาในครึ่งปีแรก นางก็ออกไปเก็บผักขมเช่นกันในตอนที่โจวเสี่ยวเม่ยยังไม่ส่งเงินค่าจ้างเลี้ยงดูบุตรมา ซูเฉิงน้อยตัวโตขึ้นแล้วและวิ่งตามเจ้าสามราวกับเงา นางจึงไม่ต้องเลี้ยงดูเขา ทำให้นางได้แต้มค่าแรงในจำนวนมากทีเดียว

ดังนั้นในปีนี้พวกเขาจึงได้รับส่วนแบ่งเนื้อมากเหลือเกิน

ปีนี้สะใภ้ใหญ่ได้รับเนื้อไป 4 ชั่ง สะใภ้รองก็เช่นกัน ส่วนสะใภ้สามได้น้อยกว่าเล็กน้อยคือ 3 ชั่งหรือราว ๆ นั้น

ช่วยไม่ได้ที่ปีนี้หล่อนมีครรภ์แก่ เลยทำงานได้แค่ครึ่งปีแรกเท่านั้น หลังจากนั้นหล่อนก็ได้แต่ฝืนทำ

แน่นอนว่าระหว่างการบำรุงร่างกายหลังคลอดในครึ่งปีหลัง หล่อนกินดีอยู่ดีมาก

ซูต้าหลินไม่เคยดูแคลนพื้นที่แห่งนี้เลย เขามักจะนำไข่หรือชิ้นเนื้อและปลามาด้วยในทุกครั้งที่มาเยือน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสะใภ้สามถึงได้กินอยู่อย่างดี

“ตอนนี้ผู้หญิงทั้งหมู่บ้านไม่อาจเทียบหล่อนได้แล้ว” เป็นหวังหลิงที่เอ่ยขึ้นมา

นับตั้งแต่เหตุการณ์ในบ้านตระกูลหม่าเมื่อคราวที่แล้ว หวังหลิงถึงกับขายหน้าไปพักหนึ่ง ไม่ว่าบรรดาพี่เขยพี่สะใภ้จะพูดกับโลกภายนอกอย่างไร หล่อนก็รู้ดีว่าความจริงคืออะไร

หล่อนบังเอิญเจอน้องชายสามีตอนอาบน้ำอยู่ริมตลิ่งครั้งหนึ่ง หลังเห็นก้นเปลือยของเขา หล่อนก็คิดว่าเขาช่างดูดีกว่าสามีตัวเองเสียอีก จึงเกิดอารมณ์พิศวาสเขาขึ้นมา

จากนั้นพวกเขาก็นัดเจอกันและลักลอบเป็นชู้กัน

แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนในยุคนี้ต่างชื่นชมกันแค่เปลือกนอก

แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันก็ยังเข้าใจถึงความยากลำบากของหวังหลิงที่ต้องมาขอยืมน้ำเชื้อจากน้องชายสี่ของหล่อน ซึ่งเรื่องนี้ยังคงถือเป็นเรื่องเสื่อมเกียรติอยู่

อย่างเช่นสะใภ้รองบ้านโจวที่เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับหล่อน ในตอนนี้อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับหล่อนแล้ว

คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน ไม่มีใครสนใจคำพูดของหวังหลิงแม้แต่น้อย

กลับกันชายโสดบางคนในหมู่บ้านได้มานัดพบหล่อนเป็นการส่วนตัว พวกเขาต่างเกี้ยวพาหล่อนไม่ขาด ซึ่งหวังหลิงก็รู้สึกภูมิใจไม่น้อยกับเรื่องนี้ แต่หล่อนปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมในที

ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนปฏิเสธจริงหรือเป็นแค่การเล่นตัว

หลังจากหวังหลิงเผชิญกับสภาพหัวเดียวกระเทียมลีบ หล่อนก็เม้มปากอย่างไม่พอใจ ดังนั้นหล่อนจึงตามแม่สามีกลับไปพร้อมกับส่วนแบ่งเนื้อของครอบครัวหล่อน

คนบางคนที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีนักกับหวังหลิงก็อยู่ที่นั่นด้วย เมื่อเห็นหล่อนเดินจากไป พวกหล่อนก็เริ่มซุบซิบนินทา

“ทำตัวเหมือนไม่มีใครรู้งั้นล่ะว่าตระกูลหม่าใช้วิธี ขอยืมน้ำเชื้อ มาเพื่อรักษาเกียรติยศเท่าหางอึ่งของตัวเอง!”

“ใช่แล้ว เมื่อวานซืนนี้ฉันเห็นหล่อนกับโจวเหอจากตระกูลโจวอยู่ด้วยกันล่ะ ส่งสายตาทอดสะพานกันใหญ่เลยด้วย!”

“มองแค่ครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าหล่อนน่ะเชื้อไม่ทิ้งแถว เธอไม่เคยได้ยินเหรอว่าพี่สาวคนโตของครอบครัวฝั่งแม่หล่อนก็เคยมีเรื่องชู้สาวเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นยังโดนจับได้คาหนังคาเขาด้วย!”

“สวรรค์ มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ?”

“หลังจากนั้นล่ะเป็นยังไง?”

“…”

บางทีอาจเป็นเพราะมีคนเห็นว่าเรื่องเชิงชู้สาวของหวังหลิงช่างน่ารังเกียจเกินกว่าจะรับได้แต่หล่อนก็ยังคงหน้าด้านหน้าทน มันจึงทำให้ข่าวลือเรื่องหนึ่งเริ่มกระจายในหมู่บ้านโดยไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งข่าวลือนั้นคือเรื่องเชิงชู้สาวที่ผ่านมาของหวังซุ่ยผู้เป็นพี่สาวของหวังหลิง

“แม่ซานนี แต่นี้ไปอย่ายุ่งกับหล่อนอีกนะ หล่อนช่างน่ารังเกียจจริง ๆ” สะใภ้ใหญ่เอ่ยกับสะใภ้รองหลังได้ยินเรื่องนี้

หากพวกหล่อนไม่ได้อยู่ด้วยกัน สะใภ้ใหญ่ก็ขี้คร้านจะนำเรื่องนี้มาเตือนหล่อน

แม้ว่าทุกคนจะแยกครอบครัวกันแล้ว แต่ก็ยังอาศัยร่วมชายคาเดียวกันอยู่ ก่อนหน้านี้หวังหลิงเองก็มาหาสะใภ้รองที่บ้านบ่อย ๆ

สะใภ้รองรู้เรื่องที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้านแล้ว หล่อนรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างมาก “ฉันไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับหล่อนแล้วค่ะ!”

ทุกคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นครอบครัวฝั่งสามีหรือครอบครัวฝั่งแม่ล้วนรู้สึกเสียหน้า เว้นแต่คนที่เป็นตัวต้นเหตุ

หวังหลิงไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้นหล่อนยังมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับชายโสดคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านด้วย ช่างไม่รู้จักสำนึกเลยจริง ๆ

สะใภ้ใหญ่จึงรับผิดชอบด้วยการบอกเรื่องนี้

หลังจากแบ่งเนื้อกันแล้ว ทุกคนก็เริ่มทำอาหารอร่อย ๆ กัน

หลินชิงเหอทำเป็นหูหนวกเมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ในหมู่บ้าน แม้จะได้ยินท่านแม่โจวยกประเด็นขึ้นมาเธอก็ไม่สนใจ

ตอนนี้เธอกำลังเป็นคนสอนโจวชิงไป๋ เจ้าใหญ่ เจ้ารอง เจ้าสาม และซูเฉิงน้อยให้ทำซาลาเปา

ปีนี้เธอได้เนื้อติดมันมาชิ้นใหญ่และสกัดน้ำมันออกมาได้สามกระป๋อง มันจึงมีกากหมูเหลืออยู่มากมาย

เธอสับกากหมูพวกนี้และทำเป็นซาลาเปาไส้หมูผสมกะหล่ำปลีกับผักดอง โดยแบ่งออกเป็นสองไส้ ได้แก่ ไส้กากหมูกับกะหล่ำปลี และไส้กากหมูกับผักดอง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นไส้อะไรนั้นมันก็อร่อยมากทั้งคู่

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

บ้านแม่ได้เนื้อกลับไปเยอะอีกแล้ว สมกับเป็นแม่จริง ๆ ค่ะ

หวังหลิงไม่สำนึกเลยนะ สะใภ้รองเลิกคบคนแบบนี้เถอะค่ะแล้วชีวิตจะดี

สุดท้ายนี้หวังว่าซาลาเปาในตอนนี้จะทำให้ผู้อ่านหายคิดถึงซาลาเปาสามร้อยลูกที่แม่ไม่ได้ไปรับก่อนทะลุมิติมานะคะ ๕๕๕

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset