บทที่ 188 ขอยืมเงิน

บทที่ 188 ขอยืมเงิน
โดย

บทที่ 188 ขอยืมเงิน

ลองมาคิดดูเกี่ยวกับวัตถุดิบที่หลินชิงเหอนำมาจากยุคปัจจุบันแล้ว ก็จะพบว่าไข่ เนื้อหมู กับน้ำมันถั่วลิสงนั้นถูกบริโภคจนหมดเกลี้ยง ต้องซื้อเก็บเข้ามิติใหม่อีกครั้ง

แต่ในมิติกลับมีข้าวและแป้งเหลืออยู่อีกมาก

ในตอนนั้นเธอขนข้าวมาไว้ในมิติ 50 ถุง ยิ่งกว่านั้นแต่ละถุงก็มีน้ำหนักเพียง 20 ชั่ง

แต่เธอไม่ค่อยได้กินข้าวบ่อยนัก ส่วนใหญ่ที่กินกันเป็นหลักจะเป็นแป้งมากกว่า ดังนั้นในตอนนี้มันจึงเหลือข้าวอยู่ 30 ถุง

โดยเฉพาะหลังจากที่โจวชิงไป๋กลับมาอยู่ที่บ้าน เธอก็ไม่กล้าทำเกินกำลังในตอนที่เขาไม่รู้ ต่อให้เขารู้แล้วไม่คิดมากขนาดนั้นก็ตาม เธอจึงไม่ได้หยิบข้าวออกมามากนัก

ในตอนนั้นเธอสั่งซื้อแป้งมา 50 ถุงเหมือนกัน ซึ่งแป้งทั้งหมดโม่มาจากข้าวสาลีคุณภาพดีในยุคปัจจุบัน เป็นแป้งคุณภาพเยี่ยมเลยทีเดียว

จนถึงตอนนี้เธอก็ยังใช้มันไม่หมด เนื่องจากในบ้านยังมีสำรองอยู่

อีกอย่างในทุก ๆ สองในสิบวันเธอจะทำหมั่นโถวแป้งขาว โดยไม่มีธัญพืชอย่างอื่นผสมเลย

ซึ่งส่วนมากแล้วเธอจะผสมกับแป้งถั่วหรือไม่ก็แป้งข้าวโพดเสมอ

การกินธัญพืชหยาบมากขึ้นถือเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น บางครั้งพวกเขาก็จะกินเกี๊ยวและบะหมี่บ้าง ดังนั้นการบริโภคแป้งจึงถือว่าค่อนข้างรวดเร็ว ถึงกระนั้นก็ยังมีแป้งเหลืออีก 10 ถุง

แป้ง 10 ถุงถือว่าไม่มากนัก เพราะแต่ละถุงหนักเพียง 20 ชั่ง

ปีนี้เธอได้ส่วนแบ่งข้าวสาลีมาบางส่วน ซึ่งน้องชายสามตระกูลหลินเองก็ได้มา 30 ชั่ง จึงไม่เป็นปัญหาใหญ่เลยหากทั้งครอบครัวอยากจะทำซาลาเปาไส้หมู

พวกเขาทำซาลาเปาไส้หมูเป็นจำนวนมาก หากกินไม่หมดก็แค่เก็บไว้ในลังถึง อยากกินเมื่อไหร่ก็ค่อยนึ่ง ซึ่งนับว่าสะดวกมากทีเดียว

นับตั้งแต่วันที่มีการแบ่งเนื้อจนถึงวันสิ้นปี ทั้งครอบครัวต่างอิ่มหมีพีมันและอยู่ดีกินดี

ไส้หมู กระเพาะหมู และหัวหมูถูกกินจนเกลี้ยงแล้ว

เหลือเพียงเนื้อสามชั้น เนื้อแดง และซี่โครงหมูเท่านั้น

และในวันสิ้นปีนี้เอง โจวเสี่ยวเม่ยกับซูต้าหลินก็มาเยี่ยม

ปีนี้ทั้งคู่มาเยี่ยมเยียนบ้านพ่อแม่ในชนบทเหมือนกัน และยังนำส่วนแบ่งอาหารของพวกเขาเองมาด้วย เหนืออื่นใดก็ยังมีไก่ตัวหนึ่ง ไข่ตะกร้าหนึ่ง และปลาถุงหนึ่ง

ครึ่งหนึ่งของไข่และปลาถูกส่งไปให้สะใภ้สาม ส่วนที่เหลือถูกส่งมายังบ้านสะใภ้สี่

ตอนนี้ซูสวิ่นน้อยยังไม่หย่านม แต่ความจุอาหารของเขาไม่น้อยเลย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่สะใภ้สามต้องให้นมเด็กทารกสองคนด้วยตัวคนเดียว

ซูสวิ่นน้อยตัวโตขึ้นแล้ว เขาสามารถกินข้าวบดได้แล้วด้วย

“พี่สะใภ้สี่คะ ปีนี้พี่จะต้องเตรียมตัวไว้ด้วยนะคะ คือว่าพี่สาวรองของฉันอยากจะยืมเงินน่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยบอกพี่สะใภ้สี่ของหล่อนเมื่ออยู่กันสองต่อสอง

หลินชิงเหอชะงักไป “ยืมเงินอะไรเหรอ?”

“ครอบครัวพี่สาวรองของฉันทะเลาะกับพวกพี่สะใภ้ใหญ่โตเลยค่ะ แล้วพี่เขยรองก็โดนพี่ชายใหญ่ของเขาฟาดหัวแบะ” โจวเสี่ยวเม่ยอธิบาย

“หา?” หลินชิงเหอถึงกับตกใจ

ตระกูลโจวไม่รู้ข่าวนี้เลย เธอจึงถามโจวเสี่ยวเม่ยว่าไปได้ยินข่าวนี้มาจากไหน

โจวเสี่ยวเม่ยมีท่าทีขัดเขินเล็กน้อยก่อนจะกระซิบ “ตอนที่ฉันไปโรงพยาบาลเพื่อไปซื้อถุงยางอนามัย ฉันก็เจอพี่สาวรองพอดี ฉันรู้เรื่องก็เพราะแบบนี้แหละค่ะ”

ดังนั้นพี่สาวรองก็เลยบอกหล่อนเกี่ยวกับแผนที่พวกเขาจะย้ายบ้าน แต่พวกเขามีเงินเก็บอยู่ไม่พอ ก็เลยถามว่ามีใครพอให้หล่อนหยิบยืมได้หรือไม่?

โจวเสี่ยวเม่ยจึงบอกหล่อนไปว่าให้ยืมได้ 30 หยวน

เงิน 30 หยวนจะไปพอได้อย่างไร? พี่สาวรองมีลูกทั้งหมด 5 คน และแต่ละคนก็ไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว ต่างจากน้องชายสามตระกูลหลินที่แม้เขาจะมีลูก 4 คน แต่พวกเขาก็ยังเล็กกันอยู่ จึงสามารถอาศัยอยู่ในบ้านที่มีพื้นที่ราว 10 กว่าตารางเมตรได้

“เดี๋ยวรอดูแล้วกันว่าตอนนั้นหล่อนยังขาดเหลืออยู่อีกเท่าไหร่ แล้วฉันค่อยให้หล่อนยืมส่วนหนึ่ง” หลินชิงเหอไม่ได้กล่าวอะไรมากนัก

ความสัมพันธ์ของเธอกับพี่สาวคนโตทั้งสองแห่งตระกูลโจวนับว่าปานกลาง พวกหล่อนมีความสัมพันธ์กับสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองมากกว่า

แต่พวกหล่อนสามารถขอหยิบยืมเงินระหว่างครอบครัวได้หากว่าอีกฝ่ายขอ น้องชายของหล่อนก็เคยยืมเงินมาจากพวกเขา หากพวกเขาไม่ให้ฝ่ายนั้นยืมมันก็ดูจะไม่เป็นธรรมนัก

จากเรื่องที่โจวเสี่ยวเม่ยบอก ทำให้หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ไม่ได้เข้าไปเที่ยวในตัวอำเภอเนื่องในวันขึ้นปีใหม่เหมือนปีที่แล้ว

พวกเขาสามารถไปเที่ยวในวันที่สามของเทศกาลปีใหม่แทนได้ ส่วนวันนี้พวกเขาจะอยู่ที่บ้านและรอให้พี่สาวคนโตทั้งสองมาเยี่ยมในฐานะแขก

โจวเสี่ยวเม่ยพูดถูก พี่สาวรองอยากจะกลับมาหากับครอบครัวฝั่งแม่เพื่อขอยืมเงินสักเล็กน้อย เนื่องจากครอบครัวสามีรักใคร่ครอบครัวลูกคนโตมากกว่า ดังนั้นพ่อแม่สามีของหล่อนก็จะอยู่กับครอบครัวลูกคนโตในอนาคต พวกเขาจึงเข้าข้างครอบครัวลูกคนโตมากกว่าในระหว่างการทะเลาะกันครั้งล่าสุด

ในครั้งนี้พี่สาวรองจึงยื่นคำขอแยกตัวจากครอบครัวใหญ่ ซึ่งพ่อแม่สามีของหล่อนก็อนุญาตให้หล่อนแยกตัวออกไปได้ แต่ยังต้องแสดงความกตัญญูต่อพวกเขาในอนาคต หลังแยกตัวออกไปแล้วพวกเขาจะได้เพียงส่วนแบ่งธัญพืชนิดหน่อยและเงินอีกไม่กี่สิบหยวน ไม่อาจขอมากกว่านี้ได้แล้ว

แม้จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ พี่สาวรองก็ยังยืนยันที่จะแยกครอบครัว

หล่อนไม่อยากอยู่บ้านนั้นอีกต่อไปแล้ว

ส่วนเรื่องการแสดงความกตัญญูในอนาคต หล่อนก็จะคอยดูว่าจะให้เกียรติพ่อแม่สามีทั้งสองนี้ได้อยู่หรือเปล่า!

พี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองต่างเป็นประเภทหัวอ่อนยอมคนง่าย ต่างจากโจวเสี่ยวเม่ยน้องสาวคนเล็กที่หัวแข็งมากกว่า

เนื่องจากพี่สาวคนโตทั้งสองมีนิสัยที่ค่อนข้างอ่อนแอไม่สู้คน หลินชิงเหอจึงไม่ชอบคนใจง่ายที่ไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้นัก

ดังนั้นเธอจึงติดต่อพวกหล่อนให้น้อยที่สุด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอกับโจวชิงไป๋จะพาเด็ก ๆ ไปเที่ยวเล่นในเมือง พวกเขาก็ทำเพียงมอบวัตถุดิบอาหารและอาหารให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเพื่อให้พวกหล่อนมีความสุขกับการอยู่ในบ้านตระกูลโจว

แต่เมื่อพี่สาวรองกลับมาในครั้งนี้ หลินชิงเหอก็เห็นว่าหล่อนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ว้าว…มันคงหนักมากจนบีบคนใจง่ายอย่างหล่อนให้ทำตัวแบบนี้สินะ

พี่สาวรองกลับมาคนเดียว และไม่มีใครตามกลับมาด้วย

หลินชิงเหอจึงให้หล่อนยืมเงินไป 50 หยวน “เมื่อไหร่ที่พี่กับพี่เขยรองย้ายบ้านแล้วก็มาหาชิงไป๋ได้นะคะ เขาจะช่วยหาให้ว่าที่ไหนพอมีอิฐสร้างบ้านบ้าง”

พี่สาวรองได้ฟังก็เห็นด้วย

ครั้งนี้หล่อนไม่ได้กลับไปที่บ้านฝั่งแม่เพื่อหาคนช่วยเนื่องจากไม่ต้องการให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ผู้ใหญ่น่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ยังมีเด็กอีก 5 คนที่ต้องนึกถึง

หล่อนวางแผนจะสร้างบ้านอิฐหลังย้ายออกจากครอบครัวใหญ่เพื่อให้ทางพ่อแม่สามีกับคนอื่น ๆ รู้ว่าหล่อนไม่ได้ขาดการช่วยเหลือจากครอบครัวฝั่งแม่ ต่อให้หล่อนมีเงินไม่มากนัก แต่ครอบครัวของหล่อนมี!

ไม่อย่างนั้นหล่อนก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาขอยืมเงินมากขนาดนี้หรอก

ครั้งนี้โจวเสี่ยวเม่ยให้หล่อนยืม 30 หยวน หลินชิงเหอให้หล่อนยืม 50 หยวน สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองให้หล่อนยืมรวมกัน 40 หยวน สะใภ้สามให้หล่อนยืม 10 หยวน แถมพี่สาวใหญ่ให้หล่อนอีก 10 หยวน เนื่องจากหล่อนมีฐานะทางบ้านธรรมดาเหมือนกัน การให้ยืมเงิน 10 หยวนถือว่ามากแล้ว

ท่านแม่โจวก็ต้องให้หล่อนยืมด้วยเหมือนกัน ส่วนจะมากเท่าไหร่นั้นไม่มีใครถาม

ความจริงแล้วท่านแม่โจวไม่ได้ให้มากนัก นางให้ยืมเพียง 20 หยวน และต้องใช้คืน ไม่ใช่การให้เปล่า ๆ

ท่านแม่โจวแสดงออกชัดเจนว่านางกับท่านพ่อโจวอยากจะเก็บเงินไว้เป็นเงินหลังเกษียณอายุ ซึ่งความจริงแล้วพวกเขาอยากเก็บไว้เป็นสินสอดของเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ในอนาคตต่างหาก

ถึงหลินชิงเหอจะบอกว่าไม่จำเป็น แต่พวกเขาก็ยังเก็บเงินส่วนนี้ไว้เผื่อใช้ในอนาคต พวกเขาคงไม่ต้องรีบใช้นักหรอกถูกไหม?

คนรุ่นเก่าช่างรอบคอบยิ่งนัก พวกเขาไม่ชอบความคิดที่ว่าได้เงินมาก็ใช้หมดทีเดียว

แต่หลังจากได้เงินมามากขนาดนั้นแล้ว มันก็ยังไม่พอ จึงเป็นเรื่องดีที่ครอบครัวฝั่งแม่ของหล่อนสามารถให้ยืมได้มากขนาดนั้น

ส่วนที่เหลือหล่อนก็จะไปขอยืมจากบรรดาคนในหมู่บ้านที่หล่อนมีความสัมพันธ์อันดีด้วย

ในยุคนี้แสดงให้เห็นว่าการมีเครือข่ายสังคมที่ดีในหมู่บ้านนับว่าเป็นเรื่องดีเพียงใด หากมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนขึ้นมา บรรดาเพื่อนบ้านทั้งหลายก็จะยังมองหาคนที่จะมาให้ความช่วยเหลืออยู่

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เรื่องเงินๆ ทอง ๆ นี่เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ นะคะ จะให้ใครยืมก็ต้องดูว่าอย่าเกินกำลังของตัวเอง แถมยังต้องคอยดูด้วยว่าให้ยืมไปแล้วจะมีปัญหาหรือเปล่า

สังคมชนบทสมัยก่อนถือว่ายังมีความเอื้ออารีอยู่มากเลยนะคะ หากเป็นสังคมปัจจุบัน พี่สาวรองบ้านโจวคงจะลำบากกว่านี้

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset