บทที่ 189 หาคู่ครอง

บทที่ 189 หาคู่ครอง
โดย

บทที่ 189 หาคู่ครอง

เมื่อพักเรื่องพี่สาวรองบ้านโจวไปแล้ว​ ทุกคนก็ยังมีความสุขกับวันขึ้นปีใหม่อันแสนวิเศษ

ปีนี้เจ้าสามได้ถุงเท้าคู่ใหม่​ ทำให้เขาดีใจจนแทบจะลอยขึ้นฟ้า​ เขาอยากได้มันมานา​นแล้ว​ แต่แม่ของเขาก็ไม่ทำให้สักที

แต่เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะทำให้เขาแล้วแอบซ่อนไว้

หลินชิงเหอใช้โอกาสนี้สั่งสอนเด็กดื้อตัวน้อยคนนี้อีกครั้งและทำให้เขารู้ว่าเธอจะไม่ให้ของแต่อย่างใดต่อให้เขาจะโมโหโกรธาขนาดไหนก็ตาม​ แต่จะให้ของตามความสมควรว่าจะให้

วันที่สองของวันขึ้นปีใหม่สงวนไว้ให้การกลับมาของพี่สาวรอง ทั้งครอบครัวจึงมีวันเวลาเป็นของตัวเองในวันที่สาม

ปีนี้เจ้าสามตัวสูงอย่างรวดเร็ว หลินชิงเหอจึงไปที่บ้านตระกูลโจวเพื่อขอยืมจักรยานอีกคัน โดยที่โจวชิงไป๋ให้เจ้าใหญ่กับเจ้ารองซ้อนท้าย ขณะที่หลินชิงเหอให้เจ้าสามนั่งซ้อน

ทั้งครอบครัวเข้ามาในอำเภอเพื่อหาความสำราญใจด้วยจักรยาน 2 คัน

จากการได้เห็นประเพณีครอบครัวอย่างการเที่ยววันเดียวในอำเภอเนื่องในเทศกาลปีใหม่ของครอบครัวเธอ ชาวบ้านล้วนเคยส่ายหน้าและบอกว่าหลินชิงเหอช่างไม่รู้จักใช้ชีวิตเอาเสียเลย

แต่หลังจากที่เธอยกระดับตัวเองจากหลินชิงเหอเป็นคุณครูหลิน ทุกคนจึงได้มีความคิดเห็นเปลี่ยนไป

บรรดาผู้ชายต่างอิจฉาโจวชิงไป๋ ขณะที่เด็ก ๆ อิจฉาเจ้าใหญ่และน้อง ๆ

นี่สิถึงเรียกว่าการใช้ชีวิต ในแต่ละวันมันควรจะเป็นแบบนี้!

พวกเขาสนุกสนานกันหนึ่งวันเต็ม ได้ถ่ายรูปที่ควรจะได้ถ่ายและกินอาหารในภัตตาคารที่ควรจะได้เข้า แถมยังได้ดูหนังก่อนจะกลับบ้านด้วย

“แม่ครับ รูปเมื่อคราวที่แล้วไปไหนหมดเหรอครับ? แม่หยิบมาให้ผมดูได้ไหม? ผมอยากดู” เจ้ารองเอ่ยในทันทีที่กลับถึงบ้าน

เด็กคนนี้จะมีอายุครบ 8 ขวบหลังปีใหม่นี้ ซึ่งหลินชิงเหอจำได้ว่าตอนที่เธอมาถึงครั้งแรก เจ้ารองมีอายุแค่ 3 ขวบ ยังเป็นเด็กเล็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ไม่ใช่แค่เขา เจ้าใหญ่เองก็เหมือนกัน ตอนนั้นเขาตัวเล็กกว่าเจ้าสามในตอนนี้อีก

แม้หลังปีใหม่นี้เจ้าสามจะมีอายุเพียง 6 ขวบ แต่เขาก็ตัวสูงกว่าพี่ชายคนโตของเขาตอนอายุเท่านี้อยู่เล็กน้อย

ช่วยไม่ได้ที่เธอทะลุมิติมาตอนที่เจ้าสามยังเล็ก เขาเลยได้รับการบำรุงตั้งแต่ในตอนนั้น จึงทำให้เขามีการเติบโตที่เร็วกว่าพี่ชาย

และแน่นอนว่าตอนนี้เจ้าใหญ่ก็ไม่เตี้ยเลย

เธอหยิบรูปถ่ายเมื่อก่อนหน้านั้นให้พวกเขาดู สามพี่น้องมามุงดูรอบ ๆ และเริ่มมองหาตัวพวกเขาเอง

“เมื่อก่อนผมเป็นแบบนี้เหรอครับ?” รูปที่เด็กที่สุดของเจ้าสามคือตอนที่เขามีอายุ 2 ขวบ และเป็นปีแรกที่หลินชิงเหอมาอยู่ที่นี่ เขาได้เข้าไปในอำเภอ ก็เลยเป็นเรื่องปกติที่จะมีรูปของเขาอยู่

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเห็นรูปเก่า ๆ แต่ถึงอย่างนั้นสามพี่น้องก็ยังมองดูกันอย่างกระตือรือร้น ทุกครั้งที่เห็นแต่ละรูป แต่ละคนก็จะถามขึ้นมาทันทีว่า ‘เมื่อก่อนผมเป็นแบบนี้เหรอ?’

ทันทีที่โจวเสี่ยวเม่ยกับซูต้าหลินเข้ามาในบ้าน พวกเขาก็มามุงดูรูปถ่ายด้วย

โจวเสี่ยวเม่ยถึงกับไม่อยากเชื่อ การถ่ายรูปที่ต้องถ่ายทุกปีช่างเป็นเรื่องที่ดูฟุ้งเฟ้อจริง ๆ

การถ่ายรูปในยุคนี้ไม่นับว่าถูกเลย มันต้องใช้เงินอย่างน้อยสิบกว่าหยวนในการถ่ายรูปเป็นจำนวนมากต่อครั้งหนึ่ง ๆ

ซึ่งมันมีค่าเกือบเท่าเงินเดือนเดือนหนึ่งของซูต้าหลินเลยทีเดียว

หลินชิงเหอไม่สนคำพูดอะไรใด ๆ มันก็แค่ถ่ายครั้งหนึ่งต่อปี ใช้เงินเพียงไม่กี่สิบหยวนเท่านั้น แล้วเธอจะไม่ใช้เงินไปกับเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ?

ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ เครื่องปรุงรส น้ำส้มสายชู และชาสักหน่อย บางครั้งมันก็ต้องทำอะไรที่เป็นขนบประจำบ้านในการเพิ่มความสุขในครอบครัวบ้าง

ชั่วพริบตาเดียว เทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิของปี 1974 ก็ผ่านพ้นไป

เวลาระหว่างการปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวกับการไถพรวนประจำฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่ชาวนาทั้งหลายว่างที่สุดในรอบปี ผู้คนจำนวนมากจึงมักหาฤกษ์ยามแต่งงานกันในช่วงนี้

ในวันที่สิบห้าของเดือนแรกทางจันทรคติ หลินชิงเหอก็ได้ทำถังหยวน หรือขนมบัวลอยจีน หม้อหนึ่งเป็นอาหารเช้า

งาและถั่วที่อยู่ในก้อนบัวลอยทำให้เด็กชายรู้สึกพอใจ เนื่องจากหลินชิงเหอเบื่อจะตายแล้ว เธอไม่สามารถนั่งอ่านหนังสือได้ทั้งวันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะทำมันขึ้นมา และถือว่าการทำอาหารอร่อย ๆ เป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง

และในวันที่สิบหก โจวซีก็มาหาเธอ

แม้จะมีท่าทางขัดเขินเล็กน้อย แต่โจวซียังคงเอ่ยถึงการแต่งงานของโจวต้งผู้เป็นพี่ชายของเธอโดยคร่าว ๆ

หลังนับอายุดู ปีนี้โจวต้งผู้เป็นพี่ชายของเธอมีอายุ 20 ปีแล้ว

ผู้คนในสังคมชนบทต่างแต่งงานกันในช่วงอายุเท่านี้ ซึ่งโจวต้งยังไม่ได้แต่งงานเลย

โจวซีนั้นไม่ต้องรีบนัก หลังปีใหม่ปีนี้เธอก็มีอายุเพียง 15 ปี แต่พี่ชายของเธอต้องรีบแต่งงานอย่างเร่งด่วน เพราะเขามีอายุ 20 ปีแล้ว

“เธอกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวแม่สามีของอาจะมาแล้วอาก็จะบอกเรื่องนี้กับท่าน เราจะเลือกคู่ครองที่เหมาะสมให้กับพี่ชายของเธออย่างแน่นอน” หลินชิงเหอให้ความเชื่อมั่นกับโจวซี

ริมฝีปากของโจวซีโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ขอบคุณอาสะใภ้มากเลยค่ะ”

สองพี่น้องโจวต้งกับโจวซีมีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวของเธอ ต่อให้ฐานะของโจวต้งจะค่อนข้างดี แต่พวกเขาก็ไม่มีผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือ

จุดอ่อนเดียวที่มีอยู่ก็คือการที่พวกเขาไม่ค่อยมีคนในบ้านมากนัก

แม้จะมีพี่ป้าน้าอาในตระกูลอยู่ แต่พวกเขาก็ห่างไกลกันมาก จึงนับได้ว่าเป็นครอบครัวเดี่ยวครอบครัวหนึ่ง

สิ่งที่สังคมชนบทพยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุดก็คือการมีครอบครัวเดี่ยว เพราะถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาก็จะอยู่ลำพังและอับจนหนทาง ไม่มีใครให้ขอความช่วยเหลือ

โดยทั่วไปแล้วหญิงสาวที่มีคุณสมบัติดีพร้อมต่างดูถูกในจุดนี้ ส่วนบรรดาหญิงสาวที่มีคุณสมบัติไม่ไม่ดีนั้น โจวต้งก็ไม่รักใคร่ชอบพอกับพวกหล่อน

และมันเป็นเรื่องปกติสำหรับโจวต้งด้วย

เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีและยังขยันอดทน เขาไม่ค่อยเดินสู่ทางที่ผิดมากนัก

เมื่อท่านแม่โจวมากินอาหารเย็นที่บ้าน หลินชิงเหอก็บอกเรื่องนี้ไปกับนาง

ท่านแม่โจวยิ้มกริ่มยามได้ยิน “จริง ๆ แล้วฉันก็เล็งตัวเลือกที่ดีไว้แล้วล่ะนะ”

“เป็นคนครอบครัวไหนคะ?” หลินชิงเหอถาม

“เป็นคนตระกูลไฉ่ ที่อยู่ถัดจากตระกูลโจวของเรา” ท่านแม่โจวตอบ

“ฐานะตระกูลไฉ่นับว่าดีไม่น้อย ต่อให้ท่านแม่ไฉ่มีลูกสาว 5 คน หล่อนก็มีลูกชาย 3 คนเหมือนกัน นับว่าเป็นครอบครัวใหญ่ แล้วพวกเขาเห็นแววในตัวโจวต้งหรือเปล่าคะ?” หลินชิงเหอคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมา

เป็นเรื่องธรรมดาในยุคนี้ที่ครอบครัวหนึ่ง ๆ จะมีลูกมาก เธอไม่ได้ดูแคลนโจวต้งแม้แต่น้อย ฐานะตระกูลไฉ่นับว่าดีมาก ต่อให้ไม่กี่ปีก่อนจะมีภาวะข้าวยากหมากแพง แต่คนในตระกูลไฉ่ทุกคนก็ไม่ได้เผชิญเคราะห์ร้าย กลับรอดมาได้ทุกคน

หลังรอดพ้นวันเวลาอันยากลำบากมาได้ ตระกูลไฉ่ก็กลมเกลียวอย่างยิ่ง

ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังมีพี่น้องกันหลายคน ต้องบอกว่าต่อให้พวกเขามีแซ่ต่างกันในหมู่บ้านโจวเจี่ย แต่ก็ไม่มีใครกล้ารังแกพวกเขา

ในตอนนี้เองมีเพียงบุตรสาวคนเดียวในตระกูลไฉ่ที่ยังไม่ออกเรือน หล่อนมีชื่อว่าไฉ่ปาเม่ย

พี่สาวของหล่อนแต่งงานกันหมดแล้ว พี่ชายอีก 3 คนก็แต่งงานแล้วเช่นกัน มีแค่หล่อนคนเดียวที่ยังไม่แต่งงาน

เห็นว่าเธอรับรู้แล้ว ท่านแม่โจวก็หัวเราะในลำคอ “โจวต้งดูซื่อตรงดีแถมยังเอาการเอางาน ทำไมพวกเขาถึงจะไม่ชอบล่ะ? ต่อให้เขาเป็นครอบครัวเดี่ยว แต่ก็มีบรรพบุรุษร่วมกันกับตระกูลโจว ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็มีแซ่โจว ยิ่งกว่านั้นไฉ่ปาเม่ยยังเป็นคนซื่อ แม่ของหล่อนก็เลยกลัวว่าหล่อนจะถูกรังแกหากแต่งออกไปไกล”

หลินชิงเหอเข้าใจเรื่องนี้ เธออมยิ้ม “นั่นหมายความว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยใช่ไหมคะ?”

ทางฝั่งนั้นกลัวว่าไฉ่ปาเม่ยจะถูกรังแก แต่ถ้าเป็นโจวต้งแล้วเขาก็ไม่มีวันจะรังแกหล่อนหรอก

พี่เจ็ดคนก่อนหน้าแต่งงานกันหมดแล้ว จะเหลือใครที่มาเป็นเขยอีก? พวกเขาไม่อยากให้ไฉ่ปาเม่ยแต่งงานกับครอบครัวใหญ่อีกครอบครัวหนึ่งหรอก

ถ้าหล่อนได้แต่งงานกับโจวต้ง หล่อนก็จะนับได้ว่าเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นเรื่องดี

“ฉันจะคุยเรื่องนี้กับแม่ไฉ่ทีหลังแล้วกัน” ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีความสุข

ไฉ่ปาเม่ยกับโจวต้งต่างเป็นคนดีทั้งคู่ ไม่อย่างนั้นแล้วท่านแม่โจวคงไม่มีท่าทีสนใจเลือกคู่ครองให้ นางได้ยินท่านแม่ไฉ่กล่าวถึงเรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่คุยกันได้

ไฉ่ปาเม่ยมีอายุ 19 ปี นับว่าตอนนี้หล่อนควรแต่งงานได้แล้ว

ดังนั้นหลังกินอาหารเย็นเสร็จ ท่านแม่โจวจึงไปคุยเรื่องนี้กับท่านแม่ไฉ่ จากนั้นก็เปรยถึงอายุของโจวต้ง

ซึ่งมันเป็นการส่งสัญญาณให้ท่านแม่ไฉ่อย่างหนึ่ง

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เวลาผ่านไปไวมากค่ะ เผลอแปบเดียวโจวต้งจะได้แต่งงานแล้ว

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset