บทที่ 211 ทุบตี

บทที่ 211 ทุบตี
โดย

บทที่ 211 ทุบตี

หลินชิงเหอเหลือบขึ้นมองหลังทายาให้โจวชิงไป๋เสร็จและเห็นว่าชายหนุ่มคนนี้กำลังจ้องมองเธอ หญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่งและเอ่ยขึ้น “คุณมองอะไรน่ะคะ?”

“ครั้งต่อไปผมจะจำใส่ใจไว้นะ” โจวชิงไป๋ลั่นวาจา

หลินชิงเหอ​แค่นเสียงพลางหัวเราะ​ “คุณไม่ต้องใส่ใจหรอกค่ะ​ ถ้าเกิดคุณโชคร้ายเป็นอะไรขึ้นมา​ ก็อย่าหวังว่าฉันจะอยู่เป็นหม้ายเพื่อคุณเลยค่ะ​ ฉันจะแต่งงานใหม่และพาลูก ๆ​ ไปอยู่ด้วย​ แล้วก็ให้ลูกๆ​ ของคุณเรียกผู้ชายคนใหม่ว่าพ่อแทน”

สีหน้าของโจวชิงไป๋เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทันที

หลินชิงเหอไม่สนใจเขาและหันหลังเดินออกไป

โจวชิงไป๋รู้สึกหมดแรง ภรรยาของเขาถึงกับกล้าพูดอะไรออกมาแบบนี้ เธอพูดว่า แต่งงานใหม่ ต่อหน้าเขาได้อย่างหน้าตาเฉย

แต่เมื่อชายหนุ่มนึกภาพเธอกลายเป็นผู้หญิงของคนอื่นและลูก ๆ ของเขากลายเป็นลูกของคนอื่นขึ้นมา เขาก็รับไม่ได้

ดังนั้นเขาคงต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ แล้วล่ะ

หลินชิงเหอเดินออกมาตรวจร่างกายของเจ้าใหญ่ แต่เจ้าใหญ่ก็เอ่ยให้เธอสบายใจว่า “แม่ครับ แม่ไม่ต้องกังวลไปหรอก มีพ่อคนเดียวที่ล้มหมูป่าลง คุณน้ากับผมไม่ได้เข้าไปช่วยเลย”

พูดถึงตอนนี้เจ้าใหญ่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยอยู่เลย

พ่อของเขาแข็งแรงมากจริง ๆ จนเขาอิจฉาในฝีมือมาก เขาอยากจะเรียนอะไรแบบนี้จากพ่อเหลือเกิน!

หลินชิงเหอยังไม่รู้ว่าเจ้าใหญ่แอบไปหาพ่อและบอกเรื่องนี้กับเขา ซึ่งโจวชิงไป๋ก็ไม่คัดค้าน เขาเรียนได้เท่าที่เขาจะอยากเรียน

นับตั้งแต่เหตุการณ์ล้มหมูป่าครั้งนี้เกิดขึ้น เจ้าใหญ่ก็เริ่มเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จากพ่อของเขา

ด้วยการฝึกปรือแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้เจ้าใหญ่กินจุกว่าพ่อของเขา จนทำให้หลินชิงเหอรู้สึกว่าถ้าครอบครัวของเธอไม่มีรายได้แบบไม่โปร่งใสบางอย่างล่ะก็ เธอก็ไม่อาจมีลูกชายที่กินจุแบบนี้ได้จริง ๆ ยิ่งกว่านั้นลูกชายที่ว่ายังมีอีกสองคนด้วย…

เนื้อหมูป่าถูกกินจนหมดในสิ้นเดือนมกราคม ซึ่งอากาศในตอนนั้นควรจะอุ่นขึ้นแล้ว แต่ปีนี้กลับยังเย็นอยู่ จนถึงตอนนี้อุณหภูมิยังไม่เพิ่มขึ้นเลย

เกรงว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิเสียแล้ว

หลินชิงเหอลางานในเช้าวันนั้น จากนั้นก็เดินทางเข้ามาในอำเภอเพื่อระบายขายสิ่งที่เธอสะสมไว้

หลังสะสมของมาครึ่งเดือน มันก็ถึงวันที่สิบห้ามกราคมซึ่งเป็นวันที่เธอกับโจวชิงไป๋พาเด็ก ๆ เข้ามาในเมืองเพื่อถ่ายรูปและเที่ยวเล่นเช่นเดียวกับขายเนื้อหมูชุดที่สะสมไว้ ซึ่งมันเป็นชุดที่เธอเพิ่งซื้อกับเม่ยเจี่ยในครั้งล่าสุด

ปีนี้เป็นปี 1975 แม้อะไร ๆ จะยังเข้มงวดอยู่ แต่บรรยากาศก็ดีขึ้นกว่าปีก่อน ๆ มากนัก

ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือเม่ยเจี่ย พวกเธอต่างก็เป็นมือเก่ามากประสบการณ์ในพื้นที่นี้ ไม่เคยมีใครพลาดโดนจับได้แม้แต่ครั้งเดียว

เม่ยเจี่ยได้เงินจากเธอ ในขณะที่เธอสามารถทำเงินได้มหาศาลจากการขายหมูชั่งหนึ่ง

ครั้งนี้เธอได้รับกำไรสุทธิไปเกือบ 30 หยวน

มันเป็นอย่างนี้มาครึ่งเดือนแล้ว แสดงให้เห็นว่าในตลาดตอนนี้มีความต้องการเนื้อมากเพียงใด

หลินชิงเหอหยิบตะกร้าออกมาสองใบจากในมิติและเข้าไปในตลาดมืดเพื่อซื้อไข่ ความต้องการไข่ของที่บ้านช่างสูงลิ่วอย่างน่าประหลาดใจ มากเสียจนเธอต้องซื้อกลับมาทุกครั้งที่เข้ามาในอำเภอ

ส่วนของที่เหลือไม่ต้องซื้อมากนัก เธอมีเก็บอยู่ที่บ้านหมดแล้ว หลินชิงเหอจึงซื้ออุปกรณฺ์การเรียนบางอย่างและกลับบ้าน

อากาศอุ่นขึ้นในวันที่เจ็ดหรือแปดของเดือนมกราคม แต่หลังจากนั้นลมหนาวก็กลับมาอีกระลอกหนึ่ง

“เราจะทำยังไงกันดี?” คนแก่คนเฒ่าบางคนในหมู่บ้านเริ่มเป็นกังวล ตอนนี้อากาศยังเย็นอยู่เลย เกรงว่ามันจะส่งผลกระทบต่อการทำนาในปีนี้เสียแล้ว

พอถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ อากาศก็อุ่นขึ้นในที่สุด ทุกคนจึงได้ลงมือทำงาน

การเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ล่าช้ากว่าปีก่อน ๆ ไปสิบวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ล่าช้าอีกไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นปีนี้พวกเขาคงได้เคี้ยวเปลือกไม้แทนข้าว

ปีนี้เจ้าใหญ่เข้าเรียนในชั้นปีที่สอง เมื่อโรงเรียนเปิด เขาก็เดินเข้าไปในห้องพักครูใหญ่เพื่อให้คุณครูประจำชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองตั้งโจทย์ทดสอบ จากนั้นเขาก็สอบผ่าน

เขาสอบได้คะแนนเกิน 90 คะแนนในทุกวิชา ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไรที่เขาจะเรียนในชั้นปีนี้

แต่ถึงอย่างนั้นคุณครูทั้งหลายก็ยังประหลาดใจมากอยู่ดี พวกเขาจึงถามหลินชิงเหอว่าเธอสอนลูกอย่างไรเขาถึงได้ฉลาดขนาดนี้?

หลินชิงเหอบอกว่าเด็กคนนี้ขยันเรียนหนักมาก เพื่อที่จะอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้กับครอบครัว

แม้ในยุคนี้จะไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนมากนัก แต่ในภาคการศึกษาหนึ่งก็คิดเป็นเงินราว 10 หยวน ซึ่งถือว่าเป็นเงินที่มากสำหรับชาวนาทั้งหลาย

เจ้าใหญ่เลื่อนชั้นไปเรียนภาคการศึกษาต้นของชั้นปีที่สองจากภาคการศึกษาปลายของชั้นปีที่หนึ่งได้ ซึ่งหมายความว่าเขาสามารถประหยัดค่าเล่าเรียนไปได้ 20 หยวน

เงิน 20 หยวนถือว่าเพียงพอสำหรับเขาในการดื่มนมเป็นระยะหนึ่งแล้ว

คนส่งนมยังคงมาส่งนมอยู่ ซึ่งเจ้าใหญ่ต้องดื่มนม 2 ขวดต่อวัน

ครูทุกคนในโรงเรียนต่างรับค่าจ้างกันหมด เดิมทีพวกเขาคิดว่าเจ้าใหญ่น่าจะอายุ 14 ปีแล้ว ไม่ใช่ 11 ขวบ

เรื่องนี้ทำให้ครูผู้หญิงทั้งหลายต่างรู้สึกประหลาดใจ

“คุณครูหลินเลี้ยงดูเขายังไงเหรอคะ?” คุณครูสวี่ถาม

หลินชิงเหอหัวเราะออกมา “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่ให้เขากินอาหารสามมื้อต่อวัน นอกจากนั้นก็สั่งนมให้เขาดื่มในตอนเช้าอีก 2 ขวด”

“เกรงว่าราคาของมันคงไม่ถูกนะคะ?” คุณครูอีกท่านหนึ่งเอ่ย

“ไม่ถูกเลยค่ะ แต่เด็กคนนี้มีเวลาไม่กี่ปีเพื่อที่จะสูงขึ้น ซึ่งช่วงนี้ก็เป็นเวลาทองในการบำรุงร่างกายของเขาพอดี ฉันหวังว่าในอนาคตเขาจะสูงเท่าพ่อของเขาน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

ไม่ต้องพูดถึงก็รู้ว่าโจวชิงไป๋เป็นคนค่อนข้างสูง

คุณครูหลายคนต่างแต่งงานมีลูกกันแล้ว เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้พวกหล่อนก็มีความคิดอยู่ในใจกันหมด

หลินชิงเหอไม่เอ่ยอะไรมาก ทุกคนต่างมีหนทางในการเลี้ยงดูลูกของตัวเอง ยิ่งกว่านั้นเธอกับพวกหล่อนก็ไม่ใช่คนยุคเดียวกัน ปรัชญาการศึกษาของเธอคือความรู้ของยุคต่อมา ซึ่งพวกหล่อนไม่อาจเรียนรู้จากเธอได้

ในความคิดของเธอ การได้ซื้อนมสดใหม่จากธรรมชาติปราศจากสิ่งปนเปื้อนในราคา 10 หยวนต่อเดือนให้เด็ก ๆ ดื่มถือว่าคุ้มค่ามาก

แต่เงิน 10 หยวนในยุคนี้ถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก เป็นเงินที่ครอบครัวลูกสามคนในเมืองใช้อยู่อย่างประหยัดได้เลยทีเดียว

เจ้าใหญ่ที่มีอายุ 11 ปีสูงเทียบเท่ากับเด็กอายุ 14 จึงไม่มีปัญหาที่เขาจะได้เข้าเรียนในชั้นปีที่สอง ซึ่งเด็กชายก็ปรับตัวได้ ไม่นานนักเขาก็มีที่ยืนอยู่ในชั้นเรียนนั้น

เขาเองก็เริ่มเรียนวิชาของชั้นปีที่สองอย่างจริงจัง เพราะในอนาคตมันไม่จำเป็นต้องเลื่อนชั้นแล้ว จึงเป็นเรื่องดีที่จะศึกษาวิชาในชั้นนั้นทีละขั้น

แต่หลินชิงเหอก็ยังคงให้ความใส่ใจและมักจะตั้งโจทย์กับเขาเสมอ

ซึ่งเรื่องเหล่านี้คือการบ้านตามปกติของเจ้าใหญ่ ตอนนี้เขาสามารถเก็บผักขมให้ฟาร์มหมูได้เป็นจำนวนมากหลังเลิกชั้นเรียนแล้ว

พอมีเจ้าใหญ่อยู่ เจ้าสามก็หยุดเก็บผักขม เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนเขาก็โยนกระเป๋านักเรียนทิ้งขว้างและออกไปเล่นนอกบ้าน

ทั้งซูเฉิงน้อยกับซูสวิ่นน้อยต่างกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว โดยซูสวิ่นน้อยมักจะอยู่กับท่านแม่โจว ขณะที่ซูเฉิงน้อยเกาะติดเจ้าสามเป็นเงาตามตัว

ทันทีที่เจ้าสามกลับมาจากโรงเรียน เขาก็จะเล่นกับพี่ชายสามคนนี้

วันเวลายังคงดำเนินต่อไปอย่างสงบสุข จนกระทั่งจู่ ๆ พี่สาวรองก็มาหาบ้านฝั่งแม่ ใบหน้าของหล่อนอาบชุ่มด้วยน้ำตา ยิ่งกว่านั้นยังมีรอยข่วนอยู่อีกหนึ่งรอย!

“เกิดอะไรขึ้น?” ท่านแม่โจวถามด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

“คุณแม่คะ รีบให้น้องชายมารวมตัวกันเถอะค่ะ เราจะไปคิดบัญชีกับบ้านตระกูลหวง!” พี่สาวรองประกาศกร้าว

ครอบครัวสามีของหล่อนก็คือคนตระกูลหวง หล่อนได้รับบาดเจ็บก็เพราะสะใภ้ใหญ่กับแม่สามีรวมตัวกันเล่นงานหล่อน ซึ่งในกลุ่มนั้นรวมถึงสะใภ้ฝั่งแม่ของสะใภ้ใหญ่ของหล่อนด้วย

ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาว่าง ชายหนุ่มทุกคนยังไม่ได้กลับจากการทำนา แต่มันก็ไม่สำคัญหรอก พอโจวต้านีเอาเรื่องนี้ไปบอก ไม่นานนักโจวชิงไป๋กับพี่ชายทั้งสามก็มารวมตัวกันที่บ้าน

ท่านแม่โจวเองก็ไปเรียกผู้หญิงบางคนที่รู้จักการรับมือกับคนชั่วช้า จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่บ้านตระกูลหวง!

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พ่อทำตัวดีๆ นะคะ ไม่อย่างนั้นแม่จะแต่งงานใหม่นะหากพ่อเป็นอะไรขึ้นมา คนจริงอย่างแม่ไม่ได้ขู่ด้วยเน้อ

เจ้าใหญ่เก่งมาก สมกับที่แม่เลี้ยงมาจริง ๆ ค่ะ

เอาแล้วค่ะ ทั้งสองตระกูลจะยกพวกตีกันแล้ว จะเป็นอย่างไรติดตามกันต่อไปนะคะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset