บทที่ 223 เปลี่ยนใจอีกครั้ง

บทที่ 223 เปลี่ยนใจอีกครั้ง
โดย

บทที่ 223 เปลี่ยนใจอีกครั้ง

โจวชิงไป๋เดินทางเข้าเขตเทศบาลในเดือนกันยายนก่อนโรงเรียนจะเปิดการเรียนการสอน

ครั้งนี้เขาไปเพื่อซื้อปุ๋ยเคมีกับยาฆ่าแมลง หลังจากได้ใช้ไปในครั้งนี้แล้ว ปีนี้ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเพิ่มอีกครั้ง

ดังนั้นในเช้าตรู่วันนั้นหลินชิงเหอจึงตามโจวชิงไป๋ไปด้วย

โจวชิงไป๋รู้สึกไร้เรี่ยวแรงต้าน เขารู้ว่าภรรยาจะต้องมีแผนการอื่นอยู่แน่แต่เธอปฏิเสธที่จะเอ่ยออกมา ในเมื่อเธอตามเขาไปด้วยแล้วเขาก็ต้องให้เธอตัวติดกับเขาไว้ ไม่ปล่อยให้เธอเดินเพ่นพ่านไปทั่วเด็ดขาด

ในเขตเทศบาลเทียบไม่ได้กับในอำเภอแม้แต่น้อย เพราะเพิ่งเกิดเรื่องวุ่นวายไปในช่วงหนึ่งที่ผ่านมา

ยุคนี้ก็เป็นแบบนี้ ในช่วงเวลาหนึ่งจะเกิดกระแสเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นระยะ

“คุณไปจัดการธุระของคุณเถอะค่ะ แล้วเราค่อยมาเจอกันที่นี่ในตอนบ่ายเพื่อกลับด้วยกัน” แน่นอนว่าภรรยาของเขาวางแผนจะแยกตัวจากเขาในทันทีที่ถึงสถานีขนส่ง

“ตามผมมา” โจวชิงไป๋เอ่ยด้วยท่าทางสงบ

หลังร่วมเตียงเดียวกันมาหลายปี เขาก็รู้จักนิสัยของภรรยาตัวเองดี เธอจะทำอย่างที่เธอพูดและตามเขาอย่างว่าง่ายเมื่อมาถึงในตัวเมืองได้จริง ๆ หรือ?

แน่นอนว่าหลินชิงเหอไม่คิดจะเชื่อฟังเลยแม้แต่น้อย เธอจะมาที่นี่โดยไม่ได้หวังอะไรได้อย่างไร? อย่างน้อยการปั่นจักรยานมาถึงที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่น่าอภิรมย์เกินไปนัก

อีกไม่นานโรงเรียนก็จะเปิดแล้ว มันจะไม่มีเวลามาที่นี่อีกหลังจากเริ่มการเรียนการสอน

นี่ไม่ใช่โอกาสในการกอบโกยไม่หนึ่งอย่างก็สองอย่างเหรอ?

“เรานัดเจอกันตรงนี้ดีกว่าค่ะ ชิงไป๋ ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ฉันจะไม่สร้างปัญหาหรอก” หลินชิงเหอให้สัญญา

โจวชิงไป๋ไม่เห็นด้วย เขาพาเธอไปซื้อปุ๋ยและยาฆ่าแมลงพร้อมกับเขา จากนั้นก็ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง เขาจึงให้สัญญาณบอกให้เธอเดินตามเส้นทางของเธอ แต่เขาจะทำแค่ตามเธอไปเท่านั้น

หลินชิงเหอถึงกับร่ำร้องในใจว่าคุณกำลังทำราวกับฉันเป็นอาชญากรงั้นเหรอ?

ยิ่งกว่านั้นจากรังสีแข็งกร้าวของคุณ ทุกคนที่เห็นผ่าน ๆ ก็บอกได้ว่าคุณเป็นอดีตทหารปลดประจำการ คนที่จะมาซื้อขายใครเขาจะกล้ามาซื้อเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณล่ะ?

พวกเขาคงเผ่นหนีกันไปหมด

“คุณอยากแลกเปลี่ยนของอะไรเหรอ?” โจวชิงไป๋ถามเสียงทุ้ม

“ฉันไม่ได้คิดที่จะแลกเปลี่ยนอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่อยากเดินไปเรื่อย ๆ ด้วยตัวเองเท่านั้น” หลินชิงเหอบอก

เธอจะบอกให้เขารู้เกี่ยวกับการซื้อขายทองคำไม่ได้ ชายคนนี้หัวโบราณมาก ครั้งสุดท้ายที่เขาเต็มใจนำมาให้เป็นจำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านการอนุเคราะห์จากสหายของเขาก็ถือว่าล้ำเส้นเขามากพอแล้ว เขาคงไม่อยากทำอะไรอีกแน่

โจวชิงไป๋ไม่เอ่ยอะไร เขาพาเธอเข้าไปในห้างสรรพสินค้าในเมืองด้วยความตั้งใจว่าจะซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้เธอสักสองชุด

แต่ในยุคนี้จะมีเสื้อผ้าที่ออกแบบดี ๆ อยู่งั้นเหรอ ทุกตัวล้วนมีรูปแบบการตัดเย็บอย่างเดียวกัน และมันก็กลบความงามของหลินชิงเหอไปจนหมด

เธอจึงซื้อเสื้อกั๊กให้โจวชิงไป๋แทน และเอ่ยขึ้นว่า “ฉันไม่อยากได้หรอกค่ะ เพราะฉันมีเสื้อผ้าสำรองอยู่ที่บ้านแล้ว”

เมื่อเห็นว่าเธอไม่อยากซื้อเสื้อผ้าใหม่จริง ๆ โจวชิงไป๋ก็ไม่เอ่ยอะไร เขาพาเธอไปยังร้านค้าสหกรณ์ในเขตเทศบาลและซื้อของบางอย่างก่อนมาคอยรถที่สถานี

หลินชิงเหอคร่ำครวญในใจว่าการเดินทางครั้งนี้ช่างสูญเปล่า ชิงไป๋ของเธอตัวติดกับเธอตลอดจนทำให้เธอจนปัญญาที่จะเลี่ยง

หลังนั่งรถกลับไปที่อำเภอพร้อมปุ๋ยและยาฆ่าแมลงแล้ว โจวชิงไป๋ก็ปั่นจักรยานพาเธอกลับหมู่บ้านพร้อมข้าวของทั้งหลาย

หลินชิงเหอหยิบของออกจากมิติและขนกลับบ้าน เธอปล่อยให้โจวชิงไป๋ไปทำธุระของเขาด้วยอาการห่อเหี่ยว

เขาช่างขวางเส้นทางรวยของเธอเสียจริง ๆ เลย

ช่างเถอะ ในเมื่อโชคชะตาไม่ยอมให้เธอได้ไปไกลกว่านี้ เธอก็ควรจะหยุด อย่างไรเสียเธอก็เก็บสะสมเอาไว้เยอะแล้ว

ไม่นานนักภาคการศึกษาใหม่ก็เริ่มต้น เจ้าใหญ่เดินทางเข้าไปในอำเภอเพื่อเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมปลายในชั้นปีที่หนึ่ง โดยที่เขาอาศัยอยู่ในบ้านของอาเล็ก หลินชิงเหอจึงให้คูปองอาหารและของอื่น ๆ กับเขา

ทันทีที่เจ้าใหญ่เข้าเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่ง เด็กชายคนนี้ก็ได้หายไปจากครอบครัวของเขา

ไม่เพียงแค่ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวที่เคยร่วมมื้ออาหารของครอบครัวกับเขาเป็นประจำจะรู้สึกไม่อยากแยกจากเขาไป เจ้ารอง เจ้าสาม และเด็กน้อยซูเฉิงก็คิดถึงเขามาก

คืนนั้นหลินชิงเหอเข้านอนและกอดโจวชิงไป๋ จากนั้นเธอก็เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา “ตอนนี้ไม่รู้ว่าเจ้าใหญ่ที่อยู่บ้านของอาเล็กจะเป็นอย่างไรบ้างนะคะ”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า” โจวชิงไป๋ไม่สนใจมากนัก

เจ้าใหญ่ตัวโตสูงใหญ่ขนาดที่ว่าในชนบทเขาจะได้รับการปฏิบัติแบบกึ่งผู้ใหญ่ เขาแค่จากบ้านไปเรียนเท่านั้นและไม่มีอะไรนอกจากนี้ โจวชิงไป๋จึงไม่กังวลมากนัก

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเจ้าใหญ่ได้เรียนรู้ทักษะการชกมวยจากเขาไปแล้ว เขาสอนลูกชายอย่างใส่ใจ ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาหากเด็กชายต้องเจอกับคู่ต่อสู้หนึ่งหรือสองคน

หลินชิงเหอบังเกิดความรู้สึกแบบแม่แก่ ๆ คนหนึ่งขึ้นมา “พอเด็ก ๆ พวกนี้โตขึ้นแล้ว พวกเขาคงจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง ในภายหน้าก็จะเหลือแค่เราสองคนแล้วล่ะค่ะ”

โจวชิงไป๋ลูบหลังเธอเบา ๆ จากนั้นหลินชิงเหอก็พูดต่อ “วันหยุดสัปดาห์นี้ฉันจะไปหาเขานะคะ”

“อืม” โจวชิงไป๋ส่งเสียงตอบ

แม้ภรรยาของเขาจะชอบตามใจเด็ก ๆ แต่เขาก็ปล่อยให้เธอทำ

โรงเรียนในยุคนี้ไม่มีกฎการหยุดงานสองวันต่อสัปดาห์เหมือนกับยุคหลัง ๆ แต่มีวันหยุดแค่วันเดียวในทุก 15 วัน ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ให้นักเรียนได้กลับบ้านเพื่อไปรับอาหาร

โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะกลับบ้านในตอนเช้าและกลับมาที่โรงเรียนในตอนบ่าย เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการเดินทาง

หลินชิงเหอคำนวณเวลาแล้วก็ทำอาหารชั้นเลิศที่สุดอย่างหมูตุ๋นกับปลาไหลตุ๋น

เมื่อเธอมาถึงก็เป็นวันหยุดของเจ้าใหญ่พอดี เด็กชายวางแผนจะกลับไปที่บ้าน แต่เมื่อเห็นแม่มาหา เขาก็ยิ้มกริ่ม

“แม่ครับ ผมเกือบจะขอจักรยานจากคุณอาปั่นกลับไปที่บ้านแล้วเชียว” เจ้าใหญ่บอกเธออย่างร่าเริง

โจวเสี่ยวเม่ยกำลังพักรักษาตัวหลังคลอดจนถึงตอนนี้ ซึ่งหล่อนยังไม่ออกจากแผนบำรุงร่างกายหลังคลอดเลย หลังจากนั้นหล่อนก็ซื้อจักรยานอีกคันหนึ่ง กลายเป็นว่าสามีภรรยาคู่นี้มีจักรยานกันคนละคัน นับว่าทั้งคู่มีหน้ามีตาในเมืองอย่างแท้จริง

“วันนี้แม่ตั้งใจมาเยี่ยมคุณอาแล้วก็เอาอาหารกับคูปองอาหารมาให้ลูกด้วยน่ะ ลูกจะได้ไม่ต้องกลับไปที่บ้าน” หลินชิงเหออธิบาย

หญิงสาวไม่เห็นหน้าเจ้าใหญ่มาครึ่งเดือนแล้ว เธอรู้สึกโล่งใจที่เห็นว่ากำลังใจของเขายังไม่ถดถอย

อย่าตัดสินจากคำพูดไร้น้ำหนักของเธอเลย เขาเป็นลูกชายของเธอ เธอยังรู้สึกเป็นห่วงเขาเสมอไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาตัวไม่เตี้ยก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้วเขายังเป็นแค่เด็ก 11 ขวบคนหนึ่ง

จากนั้นเธอเปิดตะกร้าที่นำมาด้วย ในนั้นมีหมูตุ๋นกับปลาไหลตุ๋นที่เป็นของชอบของเจ้าใหญ่

เมื่อสองแม่ลูกเดินขึ้นไปบนชั้นสองด้วยกัน ร่างกายและกระดูกของโจวเสี่ยวเม่ยก็ได้สมานตัวเกือบจะหายดีแล้ว พอเห็นโจวเสี่ยวเม่ย หลินชิงเหอก็อึ้งค้างไป

นี่…นี่มันอ้วนเกินไปไหม? น้ำหนักตัวของโจวเสี่ยวเม่ยในตอนนี้น่าจะอยู่ที่ 140 ชั่งแล้ว!

“พี่สะใภ้สี่ ทำไมพี่มองฉันด้วยสายตาแบบนั้นล่ะคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยเอ่ยอย่างอาย ๆ

หล่อนรู้ว่าช่วงนี้เหมือนตัวเองจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาก หล่อนรู้สึกสบายใจหลังคลอดลูกสาวคนนี้เลยปล่อยตัวปล่อยใจจนร่างกายขยายใหญ่ขึ้น

นอกจากนี้การที่หล่อนต้องดูแลลูกสาวไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกอยากอาหารที่มีมากขึ้น มันก็ทำให้หล่อนใช้เวลาไม่นานนักในการสร้างเนื้อหนังมังสาด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า

ซูต้าหลินเองก็มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ เขาทำอาหารเลิศรสให้หล่อนกินทุกวัน เจ้าใหญ่เองก็ได้กินและมีความสุขไปกับลาภปากนี้ด้วย

“ฉันเห็นแล้วว่าเธอดูอวบขึ้นจริง ๆ แล้วฉันก็เอาหมูตุ๋นกับปลาไหลนาตุ๋นมาด้วย เรามีอาหารสำหรับกลางวันนี้เพิ่มขึ้นมาแล้วล่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

โจวเสี่ยวเม่ยรู้ว่าพี่สะใภ้สี่มีฝีมือการทำอาหารในระดับไหน หล่อนจึงน้ำลายสอในทันที จากนั้นหลินชิงเหอก็มาเยี่ยมหลานสาวของเธอ ซึ่งเด็กหญิงก็ได้รับการดูแลจากโจวเสี่ยวเม่ยเป็นอย่างดี

“พี่สะใภ้สี่คะ ต้าหลินอยากให้ฉันหยุดอยู่บ้านเลี้ยงลูก ๆ น่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยบอกเธอ

“เธอไม่ได้บอกว่าอยากจะส่งหล่อนกลับไปให้คุณแม่เลี้ยงหรอกเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างประหลาดใจ พวกเขาเปลี่ยนใจอีกแล้วสินะ

“ต้าหลินทนไม่ได้ที่ต้องแยกจากยัยหนูน่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยถอนหายใจ

…………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

พ่อไม่เข้าใจแม่เลย โธ่ ถ้าพ่อไม่ขัดแม่คงจะมีทองเก็บเต็มมิติแล้วค่ะ

เอ็นดูลูกสาวบ้านซูจังค่ะ น่ารักจนพ่อหวงไม่อยากให้จากไปไกลเลยทีเดียว

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset