บทที่ 224 ทลายโพรงกระต่าย

บทที่ 224 ทลายโพรงกระต่าย
โดย

บทที่ 224 ทลายโพรงกระต่าย

“แต่เงินเดือนของเธอนับว่าไม่น้อยเลยนะ ถ้าเธอลาออกจากงาน ทุกเดือนเธอก็จะมีรายได้น้อยกว่า 20 หยวน ต่อให้เงินเดือน 40 หยวนของน้องเขยจะไม่น้อย แต่ใครจะรู้ล่ะว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น” หลินชิงเหอให้ความเห็นของเธออย่างตรงไปตรงมา

ทุกวันนี้มีแต่คนอยากแย่งงานของคนอื่นทันทีที่มีตำแหน่งว่าง ถ้าหางานเองนับเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์อีก

ต่อให้เป็นปี 1975 แล้ว แต่ก็ยังเหลือเวลาอีก 2-3 ปีกว่าจะมีมาตรการผ่อนปรน นับว่ายังเป็นเวลายาวนานอยู่ไม่น้อย

อย่าดูถูกเงินเดือน 20 หยวนของโจวเสี่ยวเม่ยเชียว ต่อให้ซูต้าหลินไม่ได้ทำงานต่อแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลอะไรเมื่อมีเงินเดือนส่วนนี้อยู่

ครอบครัวคนธรรมดาสามารถอยู่รอดได้ด้วยเงิน 20 หยวนนี้เชียวนะ

จากมุมมองของคนในอนาคต มันถือเป็นเรื่องดีต่อครอบครัวหนึ่ง ๆ หากมีรายได้เข้ามาสามทางหรือมากกว่านั้น

เป็นเช่นนี้แล้วพวกเขาจะไม่รู้สึกเดือดร้อน ตอนนี้ครอบครัวของโจวเสี่ยวเม่ยมีรายได้สองทาง ซึ่งนับว่าดีมาก

อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องพึ่งพารายได้ทางเดียว พวกเขาจะกังวลน้อยลงและมีความสุขมากขึ้น รวมถึงความขัดแย้งในครอบครัวก็จะลดลงด้วย

ดังนั้นหลินชิงเหอจึงไม่สนับสนุนการลาออกจากงาน

“ฉันเองก็ไม่อยากลาออกเหมือนกันค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยพยักหน้า แต่เมื่อมองลูกสาวตัวน้อยที่กำลังนอนหลับ หล่อนก็ถอนหายใจเบา ๆ “แต่ต้าหลินรักใคร่ลูกสาวคนนี้มากเหมือนกล่องดวงใจ เขารักโดยไม่มีขอบเขต เลยรู้สึกลังเลที่จะปล่อยหล่อนไว้ที่บ้านแม่เหมือนกับพี่ชายทั้งสองของหล่อนน่ะค่ะ”

“คุณป้าของเขาก็ไม่ใช่สาว ๆ ต่อไปแล้ว หล่อนพิจารณาเรื่องเกษียณหรือยังล่ะ?” หลินชิงเหอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม

ทั้งลุงและป้าของซูต้าหลินต่างทำงานกันทั้งคู่

“หล่อนคิดอยู่เหมือนกันค่ะ วางแผนว่าจะยกตำแหน่งให้กับลูกสาวคนเล็ก แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างจริงจังนัก” โจวเสี่ยวเม่ยตอบ

“บ้านของพวกเขาเองก็ไม่ได้อยู่ไกลจากที่นี่ ถ้าหล่อนเต็มใจเกษียณจริงก็ลองไปถามดูนะ แค่เปลี่ยนคนที่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูจากคุณแม่เป็นหล่อนแทน” หลินชิงเหอบอก

“แล้วคุณแม่จะค้านไหมคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยถาม

“ท่านจะค้านอะไรล่ะ? เฉิงเฉิงกับสวิ่นสวิ่นตอนนี้ก็โตแล้ว พวกเขาเล่นกันเองได้โดยที่แม่ไม่ต้องมาคอยดู ในเมื่อท่านไม่ต้องเลี้ยงหลานสาวคนนี้ ท่านก็ไม่คัดค้านอะไรหรอกหากไม่ได้เงินค่าจ้างเลี้ยงดู” หลินชิงเหออธิบาย

โจวเสี่ยวเม่ยพยักหน้า แต่หล่อนยังต้องปรึกษาเรื่องนี้กับซูต้าหลินก่อน

หลินชิงเหอพาเจ้าใหญ่ออกไปซื้ออุปกรณ์การเรียนและให้ค่าขนมกับเขาหยวนหนึ่ง

ต้องบอกว่ามีแต่แม่อย่างหลินชิงเหอเท่านั้นที่เต็มใจให้ค่าขนมกับลูก 1 หยวน

คำพูดที่ว่า เลี้ยงลูกชายให้เป็นยาจกและเลี้ยงลูกสาวให้เป็นคุณนาย ไม่ได้หมายความว่าให้ลดทอนการปฏิบัติต่อลูกชาย แต่เป็นการดึงความขยันอดทนในตัวเขาออกมา

ถึงอย่างนั้นเธอก็ให้เงินค่าขนมกับเขาอยู่

“พอถึงสิ้นเดือนแล้วลูกต้องกลับไปช่วยงานเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงนี่ ลูกจะมีวันหยุดบ้างไหม?” หลินชิงเหอถาม

“ครับ ผมได้หยุด 7 วัน” เจ้าใหญ่พยักหน้า

หลินชิงเหอไม่มีปัญหาอะไร เธออำลาเจ้าใหญ่แล้วมาที่ตลาดมืดเพื่อขายเนื้อหมูส่วนที่เหลือทั้งหมดที่ได้สะสมไว้ หลังจากนั้นเธอก็กลับบ้าน

ส่วนเจ้าใหญ่ก็เก็บเงิน 1 หยวนนี้ไว้ เขาอยากเก็บมันไว้เพื่อซื้อลูกบาสเกตบอล ซึ่งเป็นของราคาแพงมาก

เขารู้ว่าที่บ้านมีแรงกดดันเยอะขนาดไหน มีคนหลายคนต้องเลี้ยงดู ต่อให้เขามาอยู่ในเมือง เขาก็ยังได้ดื่มนมสองขวดทุกวัน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนซื้อมาด้วยเงินเดือนของแม่เขา

หลินชิงเหอไม่รู้เลยว่าเจ้าใหญ่อยากซื้อลูกบาสเกตบอล เมื่อถึงบ้านแล้วเธอก็บอกท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวว่าเจ้าใหญ่ที่อยู่ในเมืองอยู่ดีกินดีอย่างไรบ้าง

เธอยังเปิดประเด็นเรื่องหลานสาวกับท่านแม่โจว ว่าบางทีในอนาคตหลานสาวตัวน้อยอาจอยู่ในความดูแลของคุณป้าซู ถึงตอนนั้นเงินค่าเลี้ยงดูทั้งหลายจะกลายเป็นของคุณป้าซูไป

“งั้นก็ให้ไปเถอะ เฉิงเฉิงกับน้องชายก็ตัวโตเท่านี้แล้ว แค่เตือนให้พวกเขานำเงินค่าใช้จ่ายมาก็พอ” ท่านแม่โจวไม่ได้ว่าอะไรกับเรื่องนี้

ก่อนหน้านี้ เหตุผลที่นางเรียกเงินจากลูกสาวก็เป็นเพราะต้องการเก็บไว้เป็นค่าสินสอดของหลานชาย

ตอนนี้หลานชายคนโตกำลังก้าวหน้าอย่างมาก หากลูกสาวคนเล็กจะไม่ให้เงินกับนางก็ไม่เป็นไร แต่ยังต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูหลานชายทั้งสองมาให้นางอยู่

ต่อให้พวกเขาเป็นญาติกันและเด็ก ๆ ยังเล็กนัก แต่ก็ต้องทำบัญชีให้ชัดเจน เป็นแบบนี้แล้วพวกเขาถึงยังนับญาติกันได้

ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ต้องกังวลไป ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยรู้ว่าต้องทำอย่างไร

หลินชิงเหอคุยกับท่านแม่โจวในเรื่องที่ว่าน้องสามีตัวอวบอ้วนขนาดไหนแล้ว ท่านแม่โจวก็เอ็ดอย่างอารมณ์ดี “นังเด็กคนนี้นี่จริง ๆ เลย ไม่รู้จักประหยัดเงินเสียบ้าง กินจนอ้วนถึงขนาดนั้นแล้วเงินเดือนที่มีอยู่จะไปพอกินได้ยังไง?”

แม้จะเอ่ยแบบนั้น แต่ท่านแม่โจวก็พอใจอย่างมาก

ในยุคนี้ การมีร่างกายอวบอ้วนถือว่าเป็นคนสวย ลูกสาวคนเล็กของนางได้รับการเลี้ยงดูจากลูกเขยจนมีสภาพแบบนั้นได้ก็แสดงว่าหล่อนมีชีวิตที่ดี

มีสาวชนบทกี่คนกันที่ได้แต่งงานและย้ายไปอยู่ในเมือง?

และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือหากคนในหมู่บ้านได้แต่งงานย้ายเข้าไปในเมือง นั่นก็หมายความว่าสถานะทางสังคมของคน ๆ นั้นจะเพิ่มขึ้นจากการแต่งงาน แต่ถึงอย่างนั้นสาวชาวบ้านที่ได้แต่งงานกับคนเมืองส่วนใหญ่จะถูกแม่สามีดูถูก ยิ่งกว่านั้นพวกหล่อนจะต้องทำงานบ้านทุกอย่างและกักตุนอาหารในช่วงการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วงด้วย

การหาคู่ครองที่มีคุณสมบัติแบบลูกเขยของนางนับว่าเป็นเรื่องหายากยิ่ง

หลินชิงเหอรู้ว่าแม่สามีของเธอปากไม่ตรงกับใจจึงไม่เอ่ยอะไรมากนัก

การเก็บเกี่ยวฤดูร้อนเริ่มในสิ้นเดือนกันยายน ป้าของต้าหลินเต็มใจเกษียณตัวเองและส่งต่องานให้กับลูกสาวคนเล็กที่กำลังจะแต่งงานแทน

แม้คนในเมืองดูเหมือนเป็นที่เคารพนับถือ แต่พวกเขายังต้องหางานทำ หากพวกเขาไม่ได้รับการจ้างงานก็จะหาคู่ครองที่เหมาะสมไม่ได้

ดังนั้นเมื่อพวกเขาถึงเวลาสมควรต้องแต่งงาน พวกเขาจะพบว่ามันเป็นเรื่องง่ายขึ้นหากตัวเองได้ทำงาน

ซูต้าหลินบอกป้าของเขาเกี่ยวกับเรื่องรับเลี้ยงลูก

เขานับถือหล่อนเป็นครอบครัวของเขา และเขาเองก็ถูกเลี้ยงดูมาจากคุณลุงและคุณป้าของเขา

นางเห็นด้วยที่จะเป็นคนดูแลลูกของสองสามีภรรยาเมื่อทั้งคู่กำลังทำงาน หลังเลิกงานพวกเขาก็แค่มารับลูกกลับ มันไม่ใช่เรื่องเกินกำลังนักหรอก

ซูต้าหลินอยากให้เงินไว้ แต่นางก็ไม่รับ

ซูต้าหลินจึงนำเนื้อมาชิ้นหนึ่งมาให้เนือง ๆ เขารู้จักถนอมน้ำใจคนทีเดียว

เจ้าใหญ่เอ่ยเรื่องนี้ในตอนที่เขากลับบ้านช่วงวันหยุด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะช่วงนี้เป็นการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงพอดี ทำให้ต่างคนต่างยุ่ง

ธัญพืชทั้งหมดทยอยสุกแก่แล้ว พวกเขาทั้งหมดต้องรีบเก็บเกี่ยวเข้ายุ้งฉางแต่โดยเร็ว

7 วันแรกนับว่ายุ่งที่สุด ทำให้โรงเรียนมัธยมปลายประจำอำเภอต้องประกาศวันหยุด เนื่องจากนักเรียนหลายคนในอำเภอต่างมาจากชนบท วันหยุดเหล่านี้จึงเกิดขึ้น แต่ก็ไม่นานนัก แค่ 7 วันเท่านั้น

หลัง 7 วันนี้ไปแล้วพวกเขาต้องกลับมาเข้าเรียน

เจ้าใหญ่มาช่วยงานเป็นเวลา 7 วัน พอถึงตอนที่กลับเข้าไปในเมือง เขาก็นำกระต่ายตัวหนึ่งกลับไปด้วย

พ่อของเขาเป็นคนจับได้ เนื่องจากในช่วงหน้าร้อนเขาจับไม่ได้เลยสักตัว มาจับได้ตัวหนึ่งในวันแรกของการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงในปีนี้พอดี

ในวันที่เจ้าใหญ่กำลังกลับบ้าน โจวชิงไป๋ก็จับกระต่ายมาได้ 2 ตัว

กระต่ายพวกนี้ตัวอ้วนมาก ใครจะรู้ว่ามันแย่งกินธัญพืชไปเยอะขนาดไหน เจ้าใหญ่จึงจับกระต่ายมาให้ซูต้าหลินตัดสินชะตาชีวิตของมัน ซูต้าหลินจึงให้เนื้อของมันกับลุงของเขาไปครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็นำไปตุ๋นตามปกติ

ช่วงกลางของการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงนี้เอง โจวชิงไป๋ก็ทลายโพรงกระต่ายโพรงหนึ่ง

กระต่ายตัวเล็กทั้งหลายถูกจับมาเลี้ยง ส่วนกระต่ายโตนั้นกระโดดหนีไป

ในสายตาของคนยุคนี้ กระต่ายจัดเป็นสัตว์ตัวร้ายที่ทำลายธัญพืช ไม่เพียงแต่พวกมันจะกินพืชพรรณธัญญาหารแล้วยังขุดทำลายพื้นที่เพาะปลูก นับว่าร้ายกาจพอ ๆ กับหนูเลยทีเดียว

แต่ลูกกระต่ายบางตัวถูกจับมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน ทำให้เจ้าสาม ซูเฉิง และซูสวิ่นต่างดีใจ

.

พวกมันยังเล็กมากนัก และน่ารักมากจริง ๆ

ในเมื่อพวกมันเป็นกระต่ายไม่กี่ตัว จึงไม่มีปัญหาหากจะเลี้ยงพวกมัน เพราะพวกมันไม่ใช่สัตว์สร้างรายได้ จึงไม่ต้องเข้มงวดมากนัก

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เมื่อโตขึ้นจนหาเงินได้แล้ว จะพบว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ค่ะ ยิ่งยุคที่ต้องใช้เงินซื้อทุกอย่างแล้วยิ่งเห็นชัด

เด็ก ๆ ได้เลี้ยงกระต่ายแล้ว ต่อไปจะกินกระต่ายตุ๋นกันลงไหมเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset