บทที่ 225 เลี้ยงดูดีมาก

บทที่ 225 เลี้ยงดูดีมาก
โดย

บทที่ 225 เลี้ยงดูดีมาก

การเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ยังคงเป็นไปด้วยดี ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาเฉพาะตอนที่ลงต้นกล้าข้าวสาลีฤดูหนาวไปแล้ว

ในยุคนี้มีการจัดสรรปันส่วนอาหารให้กับส่วนสาธารณะ อาหารของทุกคนจะถูกแจกจ่ายเช่นกัน พวกเขาล้วนลับมีดให้คมกริบเพื่อเตรียมพร้อมกับการแบ่งเนื้อ

และช่วงนี้เองก็เป็นวันที่โจวต้านีแต่งงาน

หล่อนเป็นหลานสาวคนโตของตระกูลโจวแถมช่วงนี้ยังเป็นช่วงเวลาว่าง คนทั้งหลายจึงได้เตรียมตัวเพื่อโอกาสมงคลนี้

เนื่องด้วยช่องว่างระหว่างวัย หลินชิงเหอจึงไม่ได้เตรียมผ้านวมเป็นของขวัญแต่งงานเหมือนกับตอนที่เตรียมไว้ในงานแต่งงานของโจวเสี่ยวเม่ย

หลินชิงเหอให้เงินจำนวน 5 หยวนเช่นเดียวกับสะใภ้ทั้งหลาย

เธอยังให้ผ้าพับหนึ่งกับโจวต้านีเพื่อให้หล่อนนำไปตัดเสื้อผ้าตัวใหม่ ซึ่งนี่ก็เป็นการแสดงความปรารถนาดีอย่างหนึ่ง

หลังวันแบ่งเนื้อผ่านไป โจวต้านีก็แต่งงาน

หลินชิงเหอนึกย้อนไปถึงตอนที่ทะลุมิติมา ตอนนั้นโจวต้านียังตัวแค่นั้นเอง ชั่วพริบตาเดียวหล่อนก็แต่งงานและอีกไม่นานก็ได้เป็นแม่คนแล้ว

หลินชิงเหอไม่ได้ร่วมงานเพราะต้องสอนหนังสือ โจวชิงไป๋จึงเป็นคนไปร่วมงานเลี้ยงฉลองแทน

ตอนที่โจวต้านีแต่งงาน บรรดาคุณป้าของหล่อนก็ส่งเงินมาให้คนละ 5 หยวนเช่นกัน ซึ่งถือว่าไม่มากนักแต่เงินทั้งหมดถือว่าเป็นเงินของขวัญแต่งงานสำหรับโจวต้านี ต่อให้ไม่ได้แยกตัวจากครอบครัวสามี หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องให้เงินกับครอบครัวสามี

แน่นอนว่าหากเจอครอบครัวสามีที่ไร้คุณธรรม พวกเขาจะเรียกร้องเงินสินสอดจากลูกสะใภ้ แต่โชคดีที่สะใภ้ใหญ่ไม่คิดจะส่งลูกสาวคนโตเข้ากองไฟตั้งแต่แรก หล่อนจึงได้แสวงหาลูกเขยจากครอบครัวที่น่าเชื่อถือให้กับลูกสาว

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาว่างงาน อากาศก็เริ่มเย็นลง

โดยเฉพาะหลังจากฝนฤดูใบไม้ร่วงตกไปแล้ว อุณหภูมิก็เริ่มลด

“ทั้งสองคนต้องใส่เสื้ออุ่น ๆ เข้าไว้นะ แล้วก็ไม่ต้องลงไปเล่นน้ำอีกแล้ว เข้าใจไหม?” หลินชิงเหอตื่นแต่เช้าตรู่และเอ่ยเตือนสองพี่น้องตระกูลซู

ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่อยู่ในบ้านหลังนี้ ซึ่งสองพี่น้องชอบอยู่ที่นี่มากและไม่ค่อยไปที่บ้านตระกูลโจวบ่อยนัก

“เราเลิกเล่นน้ำกันนานแล้วครับ แต่เล่นดีดลูกแก้วแทน” ซูเฉิงตอบ

“หิว” ซูสวิ่นผู้เป็นน้องชายเอ่ยขึ้น

“นายหิวเหรอ? งั้นกินกระต่ายกันเถอะ” เจ้าสามที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเอ่ยตอบ

“ไม่นะ! ไม่กินกระต่าย” ซูสวิ่นตอบทันควัน

ลูกกระต่ายตัวน้อยที่ถูกจับมาตั้งแต่การเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงถูกเลี้ยงจนตอนนี้ตัวใหญ่ขึ้นมาก ซูสวิ่นน้อยรักพวกมันมากจนไม่อยากฆ่าพวกมันเพื่อนำมาเป็นอาหาร

“มันถูกเลี้ยงไว้เพื่อกินนะ คราวที่แล้วนายก็ชอบกินไม่ใช่เหรอ? นายเคยเคี้ยวกินมันอย่างมีความสุขอยู่นี่?” เจ้าสามเอ่ย

“ใช่แล้ว เลี้ยงไว้กินแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เหมือนกับพวกไก่ยังไงล่ะ” ซูเฉิงเอ่ยอย่างมองตามความเป็นจริง

“อย่ากินมันนะ เลี้ยงมัน!” ซูสวิ่นแย้ง เขาเริ่มสูดหายใจคล้ายกับร่ำ ๆ จะร้องไห้

“อย่าร้องไห้นะ ถ้าหนูร้องไห้ กระต่ายพวกนี้จะถูกเชือดจริง ๆ ด้วย” หลินชิงเหอแทรก

ซูสวิ่นน้อยรีบกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลไว้ในทันที

“เก่งมากจ้ะ เราจะเลี้ยงกระต่ายถ้าหนูอยากเลี้ยงนะ” หลินชิงเหอบอก และคิดในใจ รอขุนจนกว่ามันจะอ้วนกว่านี้เถอะ แล้วตอนปีใหม่จะได้นำมันมาทำอาหาร

ซูสวิ่นน้อยมีอาการดีใจขึ้นมา

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ เขาก็ไปเลี้ยงกระต่าย ซึ่งหลินชิงเหอก็ปล่อยให้เขาทำ ตอนนี้เธอเริ่มถักเสื้อกันหนาวให้เจ้าใหญ่อยู่

เขาใส่เสื้อกันหนาวตัวก่อนหน้านี้ไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นในปีนี้เธอจะซื้อไหมพรมอีก 2 ชั่งมาถักเสื้อตัวใหม่ให้เจ้าใหญ่ ส่วนเสื้อตัวเดิมก็ยกให้เจ้ารองใส่ จะได้ไม่สิ้นเปลือง

หลังฝนฤดูใบไม้ร่วงหยุดตก โจวชิงไป๋ก็ไปหาไม้ฟืนมาสะสมไว้ใช้ช่วงฤดูหนาว

ปีนี้อุ่นกว่าปีก่อนมาก ปีที่แล้วในช่วงนี้ช่างหนาวเย็นมากนัก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลินชิงเหอจึงจ่ายเงินมากขึ้นอย่างไม่ลังเลเพื่อสะสมไม้ฟืนไว้ล่วงหน้า

แต่ปีนี้ไม่หนาวขนาดนั้น หลินชิงเหอจึงปล่อยให้โจวชิงไป๋เป็นคนไปหาฟืน

เมื่อโจวชิงไป๋กลับมา เขาก็นำไก่ฟ้ากลับมาด้วย 1 ตัว ซึ่งเขาจับมันได้ขณะที่ไปเก็บฟืน

หลินชิงเหอนำเห็ดหนึ่งกำมือแช่น้ำให้นุ่มในทันที ไก่ฟ้าตัวนี้นำมาผัดกับเห็ดคงจะดีไม่น้อย

“ฉันจะเข้าเมืองไปส่งเสื้อผ้าให้เจ้าใหญ่ในสองวันนี้ คุณอยากซื้ออะไรไหมคะ?” หลินชิงเหอถามเขา

“คุณซื้ออะไรให้ตัวคุณเองเถอะ” โจวชิงไป๋ตอบ

หลินชิงเหอยิ้มให้เขา “ฉันดูแลตัวเองได้แย่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

ชายผู้เถรตรงอย่างโจวชิงไป๋ส่งสายตาอ่อนโยนให้เธอวูบหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มคัดแยกไม้ฟืน

ยังมีไม้ฟืนบางท่อนที่ต้องผึ่งให้แห้ง เขาจึงต้องวางเรียงแผ่ไว้

เขาทำตามคำสั่ง จากนั้นก็มาเชือดไก่ฟ้าตามคำขอ แม้เธอจะตามใจผู้ชายคนนี้มาก แต่หลินชิงเหอก็ไม่ยั้งมือในการสั่งให้เขาทำงานเหมือนกัน

ผู้ชายทั้งหลายต้องน้อมรับคำสั่งของภรรยาให้มากขึ้นเพื่อให้ครอบครัวอยู่อย่างสมานฉันท์ และเธอก็จะได้ไม่ต้องทำอะไรให้ตัวเองลำบากด้วย

แต่เธอก็ต้องทำอาหารทั้งสามมื้อต่อวันอย่างดีเหมือนกัน เป็นแบบนี้แล้วมันก็ยุติธรรมทั้งสองฝ่ายถูกไหม?

ไก่ฟ้าผัดเห็ดเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยม มันทั้งมีรสชาติและกลิ่นหอมชวนรับประทาน เมื่อกินคู่กับข้าวแล้ว ทุกคนในครอบครัวก็มีสีหน้าพึงพอใจสุดขีด

“พ่อครับ ปีนี้พ่ออยากจะล่าหมูป่ากับคุณน้าหรือเปล่าครับ?” เจ้าสามถาม

เขาตัวใหญ่ขึ้นขนาดนี้แล้ว เด็กชายจำได้แม่นถึงการล่าหมูป่าในตอนนั้นและรู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้น

“ล่าหมูป่าอะไรกันล่ะ? ถ้าเห็นมันแล้วต้องรีบหนีในทันทีนะ จะไปล่ามันทำไม?” หลินชิงเหอบอก

“ในอนาคตเจ้าใหญ่จะได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เก็บเงินค่าเรียนไว้บ้างก็ดีนะ” ท่านแม่โจวเสริม

ถ้าลูกชายคนเล็กไม่มีความสามารถแบบนี้นางคงไม่พูดออกมา แต่ประเด็นหลักก็คือลูกชายคนเล็กของนางมีความสามารถนั้น จึงเป็นเหตุว่าทำไมนางถึงพูดเกี่ยวกับค่าเล่าเรียนในอนาคตของหลานชาย ซึ่งถ้ามันต้องมีก็ควรจะเก็บไว้

“คุณไม่ต้องใช้เงินเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยหรอกค่ะ ค่าใช้จ่ายก็เหมือนกัน ตอนที่เข้าเรียนจะมีเงินเดือนให้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเก็บเงิน และฉันขอห้ามไม่ให้คุณทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนี้เด็ดขาด” หลินชิงเหอเบนสายตามาทางโจวชิงไป๋ทันที

“อืม” โจวชิงไป๋พยักหน้า

แม้ท่านแม่โจวจะถูกสะใภ้เอ่ยแย้งขึ้นมา แต่ในใจของนางก็รู้สึกดีใจที่เห็นสะใภ้สี่เป็นห่วงเป็นใยลูกชายคนเล็กอย่างแท้จริง

หลินชิงเหอไม่สนใจเรื่องนี้ หมูป่าแล้วยังไงล่ะ? เจ้าสัตว์นั่นมันตัวใหญ่ออกปานนั้น ยิ่งกว่านั้นค่ารักษาพยาบาลในยุคนี้ยังแพงมหาโหดอีกด้วย ดังนั้นอย่าคิดจะล่ามันเลย ล่าไก่ฟ้า กระต่ายป่า และอื่น ๆ ยังจะดีกว่า

หลังถักเสื้อกันหนาวเสร็จแล้ว หลินชิงเหอก็นำมันเข้าไปในเมืองเพื่อให้เจ้าใหญ่ จากนั้นก็ขายเนื้อที่มีอยู่ก่อนซื้อนมผงกลับมาให้เด็ก ๆ ที่บ้าน

เจ้าใหญ่ไม่ต้องกินนมผงเลย ในเมืองแตกต่างจากชนบทมาก ต่อให้เป็นฤดูหนาวแล้วก็ยังมีแหล่งซื้อนมสดอยู่

“พี่สะใภ้สี่ช่างใส่ใจในการเลี้ยงเด็ก ๆ จริง ๆ นะคะ” เมื่อโจวเสี่ยวเม่ยมาถึงบ้านในวันนั้น หล่อนก็เห็นเสื้อกันหนาวตัวใหม่ของเจ้าใหญ่และอุทานอย่างใส่อารมณ์

“ถูก” ซูต้าหลินเห็นด้วย

“ฉันเดาว่าพี่สะใภ้สี่คงใช้เงินเดือนของตัวเองไปกับการเลี้ยงเด็กหมดแล้ว” โจวเสี่ยวเม่ยคิดวิเคราะห์

“พวกเขา…ได้รับการเลี้ยงดูที่…ดีมากเลยนะครับ” ซูต้าหลินเอ่ย

เขาเอ่ยเน้นว่าหลินชิงเหอเลี้ยงดูเด็ก ๆ ดีมาก โจวเสี่ยวเม่ยจึงเอ่ยอย่างตัดสินใจแน่วแน่ “ในอนาคตเราเองก็จะเลี้ยงเด็ก ๆ ของเราในแบบเดียวกับที่พี่สะใภ้สี่เลี้ยงนะคะ”

“ครับ” ซูต้าหลินพยักหน้ารับ

ตอนนี้เจ้าใหญ่ไม่อยู่บ้าน เขาออกไปเล่นบาสเกตบอล ซึ่งเขากับเพื่อนร่วมชั้นรวมเงินกันซื้อลูกบาสเกตบอลเอง ต้องบอกว่าชีวิตในเมืองมีสีสันมากกว่าชีวิตในชนบทจริง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง เดินเล่นในสวนสาธารณะ เล่นบาสเกตบอล กินอาหารที่ร้านอาหาร และอื่น ๆ ในเมืองล้วนมีให้ทุกอย่าง

แน่นอนว่าในชนบทเองก็มีอะไรให้เล่นหลายอย่างเหมือนกัน แต่มันพัฒนาได้ไม่เท่าในเมืองหรอก

หลังเล่นบาสเกตบอลเสร็จ เจ้าใหญ่ก็เดินกลับไปที่บ้านของคุณอา เมื่อไหร่ที่เขาได้ทำงานในอนาคต เขาก็จะเก็บเงินไว้ซื้อบ้านเพื่อตั้งตัวในเมือง จากนั้นก็พาพ่อแม่มาอยู่ด้วย

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เอ็นดูซูสวิ่นน้อยจังค่ะ แต่กระต่ายมันก็น่ารักอยู่นะคะ ถ้าไม่คิดว่าเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารก็ทำใจกินไม่ลงเหมือนกัน

เจ้าใหญ่จะเป็นเด็กเมืองกรุงแล้วค่ะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset