บทที่ 230 ฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

บทที่ 230 ฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
โดย

บทที่ 230 ฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

หากกล่าวด้วยคำพูดของคนรุ่นหลัง ยิ่งพวกเขายากจนเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งมีลูกมากขึ้น และเมื่อมีลูกมากขึ้น พวกเขาก็ยากจนมากขึ้น

ทุกยุคสมัยมีบรรทัดฐานของตัวเอง ในยุคนี้พวกเขาไม่มีความตระหนักรู้ถึงการเลี้ยงดูเด็กเลย

ต่อให้มีก็นับเป็นส่วนน้อยมาก

ถือว่าดีแล้วตราบใดที่เด็ก ๆ มีกินหลังจากถือกำเนิด พ่อแม่อย่างพวกเขาก็ไม่ใส่ใจอะไรมากนัก

นี่คือการที่วันปีใหม่ของปี 1976 ผ่านพ้นไป

ในวันที่สองของวันปีใหม่ พี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองก็พาสามีและลูก ๆ มาเยี่ยม

หลังต้อนรับทั้งสองครอบครัวเสร็จ หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ทำตามประเพณีประจำบ้าน พวกเขาพาเด็ก ๆ เข้าเมืองไปถ่ายรูปและดูหนัง

ปี 1976 ถูกกำหนดไว้ว่าเป็นปีที่ไม่ธรรมดา

หลาย ๆ สิ่งเกิดขึ้นในปีนี้ แม้แต่หลินชิงเหอยังไม่ค่อยได้เข้าอำเภอบ่อยนัก

เธอเองก็สั่งเจ้าใหญ่ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมบางอย่างของนักเรียนในตอนที่มีเวลาว่าง เจ้าใหญ่เห็นความกังวลของแม่จึงตอบตกลง

ปีนี้สังคมภายนอกไม่สงบสุขอย่างมาก เมื่อโจวชิงไป๋ออกไปซื้อยาฆ่าแมลง เขาก็เกือบจะมีปัญหา แต่เขาก็สามารถทนต่อการสอบสวนได้และกลับมาโดยไม่มีปัญหาใด ๆ

แต่หลินชิงเหอยังมีความหวาดกลัวอยู่ เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านรู้ว่าภายนอกมีพายุอีกลูกหนึ่ง เขาจึงไม่ได้ส่งโจวชิงไป๋ออกไปอีก

ความเคลื่อนไหวนี้คงอยู่ต่อไปจนกระทั่งถึงปลายปี มันก็ได้คลี่คลายลง

ฝ่ายผลิตของพวกเขานับว่าปลอดภัยกันดี แต่คนจำนวนมากในฝ่ายผลิตอื่นกลับไม่เป็นอันอยากทำงาน

โดยเฉพาะหลังจากที่ความเคลื่อนไหวใหญ่ได้จบลง หลังบรรดาคนไม่ดีถูกจับตัว มันก็แทบจะกลายเป็นการเฉลิมฉลอง

หลินชิงเหอไม่ได้ออกจากหมู่บ้านบ่อยนักตั้งแต่เริ่มจนจบ เธอยังคงเก็บสะสมเนื้อจากเม่ยเจี่ยอยู่ แต่ก็เก็บเนื้อพวกนั้นเข้ามิติจนหมด อย่างไรมันก็ไม่เสียอยู่แล้ว ส่วนเรื่องจะเข้าอำเภอนั้น เธอไม่มีแผนที่จะเข้าไปในปีนี้

ทุกคนที่โรงเรียนต่างถกเถียงเรื่องนี้กัน

“ไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นนะ” ครูใหญ่เอ่ยด้วยความรู้สึกหลากหลาย

หลินชิงเหอไม่รู้ว่าจะพูดออกไปอย่างไรดี แต่เป็นเฉินซานที่เอ่ยออกมา “ครูใหญ่วางใจเถอะครับ คนชั่วพวกนั้นแพ้แล้ว ในอนาคตมันจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน”

เขาวางแผนจะกลับไปเยี่ยมญาติที่อยู่ในเขตเทศบาลในปีนี้ ซึ่งเฉินซานชายชั่วนี้มาจากเขตเทศบาล แต่หลังจากที่มีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยและเดินทางไปที่มณฑลอื่น

ครูคนอื่น ๆ คิดว่าเขาได้รับข่าวอะไรบางอย่างมาก็กรูกันมาถาม

เฉินซานมองดูหลินชิงเหอ

จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมแพ้กับหลินชิงเหอเลย

เขารู้ว่าหลินชิงเหอหยุดสายตาไว้ที่ชายชนบทอย่างโจวชิงไป๋ ซึ่งเขาไม่เข้าใจเลยว่าหญิงผู้โดดเด่นและเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างเธอไปชอบโจวชิงไป๋ชายเงียบขรึมผู้ไม่มีอนาคตได้อย่างไร?

นี่จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงยังทดสอบหลินชิงเหออย่างต่อเนื่อง

เพียงแต่ว่าหลินชิงเหอไม่ยอมให้เขามีความหวังใด ๆ เลย

อย่างเช่นในครั้งนี้ที่เขามองมา หลินชิงเหอได้แต่เพ่งมองกระดาษในมือ ไม่สนว่าเขาจะได้ข่าวอะไรมาหรือไม่

“ครั้งนี้ที่กลับไปผมก็ได้ยินมาเหมือนกันครับ แต่ไม่ได้แพร่งพรายออกไป” เฉินซานเอ่ยอย่างชวนให้เข้าใจผิด

ทุกคนได้ยินแล้วก็มีสีหน้ายินดี

หลินชิงเหอแค่นเสียงในใจ ชายชั่วนี่ช่างมีทักษะในการปลอบคนเหมือนกันนะ

เขาพูดอะไรงั้นเหรอ? บอกได้ว่าเขาไม่ได้พูดอะไรเลย

บอกว่าในอนาคตจะดีขึ้นเรื่อย ๆ นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรอกเหรอ? ใครจะกล้าบอกล่ะว่าในอนาคตมันจะแย่ลงเรื่อย ๆ? ขืนบอกแบบนี้ก็โดนสังหารน่ะสิ

ในปี 1976 หลินชิงเหอมีความระมัดระวังอย่างมาก ขณะที่ระวังตัวเธอก็กระตือรือร้นอย่างมากด้วย เพราะในปีหน้าคือปี 1977 ที่เธอคาดหวังอย่างสูง

และมันก็เป็นปีใหม่ที่ต่างจากเดิม

ช่วงเดือนตุลาคมในครึ่งปีหลังนี้ ทางชนบทก็ง่วนกับการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วง หลินชิงเหอเริ่มเดินทางเข้าอำเภอเมื่อมีเวลาว่างและขายเนื้อที่เธอสะสมในปีนี้ออกไป

เธอทำกำไรได้เกือบ 300 หยวนและซื้อข้าวของเครื่องใช้บางอย่างจากเสิ่นอวี้

ปี 1976 ผ่านไปเร็วมาก

โดยไม่ต้องเอ่ยก็รู้ว่าหลินชิงเหอใส่ของไปอย่างเต็มที่ในงานฉลองปีใหม่ปีนี้ เพราะนับจากปีหน้าเป็นต้นไป เธอกับเจ้าใหญ่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว

ทั้งเธอกับเจ้าใหญ่ต้องได้ที่นั่งในมหาวิทยาลัยให้ได้

แน่นอนว่าเจ้าใหญ่ยังไม่รู้ในสิ่งที่หลินชิงเหอคิด หลังเขาสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปลาย หลินชิงเหอก็ไม่ปล่อยให้เขาทำข้อสอบ กลับให้เขารอคอย

หลินชิงเหอเคยพูดเรื่องนี้กับโจวชิงไป๋เมื่อนานมาแล้ว เขาไม่คัดค้านใด ๆ แต่กลับเงียบไปเล็กน้อยเท่านั้น

ในเดือนตุลาคมของปี 1977 ก็มีประกาศการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปทั่วทั้งประเทศจีนว่าจะมีการสอบเกิดขึ้นหนึ่งเดือนหลังจากนั้น

เหล่าบัณฑิตหนุ่มสาวในเมืองทั้งหลายที่อยู่ในชนบทต่างฮือฮา

พวกเขาวิ่งวุ่นไปขอยืมหนังสือในทุกที่ พวกเขาเองก็ไม่ได้เข้าทำงานในทุ่งนาและเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องเพื่อทบทวนบทเรียน

นี่คือหนทางเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขาจะกลับเข้าเมืองได้ พวกเขาจะพลาดได้อย่างไรล่ะ? หลังจากใช้เวลาอยู่ในชนบทมาตั้งหลายปี พวกเขาก็อยากกลับเข้าไปในเมืองใจจะขาด พอกันทีกับชีวิตชนบท!

“ช่างโชคร้ายโดยแท้ ถ้าพวกเขากลับเข้าไปในเมืองแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับสามีและลูก ๆ เช่นเดียวกับภรรยาและลูก ๆ ของพวกเขากัน?” หลังจุดบุหรี่มวนใหญ่สูบแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็บอกโจวชิงไป๋พลางย่นคิ้ว

ลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านแต่งงานกับบัณฑิตหนุ่มคนกรุงคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ทุกอย่างก็เป็นปกติดี แต่ตอนนี้เขากลับทุ่มเทความหวังทั้งหมดไปกับการเรียน

หากเขากลับเข้าไปในเมืองหลังจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวและหลานชายของเขาล่ะ?

ยิ่งกว่านั้นเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดในช่วงสั้น ๆ ด้วย

บัณฑิตหนุ่มสาวหลายคนที่เข้ามาในชนบทต่างแต่งงานมีลูกกันหมด ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตชายหรือหญิง พวกเขาต่างก็อยากจะสอบผ่านและเข้ามหาวิทยาลัยในตอนที่มีการฟื้นฟูการสอบเข้ากันทั้งนั้น แล้วครอบครัวของพวกเขาจะทำอย่างไร?

ครอบครัวของพวกเขาตามเข้าไปไม่ได้ การย้ายทะเบียนบ้านถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาไม่มีทั้งบ้านหรืองานที่จะทำ ดังนั้นลืมเรื่องย้ายทะเบียนบ้านไปได้เลย

โจวชิงไป๋ไม่เอ่ยอะไร เขาจะปรึกษากับภรรยาหลังจากกลับถึงบ้านแล้ว

หลินชิงเหอส่ายหน้า เธอควรจะพูดอะไรดีล่ะ? การกลับเข้าเมืองเป็นปัญหาใหญ่ และยังเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงด้วย ไม่ช้าหรือเร็วมันต้องเกิดขึ้น บัณฑิตหนุ่มสาวส่วนมากต่างไม่อยากอยู่ในทุ่งนาขุดหาอาหารกินกันทั้งนั้น

ในอนาคตจะเปิดเสรีกว่านี้และไม่เหมือนกับเมื่อก่อน อย่างน้อยพวกเขาก็เช่าบ้านอยู่ในเมืองได้

แต่สำหรับ 2-3 ปีนี้ มันก็จะยังเป็นเหมือนเดิม

หัวใจคนเราช่างโลเลนัก เวลา 2 ถึง 3 ปี นับว่าเพียงพอแล้วที่ทำให้คนหลายคนหรือหลายครอบครัวแยกจากกันได้

แต่จะทำอะไรได้ล่ะ? ผู้คนในยุคนี้มักผ่านความยากลำบากมาหมดแล้ว

“คุณครูหลินคะ ครูมีหนังสืออยู่ที่บ้านบ้างไหมคะ ให้เรายืมสักเล่มสองเล่มเถอะค่ะ” บัณฑิตสาวสองคนเข้ามาหาเธอ

“พวกเธอไปขอที่โรงเรียนเถอะ หนังสือที่ครูมีอยู่ถูกยืมไปแล้ว” หลินชิงเหอบอก

เธอกับเจ้าใหญ่ยังมีหนังสือกันคนละชุด แต่มันยังเหลือเวลาอีก 1 เดือน ดังนั้นเธอกับเจ้าใหญ่ก็ยังคงมีเวลาศึกษามันอย่างละเอียด

เจ้าใหญ่ขยันทบทวนตำราเก่าและเรียนรู้ตำราใหม่อย่างมาก

เดิมทีหลังจบการศึกษาในภาคเรียนที่สองของระดับมัธยมปลายในปีนี้ เขาอยากจะเข้ามหาวิทยาลัยกรรมาชีพและการทหาร แต่พ่อของเขาก็ห้ามไว้

และคนอื่นก็ได้รับเลือกให้เข้าไปแทน

ในตอนแรกเจ้าใหญ่ทั้งโมโหและสับสน แต่พ่อของเขาบอกให้รอก่อน จนกระทั่งข่าวการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาถึง มันจึงได้จุดประกายความหวังของเขาในทันที

ยิ่งกว่านั้นนี่ยังเป็นโอกาสยอดเยี่ยมสำหรับเขา เจ้าใหญ่ในตอนนี้จึงขยันเรียนหนักมาก

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวให้การสนับสนุนหลานชายของพวกเขามาก พวกเขาหวังว่าเขาจะได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยและนำเกียรติมาให้กับวงศ์ตระกูล

พวกเขาจึงกระตุ้นให้หลินชิงเหอตุ๋นซุปไก่บำรุงร่างกายเขาอยู่เนือง ๆ

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แปลตอนนี้แล้วก็นึกถึงตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยค่ะ จำได้ว่ามันดุเดือดขนาดไหน

ผู้อ่านคนไหนเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาบ้างแล้วคะ รู้สึกอย่างไรกันบ้าง

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset