บทที่ 231 ควันสัญญาณ

บทที่ 231 ควันสัญญาณ
โดย

บทที่ 231 ควันสัญญาณ

ปกติแล้วหลินชิงเหอไม่ลังเลกับเรื่องนี้ เธอเชือดไก่มาตุ๋นบำรุงร่างกายให้เจ้าใหญ่และตัวเธอเองเช่นกัน

แม้จะมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว หลินชิงเหอก็ยังสอนหนังสือต่อ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเธอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนกัน

แม้แต่ตอนที่หลินชิงเหอลางานเพื่อไปเป็นเพื่อนเจ้าใหญ่ในวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนก็ยังคิดว่าเธอแค่ไปเป็นเพื่อนเขา

เจ้าใหญ่ตัวสูงมากแล้ว แต่เขายังเป็นเด็กอายุ 13 ปีเท่านั้น

เด็กอายุ 13 ปีคนนี้สูงถึง 175 เซนติเมตรแล้ว เขาสูงเลยศีรษะของหลินชิงเหอมาครึ่งหนึ่ง

จากการบำรุงอย่างพิถีพิถันของหลินชิงเหอและการฝึกศิลปะป้องกันตัวจากโจวชิงไป๋ เขาก็เติบโตอย่างรวดเร็ว บอกว่าเขามีอายุ 17 หรือ 18 ปีก็เชื่อ

ในวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย โจวชิงไป๋เองก็มาส่งทั้งแม่และลูกด้วย พวกเขาขี่จักรยานกันไป 2 คัน

เจ้าใหญ่ขี่จักรยานเอง ส่วนหลินชิงเหอซ้อนท้ายโจวชิงไป๋ พวกเขาเข้าไปในอำเภอเพื่อไปสอบ

หลินชิงเหอเข้าไปในห้องสอบเดียวกับเจ้าใหญ่ ขณะที่โจวชิงไป๋รออยู่ด้านนอก

หลังเข้าไปในห้องสอบแล้ว หลินชิงเหอกับเจ้าใหญ่ก็เห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตามากมาย

เฉินซานกับบัณฑิตหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ก็เห็นหลินชิงเหอกับเจ้าใหญ่เช่นกัน

การเห็นแม่ลูกคู่นี้ทำให้พวกเขามีสีหน้าน่าเกลียดไป ไม่ใช่เรื่องเกินไปนักหากจะบอกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในครั้งนี้เหมือนกับการที่คนนับพันต้องเบียดอัดตัวอยู่บนสะพานท่อนซุงท่อนเดียว

แต่ไม่คิดเลยว่าแม่ลูกคู่นี้จะมาสอบด้วย

สำหรับแม่ลูกคู่นี้แล้ว คนหนึ่งเรียนรู้ด้วยตัวเอง อีกคนหนึ่งบอกได้ว่าเป็นที่หนึ่งของโรงเรียนมัธยมปลายประจำอำเภอ

หลินชิงเหอนั้นยังไม่เป็นไรเพราะทุกคนคิดว่าเธอเรียนรู้ด้วยตัวเองจนถึงระดับมัธยมต้นเท่านั้น บางทีเธออาจจะอยากมาเสี่ยงโชคดู แต่เจ้าใหญ่ถือว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการเรียนรู้อย่างแท้จริง

เฉินซานเป็นฝ่ายมาทักเธอก่อน “คุณครูหลินเองก็ร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยเหรอครับ”

“ค่ะ คุณครูเฉินเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ?” หลินชิงเหอตอบ

จากนั้นเธอก็นำทางเจ้าใหญ่เข้าสนามสอบ ไม่พูดคุยกับบัณฑิตหนุ่มคนนั้นแม้แต่น้อย

ยิ่งกว่านั้นในบรรดาบัณฑิตจำนวนมากมาย มีแค่เฉินซานเท่านั้นที่ได้รับคัดเลือก เธอไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างสำหรับคนอื่น ๆ แต่จากความทรงจำของเธอแล้ว พวกเขาสอบไม่ผ่านกันหมด

หลังจากกระดาษข้อสอบถูกส่งมา หลินชิงเหอก็กวาดสายตาดูเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นเธอก็โล่งอกอย่างมาก ข้อสอบไม่ได้ยากเลย ความรู้ที่ถามครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดที่เรียนมา และจุดที่ได้คะแนนเยอะก็ต้องใช้ความจำอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะรู้หรือไม่ก็ตาม

ยิ่งกว่านั้นเธอยังทดสอบเจ้าใหญ่ในเรื่องพวกนี้แล้ว หลินชิงเหอทำได้ ดังนั้นเจ้าใหญ่ก็ทำได้

ดังนั้นหลินชิงเหอจึงรู้สึกมั่นใจอย่างมาก หลังทำข้อสอบเสร็จ เธอก็ไม่ลืมที่จะตรวจทานซ้ำอีกครั้งอย่างละเอียด แม้เธอจะเขียนเสร็จก่อนคนอื่นนานแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ส่งกระดาษคำตอบจนกว่าเวลาจะหมด

เมื่อหมดเวลา หลินชิงเหอจึงเป็นคนแรกที่ส่งกระดาษคำตอบในทันที เบื้องหลังเธอเป็นนักเรียนหลายคนที่กำลังบ่นพึมพำเบา ๆ

บางคนที่มีจิตใจอ่อนไหวพลันทรุดลงกับโต๊ะสอบและร้องไห้สะอึกสะอื้นหลังได้รับกระดาษข้อสอบแล้ว

หลินชิงเหอไปรอตรงจุดนัดพบเพื่อรอเจ้าใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานเจ้าใหญ่ก็ออกมาพร้อมกับหานสวี้เจี๋ย

หลินชิงเหอนิ่งไป นี่มันการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนะ ทำไมเธอถึงยังเจอคน ๆ นี้อยู่อีกล่ะ?

“สวัสดีครับคุณน้า” หานสวี้เจี๋ยเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ

“สวัสดีจ้ะสวี้เจี๋ย” หลินชิงเหอยิ้ม

หลังการสอบเสร็จสิ้น หลินชิงเหอจึงให้เจ้าใหญ่เอ่ยลาเด็กคนนี้ที่มีกลิ่นอายความเป็นพระเอกผู้ผดุงความยุติธรรมอย่างแรงกล้า

หลังสอบเสร็จแล้ว ก็เป็นปกติที่จะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

หลินชิงเหอพาเจ้าใหญ่ไปซื้อของที่ต้องการเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย จากนั้นก็กลับบ้าน

“แม่ครับ แน่ใจเหรอว่าผมจะสอบผ่าน?” เจ้าใหญ่หัวเราะ

“ข้อสอบไม่ได้ยากเกินไปนักหรอก ลูกเองก็ทำในสิ่งที่แม่เคยทบทวนให้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง จะสอบผ่านก็ไม่มีปัญหา” หลินชิงเหอเอ่ยขณะนั่งซ้อนท้ายโจวชิงไป๋

“แม่ทำข้อสอบเป็นไงบ้างครับ?” เจ้าใหญ่ยิ้มกริ่ม

“แม่เองก็ไม่รู้” หลินชิงเหอส่ายหน้า เธอคาดเดาว่าหากไม่มีอุบัติเหตุอะไร กระดาษคำตอบทุกแผ่นก็น่าจะมีความถูกต้องอยู่ที่ 97 หรือ 98 เปอร์เซ็นต์

หลังกลับถึงบ้าน โจวชิงไป๋ก็คุยกับลูกชายคนโตเป็นการส่วนตัว และเป็นในเรื่องเดิม ๆ

ก่อนหน้านี้โจวชิงไป๋เคยถามเขาลอย ๆ ทำให้เขาสงสัยว่าพ่อถามเขาแบบนั้นทำไม?

แต่ตอนนี้เจ้าใหญ่เข้าใจแล้วว่าเหตุที่พ่อถามนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้

เจ้าใหญ่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ผมมีคำถามหนึ่งที่ผมเองก็ไม่แน่ใจ ส่วนที่เหลือผมเข้าใจแล้ว สำหรับแม่ของผม ผมเดาว่าแม่ทำได้หมด แม่น่ะเก่งกาจเกินไปแล้ว”

พูดถึงแม่ของตัวเองขึ้นมา เจ้าใหญ่ก็มีท่าทางเคารพรักใคร่เต็มเปี่ยม

เป็นแม่ของเขาที่ให้แก่นของเนื้อหาไว้ทบทวน ซึ่งสิ่งที่สอบไปก็ออกแบบเดียวกับที่เขาเคยเรียน ต่อให้จะมีการพลิกแพลงบ้างก็ไม่ห่างไกลไปจากนั้น

ดังนั้นเจ้าใหญ่จึงเชื่อว่าแม่ของเขาต้องเก่งกว่าเขาแน่ คะแนนของเธอจะต้องสูงกว่าเขา

โจวชิงไป๋มองลูกชายคนโตอย่างตำหนิ เจ้าใหญ่จึงเอ่ยขึ้น “พ่ออย่ามองผมแบบนั้นสิครับ ผมเดาว่าทั้งอำเภออาจหาใครเสมอเท่าแม่ของผมไม่ได้อีกแล้ว”

ในสายตาของเจ้าใหญ่ คนที่ได้ที่หนึ่งในอำเภอครั้งนี้ต้องเป็นแม่ของเขาอย่างแน่นอน

แต่แม่ของเขาช่างถ่อมตัวนัก เธอผละจากไปโดยไม่พูดอะไร เจ้าใหญ่เลยไม่พูดอะไรออกมา

ในตอนแรกทุกคนไม่รู้ว่าหลินชิงเหอเองก็ร่วมสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย บัณฑิตหนุ่มสาวพวกนี้ก็ไปสอบเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?

ดังนั้นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเธอจึงไม่ใช่ความลับในฝ่ายผลิต

เมื่อท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวรู้เรื่อง พวกเขาก็อึ้งไป

สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง และสะใภ้สามถึงกับวิ่งมาหาที่บ้าน

“แม่เจ้าใหญ่ เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยจริง ๆ เหรอ?” สะใภ้ใหญ่กับคนอื่น ๆ ถาม

“ใช่จ้ะ คือฉันเบื่อไม่มีอะไรจะทำก็เลยไปลองสอบดู” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม

“สอบแล้วเป็นไงบ้างล่ะจ๊ะ” สะใภ้สามถาม

“ยังไม่รู้เลย ฉันก็ทำไปเท่าที่ฉันรู้ จะถูกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย” หลินชิงเหอยังคงถ่อมตัว

เธอไม่อาจพูดอวดได้หรอกถูกไหม?

“ถ้าเธอสอบเข้าได้ เธอต้องได้ขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์แน่ ๆ เลย” สะใภ้รองเอ่ยอย่างชื่นชม

สะใภ้สี่คนนี้ช่างกล้าทำในสิ่งที่พวกหล่อนกลัวที่จะทำ เธอถึงกับสอบเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งมีแต่บรรดาบัณฑิตเท่านั้นที่จะทำได้

ในสิบลี้แปดหมู่บ้านไม่อาจหาคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างใหญ่หลวงได้แบบนี้อีกแล้ว ยิ่งกว่านั้นเธอยังเกิดมาในครอบครัวที่อยู่กับดินกินกับทราย ประวัติสวยหรูไม่มี และยังมีบรรพบุรุษที่เป็นชาวนายากจนสิบแปดชั่วรุ่นอีกด้วย

“มันคงจะไม่มีอะไรหรอก” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม

เพื่อนบ้านจากทั่วทั้งสารทิศพากันมาถามเธอ ทำให้หลินชิงเหอหรือคุณครูหลินมีชื่อเสียงขึ้นมา

ไม่ว่าเธอจะสอบผ่านหรือไม่ เพียงแค่ความรู้ความสามารถในด้านการศึกษาที่เห็นในไม่กี่วันก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าเธอมีแรงขับเคลื่อนขนาดไหนแล้ว

พวกเขาเคยพูดว่าเธอไม่รู้จักทำงาน ดูเหมือนพวกเขาจะเข้าใจคุณครูหลินผิดไปจริง ๆ

นี่คือคนบางคนที่อุทิศตัวให้กับการเรียนรู้อย่างแท้จริงและยอมรับทุกความยากลำบากได้ นับเป็นจิตวิญญาณที่เหนือกว่าคนจำนวนมาก

ท่านพ่อโจวเองก็ดีใจ หากสะใภ้สี่สอบผ่าน ในครั้งนี้ครอบครัวของเขาก็จะมีนักศึกษามหาวิทยาลัยถึง 2 คน

นี่คือควันสัญญาณที่มาจากบรรพบุรุษโดยแท้

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เดาว่าทั้งแม่ทั้งเจ้าใหญ่สอบผ่านนะคะ ข้อสอบยากกว่านี้แม่ยังทำมาแล้ว

หานสวี้เจี๋ยจะมีบทบาทอะไรต่อไปไหมนะ เห็นปรากฏตัวสองรอบแล้ว

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset