บทที่ 268 หญิงคนชั่ว

บทที่ 268 หญิงคนชั่ว
โดย

บทที่ 268 หญิงคนชั่ว

คะแนนดีไม่ใช่ว่าจู่ ๆ จะผุดขึ้นมาได้เอง เธอร่ำเรียนวิชาอย่างละเอียดรอบคอบตลอด

ในช่วงนี้ท่านแม่โจวก็กลับมาพอดี เมื่อนางกลับมาดื่มน้ำและเห็นว่าหลินชิงเหอกำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ลานบ้าน นางก็ไม่รบกวนเธอ

ตอนที่นางไปถึงลานตากธัญพืช นางก็คุยกับสหายเก่าแก่ว่า “แม่เจ้าสามเป็นคนทุ่มเทจริง ๆ ตอนนี้หล่อนเรียนหนังสืออยู่กับบ้าน ไม่ว่าจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยหรือที่บ้าน หล่อนก็ไม่เคยเถลไถลเลย”

สหายเก่าของนางได้ฟังแล้วก็พากันเอ่ยชื่นชม

“กลับมาคราวนี้หล่อนผอมลงมาก ผอมจนเห็นขากรรไกรชัดเลย” ท่านแม่โจวพูดต่อ

“ที่บ้านเธอมีไก่ตั้งมากมาย เธอก็เอาไปบำรุงให้แม่เจ้าใหญ่บ้างสิ” หญิงชรานางหนึ่งเอ่ย

“ช่วงนี้ได้เวลาบำรุงร่างกายแล้วล่ะ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว แม่ชิงไป๋ เธอช่างโชคดีจริง ๆ ในละแวกรอบ ๆ ตอนนี้มีใครไม่อิจฉาแม่ชิงไป๋บ้างล่ะ? เมื่อก่อนเป็นลูกชายที่ถูกยกย่อง มาตอนนี้เป็นลูกสะใภ้ไปแล้ว” หญิงชราอีกนางเอ่ยสมทบ

แม้ใน 2 ปีที่ผ่านมานี้จะมีนักศึกษาคนอื่น ๆ สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ก็ยังมีจำนวนน้อยนัก และยิ่งกว่านั้นก็คือไม่มีใครเลยได้รับคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวง

ต้องบอกว่าคนตระกูลโจวรุ่นที่เจ็ดคนนี้ช่างโชคดีนัก

คนตระกูลโจวรุ่นที่เจ็ดก็คือท่านพ่อโจว ในบรรดาคนรุ่นนี้ทั้งหมู่บ้านโจวเจี่ย ท่านพ่อโจวจัดอยู่ในอันดับเจ็ด

ท่านแม่โจวหัวเราะขณะสนทนากับสหาย พวกนางสามารถคุยกันเรื่องหลินชิงเหอขยันเรียนได้เป็นวัน ๆ เลยทีเดียว

ในใจหลินชิงเหอไม่มีอะไรอย่างอื่นนอกจากจดจำประโยค ทำความคุ้นเคยกับไวยากรณ์ และจดสิ่งที่ได้จำไว้ลงกระดาษ

แม้ตอนอยู่บนรถไฟ เธอก็ทำแบบนี้

เมื่อถึงเวลาสิบโมงครึ่ง ก็เกือบได้เวลาทำอาหาร ในตอนนี้เองหลินชิงเหอจึงได้เริ่มเข้าครัว

เธอทำผัดไส้หมูกับผักดอง อาหารธรรมดา ๆ จานนี้กินอย่างไรก็ไม่เบื่อ

เนื้อสามชั้นถูกหั่นจนมีขนาดเท่านิ้วมือ ปรุงแล้วกินแบบสลัดเย็น ช่างอร่อยล้ำยิ่งนัก

ส่วนอาหารอีกอย่างก็คือหมูตุ๋น

เธอซื้อเนื้อหมูเป็นจำนวนมาก ซึ่งมันคงความสดได้ไม่นานท่ามกลางสภาพอากาศแบบนี้ เธอจึงทำอาหารในปริมาณมาก ส่วนที่เหลือก็โรยเกลือถนอมเอาไว้

ท่านแม่โจวกลับมากินอาหารที่บ้าน ส่วนคนอื่น ๆ หลินชิงเหอใช้วิธีส่งไปให้เมื่อถึงเวลา

โจวชิงไป๋ ท่านพ่อโจว และเด็กชายทั้งสองต่างหมดแรง

หลินชิงเหอที่นำอาหารไปส่ง เดินตรงไปหาท่านพ่อโจวในทันที “รีบกินเร็วค่ะคุณพ่อ จากนั้นก็กินถั่วเขียวต้มนะคะ ฉันแช่เย็นมาแล้วค่ะ”

“อืม” ท่านพ่อโจวอายุมากขนาดนี้แล้ว แต่โชคดีที่เขายังมีสุขภาพแข็งแรงอยู่

และเขาก็พักผ่อนบ่อย ๆ ด้วย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขายังทำงานไหว

หลินชิงเหอรบเร้าให้พวกเขานอนพักใต้ต้นไม้หลังกินเสร็จ “รอจนกว่าจะได้ยินแตรสัญญาณก่อนกลับไปทำงานต่อนะคะ สภาพอากาศแบบนี้ฝนไม่น่าตกหรอก”

ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆ ทั้งสว่างและเจิดจ้าด้วยแสงอาทิตย์

หลินชิงเหอไม่ได้อยู่นาน เธอกลับไปก่อนหลังเก็บรวบรวมจานชามที่ใช้แล้ว

เธอแช่ถั่วเขียวจำนวนหนึ่งเตรียมทำเป็นอาหารมื้อเย็น ใครจะทนสภาพอากาศแบบนี้ไหวกันล่ะ?

เมื่อกลับมาถึงบ้าน โจวชิงไป๋ก็ถือกระต่ายอ้วนตัวหนึ่งมาด้วย

มันถูกจับได้ในทุ่งข้าวสาลี และมีตัวอ้วนท้วนอย่างเห็นได้ชัด

แน่นอนว่ากระต่ายตัวนี้จะถูกนำไปตุ๋น

ในช่วงการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนนี้ ท่านแม่โจวก็สั่งให้โจวชิงไป๋เชือดไก่ตัวหนึ่งมาบำรุงให้หลินชิงเหอ

หลินชิงเหอไม่หวงไว้คนเดียว ทั้งครอบครัวต่างได้กินมันด้วยกัน

ทันทีที่การเก็บเกี่ยวฤดูร้อนสำเร็จ ทุกคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก

หลินชิงเหอไม่ได้นำธัญพืชไปขายต่อแล้ว

เธอไม่สนใจเงินน้อยนิดที่ได้จากการขายธัญพืช ไม่ต้องพูดถึงว่ามันเป็นงานหนักเลย มันยังเสี่ยงอยู่อีกด้วย ต่อให้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปมากแล้วก็ตาม

สินค้าที่เธอซื้อกลับมาจากไห่หนานทำเงินได้มากกว่าของแบบนี้เสียอีก

เธอจึงไม่อยากทำอีกต่อไป และยังรู้สึกขี้เกียจด้วยสภาพอากาศร้อนแบบนี้ด้วย

แต่สำหรับชาวนาแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะคนในยุคนี้ เพราะหลังเก็บเกี่ยวฤดูร้อนเสร็จสิ้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะว่างงาน

หลังธัญพืชถูกเก็บเกี่ยว ก็ถึงเวลาที่จะไถพรวนและปลูกธัญพืชสำหรับฤดูกาลต่อไป

โจวชิงไป๋กลับมาบ้านในตอนเย็น อาหารที่บ้านดูเรียบง่าย แต่ให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างมากและมีรสอร่อย

กะหล่ำปลีหัวเล็กกับไข่เค็มถูกวางเคียงกับโจ๊กขาว เรียบง่ายแต่มีรสชาติล้ำเลิศ

ช่วงฤดูร้อนนี้ไม่จำเป็นต้องทำอะไรวุ่นวายซับซ้อนหรอก อากาศร้อนทำให้ความอยากอาหารของผู้คนลดลง

ในเย็นนั้นเอง หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ออกไปว่ายน้ำ

หลินชิงเหอนั่งบนก้อนหินและเอาเท้าแช่น้ำ ขณะที่โจวชิงไป๋ลงไปอยู่ในน้ำ เขาชอบว่ายน้ำมากและมักออกมาว่ายน้ำทุกสามวันหรือราว ๆ นั้น

หลังว่ายน้ำมากกว่าครึ่งชั่วโมง หลินชิงเหอก็เร่งเร้าให้โจวชิงไป๋กลับบ้าน

โจวชิงไป๋ขึ้นมาจากน้ำ เนื่องเพราะไม่มีใครอยู่ เขาจึงลงมือเปลี่ยนกางเกงชั้นในตรงนั้น เพื่อจะได้ไม่รู้สึกเปียกแฉะไม่สบายตัว และเมื่อถึงบ้านแล้วก็จะได้เข้านอนเลย

หลินชิงเหอมองเขาโดยไม่กระพริบตา โจวชิงไป๋ถึงรู้ตัวเมื่อมองสบ มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย สายตาที่มองภรรยาก็ดูล้ำลึกขึ้นมา

หลินชิงเหอหน้าเหวอไป เธอตีความจากสายตาของโจวชิงไป๋ได้ว่า ‘รอให้เรากลับถึงบ้านก่อนเถอะ แล้วผมจะให้คุณดูเต็ม ๆ ตาเลย’

คนทั้งคู่เดินกลับบ้าน และรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนย่องออกมาตอนกลางดึกและมุ่งหน้าไปที่ด้านหลังภูเขา

“นั่นไม่ใช่หม่าสี่หรอกเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างสงสัย “ดึกป่านนี้แล้วเขาออกมาทำอะไรกัน?”

“ไปหาหวังหลิงน่ะ” โจวชิงไป๋ตอบโดยไม่ต้องคาดเดา

ถึงตอนนี้หลินชิงเหอก็นึกขึ้นมาได้ว่าหวังหลิงเคยอยู่กับหม่าสี่มาตั้งแต่แรกแล้วตอนที่พวกเขาถูกหม่าสามจับได้ จากนั้นหล่อนกับโจวเหอก็ถูกรุมประนามในท้ายที่สุด

“ไม่คิดเลยค่ะว่าสองคนนี้จะยังติดต่อกันอยู่” หลินชิงเหอตอบ

โจวชิงไป๋ไม่ได้เอ่ยอะไร

ตอนนี้ชื่อเสียงของหวังหลิงเน่าเฟะแล้ว สิ่งที่เขาไม่ได้บอกภรรยาก็คือหวังหลิงถึงกับเคยมาหาเขาครั้งหนึ่ง และเสนอตัวว่าหากเขาเหงาก็ไปหาและเล่นกับหล่อนได้ยังที่ของหล่อน แถมหล่อนยังไม่คิดเงินด้วย

โจวชิงไป๋เมินหล่อนโดยไม่ต้องบอก เขารู้สึกรังเกียจอย่างมาก

มันคงดีกว่าที่จะไม่บอกภรรยาในเรื่องแบบนี้ เพื่อไม่ให้เธอโมโหจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง

เมื่อทั้งคู่มาถึงบ้าน ฝ่ายดำก็ได้กดทับฝ่ายขาวรอบหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็หลับไป

วันต่อมา หลินชิงเหอมาหาสะใภ้สามที่บ้านของหล่อน

ขณะที่เธออยู่ที่นั่น เธอก็สนใจเรื่องของหวังหลิงไปด้วย

แม้จะบอกว่าเป็นการใส่ใจ แต่จริง ๆ แล้วเป็นการทดสอบบ เธอไม่อยู่บ้าน และชิงไป๋ของเธอก็เป็นชายชาตรี ทั้งตัวสูงและหน้าตาหล่อเหลา ต่อให้เขาจะดูคล้ำลง แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เขาดูสมชายและหล่อเหลามากขึ้นไปอีก

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลินชิงเหอเชื่อใจในโจวชิงไป๋ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะเชื่อมั่นในตัวหวังหลิง

สะใภ้สามหัวเราะและเอ่ยขึ้น “เธอยังกังวลเรื่องนี้อีกเหรอ น้องชายสี่ไม่ได้ตาบอด เขาจะมองหล่อนได้อย่างไรล่ะ?”

หวังหลิงผู้เป็นหญิงคนชั่วของหมู่บ้านตอนนี้อยู่อาศัยอยู่ที่ด้านหลังภูเขา เนื่องจากแก๊งค์สี่คนได้ล่มสลายไปแล้ว จึงไม่มีใครรุมประณามหล่อนอีก

หล่อนเองก็ยิ่งทำตัวไร้ยางอายมากขึ้น ชายหนุ่มสันดานเสียบางคนถึงกับโดนหล่อนล่อลวง

“เธอยังไม่รู้สินะ ว่าหม่าสี่ไปหาหล่อนบ่อยมากเลยล่ะ เขาทะเลาะกับภรรยาด้วยเรื่องนี้บ่อยมาก และยังมีคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านด้วย หลังภูเขานั่นมีแต่เรื่องฉาวโฉ่ พี่ไม่เคยเห็นคนที่ไร้คุณธรรมแบบนี้มาก่อนเลย เพิ่งจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ตอนนี้ล่ะ หากเป็นเมื่อก่อนหล่อนคงถูกรุมประณามจนตายไปแล้ว” สะใภ้สามเอ่ยอย่างรังเกียจ

“หล่อนไม่ได้ล่อลวงชิงไป๋ของฉันจริง ๆ เหรอคะ?”หลินชิงเหอถาม

“เธออย่ากังวลไปเลย เราทั้งหมดจับตามองให้อยู่ น้องชายสี่ปฏิบัติกับเธอเป็นแก้วตาดวงใจขนาดนี้ มีใครในหมู่บ้านไม่รู้บ้างล่ะว่าเขาถึงกับเดินทางไปหาเธอโดยเฉพาะท่ามกลางฝนตกหนักในคราวที่แล้ว” สะใภ้สามหัวเราะ

หลินชิงเหอรู้สึกโล่งใจหลังได้ยินดังนี้

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พ่อยั่วอะ ขิงนี่มันยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดจริงๆ ค่ะ

หึ นางหวังหลิง อย่าได้มายั่วพ่อนะ หล่อนอย่าสำคัญตัวผิด พ่อไม่มีวันมองหล่อนหรอก

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset