บทที่ 269 ตั้งแผงขายของ

บทที่ 269 ตั้งแผงขายของ
โดย

บทที่ 269 ตั้งแผงขายของ

เชื่อใจคนของเธอก็คือเรื่องหนึ่ง​ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องปกป้องชีวิตสมรสของตัวเองไว้อยู่ดี

หลังได้ยินจากปากของสะใภ้สามแล้ว​ หลินชิงเหอก็วางประเด็นนี้ลง​ และคุยกับสะใภ้สามในเรื่องผลการเรียนของอู่นีแทน

“ในเมื่อผลการเรียนเป็นแบบนี้แล้ว หล่อนต้องขยันให้มากกว่านี้นะคะหากอยากจะเข้าโรงเรียนมัธยมในอำเภอ หล่อนต้องใช้โอกาสตอนปิดเทอมฤดูร้อนนี้พยายามท่องจำบทกวีและเพลงให้มากขึ้นแล้วเขียนออกมา ฉันจะให้ข้อสอบกับพวกเขาไปสองชุดเลยทีเดียวในไม่กี่วันข้างหน้านี้นะคะ” หลินชิงเหอบอก

“ทางพี่ต้องรบกวนเธอแล้ว” สะใภ้สามตอบในทันที

“ไม่รบกวนมากหรอกค่ะ แต่การเรียนหนังสือจะทำให้สมองของเด็ก ๆ ล้าได้ พี่สะใภ้สามกับพี่สะใภ้ใหญ่อย่าประหยัดมากนะคะ อาหารการกินใช้เงินไม่มากหรอกค่ะ สถานการณ์ตอนนี้ดีกว่าแต่ก่อนแล้ว ให้พวกเขาได้กินไข่บำรุงสมองวันละ 2 ฟองนะคะ” หลินชิงเหอโน้มน้าว

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่อยากรับไข่ของพวกหล่อนไว้

ปกติพวกหล่อนไม่ได้ซื้อเนื้อมากขนาดนั้น สิ่งที่เป็นเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียวของครอบครัวก็คือไข่พวกนี้

ในบางครั้งพวกเขาก็ได้กินปลาบางชนิด กุ้ง ปลาหนีชิว ปลาไหล และอื่น ๆ แต่เห็นชัดว่ากินไข่กันมากที่สุด เธอจึงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องถูกนักที่จะรับไข่จากพวกหล่อน

เธอบอกสะใภ้สามให้นำเรื่องนี้ไปบอกสะใภ้ใหญ่เมื่อหล่อนกลับมาถึง จากนั้นหลินชิงเหอก็กลับบ้าน

ทันทีที่เธอออกจากประตูบ้านตระกูลโจว ลิ่วนีก็เดินตามเธอ

ยิ่งเด็กหญิงคนนี้โตขึ้น หล่อนก็ยิ่งสร้างปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ

เป็นเรื่องจริงที่หล่อนเฉลียวฉลาด แต่เห็นชัดว่าหล่อนฉลาดเกินไป คนฉลาดจะต้องรู้จักทำตัวให้เป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่น

แต่คนที่ฉลาดเกินไปจะยิ่งทำให้ผู้อื่นไม่ชอบหน้ามากขึ้น

“อาสะใภ้สี่ รอหนูด้วยค่ะ” ลิ่วนีเอ่ยขึ้นขณะเดินตามเธอ

หลินชิงเหอเหลือบมองหล่อน “ลิ่วนี หนูมีอะไรเหรอ?”

“อาสะใภ้สี่ อาบอกว่าในอนาคตจะอยู่ในเมืองหลวงแล้วไม่กลับมาเหรอคะ?” ลิ่วนีถามตรง ๆ

หลินชิงเหอยิ้ม “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ? บ้านเกิดอาย่อมเป็นบ้านของอา ที่นี่คือรากเหง้าของเรา ต่อให้เราออกไปสร้างเนื้อสร้างตัวในอนาคต เราก็ไม่อาจลืมรากเหง้าของเราได้ ลิ่วนี หนูไม่เห็นด้วยเหรอ?”

ลิ่วนีได้ฟังก็ตอบกลับ “อาสะใภ้สี่คะ ถ้าอาได้อยู่ในเมืองหลวง หนูไปด้วยได้ไหมคะ? หนูทำงานบ้านให้อาได้นะ หนูจะทำความสะอาดบ้านอาทุกซอกทุกมุมเลย แล้วหนูก็ยังซักผ้ากับทำอาหารได้ด้วย”

หลินชิงเหอรู้แจ้งในทันที เห็นไหม เธอพูดถูกแล้ว เด็กหญิงคนนี้ฉลาดเกินไป

“หนูยังไม่อยู่ในสายตาของอาหรอก หนูช่วยแม่ทำงานบ้านที่บ้านหนูไปเถอะ” หลินชิงเหอเอ่ยจบแล้วก็หันหลังเดินกลับบ้าน

ลิ่วนีมองแผ่นหลังของเธอพลางย่นคิ้ว “หล่อนมีชีวิตที่ดีแต่กลับไม่สนับสนุนให้หลานสาวตัวเองก้าวหน้า ช่างใจร้ายนัก มิน่าล่ะทำไมในชีวิตนี้หล่อนถึงมีลูกสาวไม่ได้”

“ลิ่วนี เธอพูดอะไรน่ะ!” อู่นีจ้องเขม็ง

ลิ่วนีสะดุ้งตกใจ หล่อนหันกลับไปมองคนข้างหลังและเอ่ยอย่างไม่พอใจ “พี่ไม่รู้เหรอว่าคนเขาตกใจจนตายได้น่ะ? เดินมาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย!”

“เธอพูดว่าร้ายอาสะใภ้สี่แล้วยังกล้าเล่นลิ้นใส่ตอนที่พี่ได้ยินอีกเหรอ?” อู่นีตอบ

“ไร้สาระ อาสะใภ้สี่เป็นคนดีจะตาย หนูจะพูดว่าร้ายอาเขาได้อย่างไรคะ” ลิ่วนีแค่นเสียงย้อนก่อนหันหลังเดินจากไป

อู่นีรู้สึกรำคาญใจมากจนต้องกลับไปเผาเรื่องนี้กับแม่

สะใภ้สามย่นคิ้วและเอ่ยขึ้น “อย่าไปสนใจหล่อนเลยลูก อาสะใภ้สี่ของหนูไม่ใช่คนที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อย่างหล่อนจะทำอะไรได้หรอก”

หลังตอบลูกสาวแล้ว หล่อนก็อยากถอนหายใจ

ครอบครัวสาขาสองนี้จริง ๆ เลย พวกเขาไม่รู้หรืออย่างไรนะว่าลูกสาวคนที่สองโตมาเป็นคนแบบไหน? ทุกคนรู้เห็นกันหมด แต่สองสามีภรรยาคู่นั้นทำไมถึงไม่เห็นกันนะ?

หลินชิงเหอไม่สนใจเรื่องนี้ อย่างที่สะใภ้สามบอกไว้ เธอจะตกหลุมพรางเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบลิ่วนีได้งั้นหรือ

ในความจริงแล้วหากเธอเป็นคนดี เธอก็จะพาหล่อนไปช่วยงานตอนเปิดร้านขายของหรือทำอะไรสักอย่างในเมืองหลวงได้ มันคงไม่เป็นไรนักหากจะจ่ายเงินเดือนให้หล่อน

แต่ด้วยนิสัยของลิ่วนีแล้ว ใครจะกล้าพาหล่อนไปล่ะ?

แค่ดวงตาคู่นั้นที่มองกลอกกลิ้งไปมาก็แสดงให้เห็นถึงความดื้อด้านแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นต่างรู้สึกอึดอัดใจ

หลินชิงเหอสลัดเรื่องนี้ออกจากใจ เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็อ่านหนังสือต่อและจดบันทึกเงียบ ๆ

ตอนนี้การเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อนได้เสร็จสิ้นแล้ว โจวชิงไป๋เป็นคนเดียวที่ทำงานในทุ่งนา ขณะที่ท่านพ่อโจวกินอาหารเช้าแต่เช้าตรู่และต้อนเป็ดออกไปเลี้ยง

ส่วนท่านแม่โจวนั้นกลับไปแล้ว และสนทนากับบรรดาหญิงชราคนอื่น ๆ

ระหว่างที่ทบทวนบทเรียนอยู่นั้น หลินชิงเหอก็รู้สึกได้ว่าอากาศร้อนอบอ้าวขึ้นมานิด ๆ

ท่านแม่โจวกลับมาที่บ้านไม่นานหลังจากนั้น หลินชิงเหอจึงถามออกไป “คุณแม่คะ ดูจากสภาพอากาศแล้ว คุณแม่คิดว่าฝนจะตกหรือเปล่าคะ?”

“ฉันรู้สึกว่าฝนจะตกนะ” ท่านแม่โจวตอบ

อากาศช่างร้อนอบอ้าวนัก หลินชิงเหอจึงปรุงอาหารกลางวันแบบง่าย ๆ เพราะโจวชิงไป๋ยังทำงานอยู่ อาหารของเขาจึงเป็นโจ๊กกับน้ำแกง และยังมีกับข้าวบางอย่าง

หลังส่งอาหารเสร็จ หลินชิงเหอก็ปั่นจักรยานเข้ามาในอำเภอ

ส่วนเจ้ารองกับเจ้าสามยังต้องอยู่เรียนพิเศษที่โรงเรียนต่อ

นับตั้งแต่มีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งโรงเรียนประถมและโรงเรียนมัธยมต้นของตำบลก็เริ่มพลิกโฉมใหม่ พวกเขาทำงานอย่างหนักในการฝึกฝนนักเรียน

แน่นอนว่าการเรียนพิเศษฤดูร้อนนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย มีคนจำนวนไม่มากนักที่ได้เรียนพิเศษ คนที่เข้าร่วมก็จะเป็นบรรดานักเรียนที่มีผลการเรียนดี ทั้งเจ้ารองกับเจ้าสามจึงร่วมเรียนด้วย

หลินชิงเหอเข้ามาในอำเภอและแวะมาหาเสิ่นอวี้ที่ร้านค้า

“พี่สาว วันนี้พี่จะมาซื้ออะไรคะ” เสิ่นอวี้รู้สึกดีใจมากที่เห็นเธอ

“ชั่งกุ้งแห้ง พุทราจีน กับลำไยแห้งให้พี่หน่อยสิ” หลินชิงเหอยิ้ม

มีของมากมายที่เธออยากจะซื้อ อย่างนมผงที่เธอซื้อไป 1 ถุง ซึ่งเธอจะเก็บไว้ให้ตัวเองกับโจวชิงไป๋ดื่มตอนกลางคืนเพื่อบำรุงร่างกาย

เช่นเดียวกับแตงโมยักษ์ 2 ลูก

หลังซื้อของเสร็จ เธอก็วางถุงสัมภาระไว้ข้าง ๆ และเอ่ยเสียงต่ำ “พวกเขาขายกันเป็นยังไงบ้าง?”

“ค่อนข้างดีเลยค่ะ” เสิ่นอวี้ตอบด้วยรอยยิ้มและดึงตัวหลินชิงเหอไปพูดข้างนอก “ยังมีของบางส่วนเหลืออยู่นะคะ แต่ฉันคิดว่าอีกไม่นานก็คงขายหมด”

ความจริงแล้วเมื่อหลินชิงเหอมาที่นี่ เธอก็รู้ได้ว่าธุรกิจเป็นไปไม่เลวนักยามเห็นสีหน้าชื่นบานของเสิ่นอวี้

แม้รูปลักษณ์ของเสื้อผ้าเหล่านั้นจะดูธรรมดาไปหน่อยในสายตาของหลินชิงเหอ แต่เสื้อผ้าสไตล์นี้ก็ถือว่ามีรสนิยมมากสำหรับคนในอำเภอนี้

บรรดาลูกค้าหญิงต่างอดไม่ได้ที่จะหยุดดูยามมองเห็นมัน

แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนกับที่เคยเป็นแล้ว ปีนี้หลินชิงเหอเห็นว่าคนบางคนในไห่หนานเริ่มสวมกระโปรง ซึ่งเธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มานานมากแล้ว

ดังนั้นหากนำเสื้อผ้าแบบนั้นมาขายที่นี่ ธุรกิจของเธอก็คงจะไปได้สวยอย่างแน่นอน

หลินชิงเหอได้รับกำไรเกือบ 7 หยวนต่อเสื้อผ้าแต่ละตัวหรือเข็มขัดผู้ชายแต่ละเส้น เสิ่นอวี้กับเพื่อนร่วมงานของหล่อนขึ้นราคาขายราว 2 หรือ 3 หยวน จากไห่หนานมาถึงอำเภอนี้ ราคาที่ต่างกัน 10 หยวนก็ไม่นับว่าแพงเกินไป

หากพวกเขาไปที่ไห่หนานแทนล่ะ?

ทว่าเสื้อผ้าให้กำไรน้อยมาก ของอย่างพัดลมไฟฟ้ากับนาฬิกาให้ผลตอบแทนใหญ่ที่สุด

แต่ถึงอย่างนั้นก็หาแหล่งซื้อถูกยากเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งในปีหน้า เธอก็คิดว่าจะพาโจวชิงไป๋ไปเมืองหลวงและให้เขาตั้งแผงขายของริมถนน

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ลิ่วนีเอ๊ย ขนาดงานบ้านตัวเองหนูยังไม่ทำเลยลูก แล้วหวังจะทำงานบ้านให้อาสะใภ้สี่ที่เนี้ยบกว่าแม่ตัวเองนี่นะ ฝันไปเถอะหนู

ธุรกิจแม่ไปได้สวยแล้ว รอแม่ไปตั้งตัวที่เมืองหลวงนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset