บทที่ 294 ความใฝ่ฝันของเหล่าลูกชาย

บทที่ 294 ความใฝ่ฝันของเหล่าลูกชาย

บทที่ 294 ความใฝ่ฝันของเหล่าลูกชาย

“อาจารย์หลิน คุณซื้อของพวกนี้มาจากไหนกันจ๊ะ?” เพื่อนบ้านที่อยู่ชั้นล่างเอ่ยถาม

คนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะมองคนทั้งคู่ ของเหล่านี้หาซื้อไม่ได้ง่าย ๆ เลย นอกจากมันจะแพงมากแล้ว มันยังหาซื้อยากอีกต่างหาก

“ฉันเจอผู้ชายท้องถิ่นทางใต้คนหนึ่งค่ะ แล้วเราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาอยู่ ฉันก็เลยขอให้เขาช่วย” หลินชิงเหออธิบาย

“เยี่ยมไปเลยจ้ะ ได้พัดลมไฟฟ้ามาตั้งหลายตัวแบบนี้ ฉันขอซื้อต่อสักเครื่องได้ไหมจ๊ะ บ้านฉันไม่มีพัดลมไฟฟ้าเลยสักตัว” หญิงชราคนหนึ่งเอ่ยพลางลูบคลำพัดลมไปด้วย

“ส่งต่อไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าส่งต่อนั่นจะไม่ใช่การขายต่อเหรอคะ? ฉันมีงานเป็นหลักแหล่งอยู่แล้ว ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ” หลินชิงเหอรีบโบกมือปฏิเสธเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไม่รู้ว่าเงินเป็นหมื่น ๆ หยวนที่เธอทำได้ในสองเดือนที่ผ่านมามาจากไหน แต่เธอก็ยังยืนกระต่ายขาเดียวมาตลอดโดยที่ไม่ถูกจับได้คาหนังคาเขาแม้แต่ครั้งเดียว

เมื่อโจวชิงไป๋เดินลงมา เขาก็หัวเราะอยู่ในใจ จากนั้นก็ย้ายพัดลมไฟฟ้า 2 ตัวขึ้นไปไว้ชั้นบนด้วยท่าทางไม่แยแส

แล้วเขาก็ย้ายทีวีขึ้นไปเก็บ

“ตัวหนึ่งสำหรับพวกคุณสองคน อีกตัวหนึ่งสำหรับเด็ก ๆ งั้นก็ยังเหลืออีกตัวหนึ่งนะสิจ๊ะ” หญิงชราเอ่ย “เราเป็นเพื่อนบ้านกัน แบบนี้ไม่เรียกว่าขายต่อหรอกจ้ะ อย่างมากที่สุดก็เรียกว่าช่วยเหลือจุนเจือกัน”

“ตัวนี้เป็นของคุณตาทูนหัวของเด็ก ๆ น่ะค่ะ คุณตาทูนหัวของพวกเขาอยู่ในห้องเดี่ยวของทางมหาวิทยาลัย อากาศในนั้นอบอ้าวมาก เลยต้องมีพัดลมไฟฟ้าไว้ให้นอนหลับสบายในตอนกลางคืนน่ะค่ะ”หลินชิงเหออธิบาย

ทุกคนต่างประหลาดใจ “คุณซื้อมาให้เฒ่าหวังงั้นเหรอ?”

“ใช่ค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

ไม่นานนักโจวชิงไป๋ก็เคลื่อนย้ายทุกอย่างเสร็จหมดและเดินลงมาข้างล่าง

เมื่อทั้งคู่มาถึง พวกเขาก็นำพัดลมไฟฟ้าตัวนี้ไปไว้ที่ร้านเกี๊ยว

ตอนนี้ร้านเกี๊ยววุ่นวายเป็นพิเศษเพราะเป็นเวลาอาหารเย็นพอดี ในเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ก็เป็นปกติที่ภายในร้านจะพลุกพล่านไปด้วยผู้คน

โจวข่าย โจวเฉวี่ยน และโจวกุยหลายก็อยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับเฒ่าหวังและคุณป้าหม่า แม้พวกเขาจะยุ่งอยู่ แต่ก็มีเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ ดูรื่นเริงมีความสุขแม้ว่าจะทำงานกันมือระวิงก็ตาม

“โอ้ กลับมากันแล้วเหรอจ๊ะ?” สายตาแหลมคมของคุณป้าหม่ามองเห็นพวกเขาก่อนที่นางจะเอ่ยอย่างดีใจ

“กลับมาแล้วค่ะ” หลินชิงเหอยิ้มพลางพยักหน้า

โจวชิงไป๋เข้าประจำการในตำแหน่งที่ลูกชายคนโตเคยอยู่และเริ่มลงมือทำเกี๊ยวให้ลูกค้า

“ม้า ม้าซื้อพัดลมไฟฟ้านี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” โจวกุยหลายเอ่ยด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม

“ก็ซื้อครั้งนี้นั่นแหละ ที่ห้องลูกมีแล้วตัวหนึ่ง ตัวนี้ไว้ให้คุณตาทูนหัว อย่าลืมนำกลับไปให้หลังจากนี้ด้วยล่ะ” หลินชิงเหอบอก

“จำเป็นต้องซื้อมาด้วยเหรอ?” เฒ่าหวังเอ่ย

“มันมีประโยชน์น่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่นำกลับมาด้วยถูกไหมคะ? ห้องนั้นน่ะร้อนมาก มีพัดลมไฟฟ้าใช้ก็ถูกต้องแล้วค่ะ” หลินชิงเหอบอก

“เฒ่าหวัง ทีนี้คุณก็นอนหลับสบายได้แล้วนะ” คุณป้าหม่ายิ้ม

เฒ่าหวังรู้สึกจนใจและส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไร ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจอย่างเห็นได้ชัด

ชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเย็นจบลงแล้ว คุณป้าหม่าได้เวลาเลิกงานเช่นกันและกลับไปก่อน หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ได้กินอาหารเย็นร่วมกับเฒ่าหวังและลูกชายทั้งสามของพวกเขา

หลังกินเสร็จ โจวข่ายก็ไปส่งพัดลมไฟฟ้าให้ที่ห้องของคุณตาทูนหัว จากนั้นทั้งครอบครัวก็เดินไปยังโรงอาบน้ำด้วยกัน

หลังอาบน้ำเสร็จจนสดชื่นพวกเขาก็กลับบ้าน

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ไม่เพียงแต่พวกเขาจะเห็นพัดลมไฟฟ้าตั้งอยู่ในห้อง แต่ยังมีทีวีตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วย

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋เข้าไปนอนในห้องของพวกเขาและปล่อยให้เด็กสามคนเล่นตามอำเภอใจ

วันมะรืนนี้ทางมหาวิทยาลัยจะเปิดภาคการศึกษาใหม่ หลินชิงเหอจึงต้องสะสมพลังงานของเธอก่อน

พวกเขาทำเงินได้มหาศาลในหน้าร้อนนี้ก็จริง แต่มันก็เหนื่อยมาก

ทั้งสามีภรรยานอนกอดกันกลมภายใต้ลมเย็น ๆ จากพัดลมไฟฟ้า

ส่วนสามพี่น้องก็กำลังดูทีวี จนกระทั่งถึงสองยามพวกเขาถึงได้เข้านอน

พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ในเช้าวันต่อมาและมานั่งดูทีวีต่อ โจวชิงไป๋ปล่อยให้พวกเขาดูตามสบาย ส่วนเขาออกไปเปิดร้านเกี๊ยวด้วยตัวเอง

หลินชิงเหอหลับไปจนกระทั่งถึงเก้าโมงเช้า เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าลูกชายสามคนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้าน

ใช่แล้ว ทีวีไม่ต้องถึงมือโจวชิงไป๋ เด็กทั้งสามก็ติดตั้งด้วยตัวเองและใช้งานได้แล้ว ซึ่งทั้งสามกำลังนั่งดูกันอยู่

“เจ้ารอง…”

“ม้าเรียกชื่อผมสิครับ” โจวเฉวี่ยนแก้ให้

“โจวเฉวี่ยน โจวกุยหลาย ม้าซื้อนาฬิกาให้ลูกสองเรือน อยากได้ไหม?” หลินชิงเหอถามขณะแปรงฟัน

“พี่รอง แม่แสดงความรักให้พี่ด้วยการเรียกชื่อเล่นแต่พี่กลับไม่ชอบงั้นเหรอ ส่วนผมไม่บ่นอะไรม้านะถ้าจะเรียกผมว่าเจ้าสาม” โจวกุยหลายเอ่ยในทันที

“ม้า ผมพลาดไปแล้ว ผมไม่แย้งแล้วครับ” โจวเฉวี่ยนเอ่ย

“มันอยู่บนหัวเตียงในห้องน่ะ คนละเรือนนะ” หลินชิงเหอบอก

สองพี่น้องรีบวิ่งไปหยิบนาฬิกามาใส่ทันที พวกเขาได้กันคนละเรือนและยังเหมาะสมกับวัยของพวกเขาอีกด้วย สองพี่น้องรักมันมาก

ตอนนี้พวกเขาเป็นคนที่มีนาฬิกาใส่แล้ว!

“ม้า คราวนี้ม้าไปแสวงโชคอีกหรือเปล่าครับเนี่ย?” โจวข่ายถามแม่ขณะมองน้องชายทั้งสอง

เขามีใส่แล้วหนึ่งเรือนจึงไม่สนใจอะไร

“ไม่ได้รวยอะไรหรอก แต่เราใช้เงินไปเยอะเลย” หลินชิงเหอตอบเรียบ ๆ

นอกจากพวกเขาสองคนแล้วก็ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เธอหาเงิน แม้แต่ลูกชายของพวกเขาเองก็ยังไม่รู้

“ม้า สองเดือนที่ผ่านมานี้เราทำเงินไปได้เยอะเลยครับ!” โจวเฉวี่ยนเอ่ยขึ้นในทันที

“เท่าไหร่เหรอ?” หลินชิงเหอเริ่มละเลียดกินโจ๊กไข่เค็ม

“ไปหยิบสมุดบัญชีมาสิ” โจวเฉวี่ยนสั่งและดันตัวน้องชาย

โจวกุยหลายกำลังอารมณ์ดี เขาจึงไม่สนใจมากนัก เขาเดินไปหยิบสมุดบัญชีในทันที

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มรายงานความก้าวหน้าของงานให้แม่ของพวกเขาฟัง

พวกเขาทำเงินไปได้ 200 หยวนในเดือนกรกฎาคม ส่วนเดือนสิงหาคมนี้พวกเขาทำไปได้ราว 230 หยวนแล้ว ซึ่งอาจจะทะลุถึง 250 หยวนในไม่นาน

“ทำไมถึงเยอะขนาดนี้ล่ะ?” หลินชิงเหอถามอย่างประหลาดใจ

เรื่องนี้ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ

ร้านเกี๊ยวของครอบครัวเธอทำกำไรได้น้อยมาก หากพวกเขาทำเงินได้มากขนาดนี้ แสดงว่าพวกเขาต้องขายเกี๊ยวได้เป็นจำนวนมาก

“พี่ใหญ่ไม่ได้ขายแค่เกี๊ยวต้ม แต่ยังขายเกี๊ยวสดอีกด้วยล่ะครับ” โจวเฉวี่ยนอธิบาย

นี่คือฝีมือของโจวข่าย ทางร้านไม่ได้ขายเพียงเกี๊ยวต้มแต่ยังขายเกี๊ยวสดด้วย ทำให้ลูกค้าสามารถมาซื้อเกี๊ยวกลับไปต้มกินที่บ้านเองได้

เป็นแบบนี้นี่เอง ยอดขายของร้านเกี๊ยวจึงเพิ่มขึ้น

คนจำนวนมากต่างมาซื้อเกี๊ยวกลับไปต้มกินเองที่บ้านกับครอบครัวของพวกเขา

และเป็นเพราะช่วงวันหยุดฤดูร้อนมีจำนวนแรงงานมากขึ้น พวกเขาก็เลยได้เงินไปถึง 200 หยวน และเดือนสิงหาคมนี้ก็ได้มากกว่าเดิม

สามพี่น้องรู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อย

“อนาคตข้างหน้าลูกไม่สนใจทำธุรกิจแล้วจะเข้ากองทัพจริง ๆ เหรอ?” หลินชิงเหอมองลูกชายคนโตที่มีหัวการค้าดีมากพลางเอ่ยถาม

“ให้เจ้ารองทำเถอะครับ” โจวข่ายส่ายหน้า เขาไม่ได้มีความใฝ่ฝันทางด้านนั้น

“ผมก็ไม่อยากทำธุรกิจเหมือนกันครับ อนาคตผมจะเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งและทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยเหมือนม้า” โจวเฉวี่ยนเอ่ย นี่แหละเป้าหมายของเขา

“พี่ไม่ทำ งั้นผมทำก็ได้” โจวกุยหลายประกาศรับงานนี้

เขารู้สึกว่าการทำธุรกิจนั้นเป็นเรื่องดี

หลินชิงเหอพยักหน้าและไม่ขัดทางเลือกของพวกเขา เอาล่ะ ลูกชายคนเล็กอยากจะทำธุรกิจสินะ ได้ยินดังนั้นแล้วเธอจึงเอ่ยกับเขา “งั้นตอนนี้ลูกก็ต้องขยันเรียนให้มาก ๆ ในอนาคตกิจการของครอบครัวเราจะเป็นของลูกนะ”

“อ๋า? ผมออกมาทำก่อนไม่ได้เหรอครับ” โจวกุยหลายเอ่ย

“ตอนที่ลูกออกมาทำธุรกิจ ลูกก็ต้องได้วุฒิการศึกษาก่อนน่ะ” หลินชิงเหอหัวเราะ

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าใหญ่มีความคิดสร้างสรรค์ดีนะคะ เสียดายอยู่เหมือนกันค่ะที่ไม่ได้อยากเป็นพ่อค้า แต่ถ้าพอใจกับสิ่งที่อยากเป็นก็เป็นเรื่องดีแล้วค่ะ

เด็กๆ มีความสามารถกันทุกคนเลย โตมาได้อย่างมีคุณภาพจริงๆ ค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset