บทที่ 293 ผลกำไรมหาศาล

บทที่ 293 ผลกำไรมหาศาล

บทที่ 293 ผลกำไรมหาศาล

เรื่องนมผงเป็นเรื่องหนึ่งในอีกหลาย ๆ เรื่อง

มีหลายเรื่องเลยทีเดียวที่แม่ของพวกเขารักพ่อมากกว่า ได้แก่ เรื่องเสื้อผ้า

แม่ของพวกเขาไม่ได้ตัดชุดใหม่ให้ตัวเอง แต่พ่อของพวกเขากลับมีเสื้อผ้าจำนวนมาก มีเสื้อกั๊กดี ๆ จำนวนหนึ่งและเสื้อผ้าอื่น ๆ อีกหลายชุด

ต่อให้ตอนอยู่ในชนบทพวกเขาจะยากจนกว่านี้ แต่พ่อของพวกเขากลับมีเสื้อผ้าชุดใหม่ทุกปี เสื้อผ้าชุดหนึ่งจัดว่าหรูหราขนาดไหนกันล่ะ?

กลับกัน พ่อของพวกเขากลับอยู่อย่างเรียบง่ายกว่าแม่ของพวกเขามาก

เรื่องนี้สามารถสรุปได้หนึ่งประโยคก็คือ

ภรรยาของเขามีอำนาจสูงสุด

ดูจากผิวเผินแล้วจะเป็นผู้ชายจัดการอะไรต่าง ๆ ภายนอกโดยมีผู้หญิงบงการอยู่ภายใน แต่ความจริงแล้ว ทันทีที่ภรรยาพูดขึ้นมา เขาก็ไม่มีทางแย้งได้

ไม่รู้ว่าความรักแสนประเสริฐนี้คืออะไร

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ไม่รู้เลยว่าลูกชายทั้งสามได้เปิดโปงความสัมพันธ์ของพวกเขากับคุณป้าหม่าและคุณตาทูนหัวเสียแล้ว

ตอนนี้พวกเขาอยู่บนรถไฟ

ทั้งคู่ถือถุงใบหนึ่งเป็นการบังหน้า จากนั้นก็หยิบอาหารทุกชนิดออกมาจากถุง และยังอ่านหนังสือเป็นการฆ่าเวลา

หลินชิงเหอเคี้ยวมะเขือเทศสดก่อนอ่านหนังสือภาษาอังกฤษของเธอ ขณะที่โจวชิงไป๋อ่านหนังสือพิมพ์ เขาไม่ได้รังเกียจหนังสือพิมพ์ที่รายงานสถานการณ์ส่วนต่าง ๆ ของประเทศแต่อย่างใด เพราะรู้สึกติดใจไปแล้ว

โจวชิงไป๋เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งต่าง ๆ เริ่มมีการปฏิรูปเมื่อใด

เขาอยากหาเงิน แม้ว่าจะไม่ได้สนใจคุณค่าของเงินมากนัก แต่ก็รู้ว่าเขาต้องหาเงินให้มากกว่านี้หากอยากให้ภรรยาของเขามีความเป็นอยู่ที่ดีในอนาคต

ดังนั้นเขาจึงต้องดูสถานการณ์ในประเทศเป็นการอ้างอิง

“ภรรยาครับ ครอบครัวของเราต้องเก็บเงินให้ได้ 10,000 หยวนแล้วล่ะ” โจวชิงไป๋พับหนังสือพิมพ์เก็บและเอ่ยกับภรรยา

หลินชิงเหออึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จากนั้นเธอก็หัวเราะและจ้องมองเขา “งั้นคราวนี้คุณต้องขยันทำงานแล้วล่ะค่ะ เงินเดือนน้อยนิดของฉันเทียบไม่ได้กับร้านเกี๊ยวของคุณหรอก”

กิจการร้านเกี๊ยวของโจวชิงไป๋ดำเนินไปได้ดีมาก

ในเดือนมิถุนายน ร้านเกี๊ยวของโจวชิงไป๋ทำกำไรได้เกือบ 150 หยวน

มากกว่าสองเท่าของเงินเดือนเธออีก

ใครจะเชื่อว่าร้านเล็ก ๆ แบบนี้จะทำเงินได้มากขนาดนี้? ตอนนี้กำไรจากการทำธุรกิจกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว

โจวชิงไป๋ยิ้ม “คราวนี้ผมจะขยันทำงานหนักขึ้นนะครับ”

ในตู้ขบวนมีแค่พวกเขาสองสามีภรรยาเท่านั้น และพวกเขาลดเสียงต่ำลงเวลาคุยกัน จึงไม่กลัวว่าจะมีใครมาแอบได้ยิน

แม้ว่าจะมีพื้นที่ว่างและไม่มีใครในตู้ขบวนนี้เลย แต่การอยู่ในรถไฟก็ยังไม่สบายตัวอยู่ดี

เมื่อพวกเขาออกจากรถไฟและมาถึงหยางเฉิงได้ หลินชิงเหอก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก

“เราหาที่พักกันก่อนเถอะค่ะ” หลินชิงเหอบอก

ตอนนี้เธอยังไม่อยากจะทำอะไร

เมื่อโจวชิงไป๋มาถึงหยางเฉิง เขาก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจสำเนียงกวางตุ้งของคนที่นี่ หลินชิงเหอพูดจีนกวางตุ้งได้คล่องเหมือนกับคนท้องถิ่น หากต้องพูดภาษาอังกฤษอีกสักนิด คนอื่นก็คงจะเชื่อว่าเธอมาจากเกาะฮ่องกง

โจวชิงไป๋รู้สึกทึ่งกับภรรยาผู้มากความสามารถ เขารู้สึกว่าภรรยาช่างรู้ไปหมดทุกเรื่องจริง ๆ

“คุณมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็ไม่แปลกหรอกค่ะที่จะไม่เข้าใจ คุณลองมาเยือนอีกหลาย ๆ รอบแล้วจะเข้าใจ ความจริงภาษาจีนกวางตุ้งก็ไม่ต่างจากจีนกลางมากนักหรอกค่ะ” หลินชิงเหอบอก

โจวชิงไป๋พยักหน้า แค่ตามภรรยาไปก็ดีแล้ว

หลังพักผ่อนแล้วหนึ่งคืน หลินชิงเหอก็มีพลังงานฟื้นคืนในเช้าวันต่อมา

จากนั้นเธอก็เริ่มเดินเตร่ไปทั่วเมืองกับโจวชิงไป๋

ต้องบอกว่าทางภาคใต้ตอนนี้พัฒนาไปไม่น้อย ทุกอย่างช่างน่าตื่นตาไปหมด

หลินชิงเหอไม่รู้สึกประหลาดใจนัก แต่โจวชิงไป๋ที่ยังไม่เคยออกสู่โลกภายนอกถึงกับตะลึงไป

“ไม่คิดเลยว่าฝั่งภาคใต้จะพัฒนาไปเร็วขนาดนี้นะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“อืม” โจวชิงไป๋พยักหน้า

ไม่ว่าเขาจะอ่านหนังสือพิมพ์มากขนาดไหน แต่เขาก็ไม่ตกตะลึงเท่ากับการได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง

เมืองหยางเฉิงได้พัฒนามาถึงจุดนี้แล้ว มีทั้งวิทยุทรานซิสเตอร์ เครื่องบันทึกเทป แม้กระทั่งทีวีขาวดำที่ล้ำค่ายิ่งในเมืองบ้านเกิดของพวกเขาก็ไม่ใช่ของหายากของที่นี่

เพราะว่าที่นี่มีทีวีสีแล้ว!

โจวชิงไป๋ถึงกับเงียบไปหลังได้รับรู้สิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดนี้

หลินชิงเหอไม่ได้รบกวนเขา

ในอนาคตข้างหน้าจะมีคนย้ายมาอยู่ทางตอนใต้มากขึ้น คนที่มาทำงานในโรงงานทางใต้กล่าวกันว่าได้ค่าแรงต่อเดือนเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว พวกเขาคำนวณค่าแรงเป็นต่อชิ้นงาน ซึ่งบางคนได้มากกว่า 200 หรือ 300 หยวน สำหรับหลาย ๆ ที่ทางตอนเหนือแล้ว ยุคนี้ทางใต้เรียกได้ว่าแทบจะเต็มไปด้วยทองเลยทีเดียว

การได้มาเดินอยู่แถวหน้าในยุคนี้นับว่ามีการพัฒนาสูงสุด

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋เดินเตร่ไปทั่วหยางเฉิงเป็นเวลา 3 วันก่อนจะเริ่มซื้อและขนส่งสินค้า

เนื่องจากพวกเขามีมิติอยู่ในมือ จึงบอกได้ว่าเป็นเรื่องสะดวกอย่างมาก เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็ซื้อจักรยานและใช้จักรยานคันนี้ในการขนสินค้า

ในรอบหนึ่งพวกเขาสามารถแบกทีวีเครื่องหนึ่งหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ไปได้ไม่กี่ชิ้น แต่นั่นก็ไม่สำคัญหรอก

หลังเก็บของเข้ามิติจนเต็ม หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็เดินทางกลับไปที่เมืองเทศบาล สินค้าจำนวนนี้ก็ถูกขายไปทั่วทั้งเมือง

ครั้งนี้คนทั้งคู่ได้เงินไปราว 17,000 หยวน

“เราเดินทางไปอีกรอบกันเถอะ” ทั้งคู่มองหน้ากันและมุ่งหน้าไปทางใต้อีกครั้ง

แม้แต่โจวชิงไป๋ผู้ชายเถรตรงราวกับไม้บรรทัดยังรู้สึกตื่นเต้นในคราวนี้

แค่ครั้งเดียวก็ได้เงินไปมากกว่า 17,800 หยวน ผลตอบแทนครั้งนี้ช่างมหาศาลนัก

เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายในทุกวันนี้ และโจวชิงไป๋ได้กระทำสวนกับการศึกษาที่ได้จากกองทัพแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ถือว่าเขาไม่ได้ทำร้ายใคร

ตราบใดที่ไม่ได้ทำร้ายคน เขาก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเกินตัว

เพราะเขาคิดแค่ราคาขายกับราคาขนส่งเพิ่ม ราคาขนส่งนั้นก็พอกันกับของที่ขายตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ราคาขายเพิ่มขึ้นมากนัก

หลังมาถึงหยางเฉิงอีกครั้ง ทั้งคู่ก็ไม่รีรอที่จะเริ่มลงมือ ของฟุ่มเฟือยหลายอย่างก็ได้หลั่งไหลเข้าไปในมิติ

คราวนี้ทั้งสองไม่ได้ไปที่เมืองเทศบาลอีก แต่มุ่งหน้าไปที่เมืองใหญ่ของมณฑล พวกเขาใช้เวลา 3 วันในการขายสินค้าฟุ่มเฟือยที่เก็บไว้ในมิติ และครั้งนี้ก็ได้ผลตอบแทนมากกว่าคราวที่แล้ว โดยพวกเขาทำเงินไปได้เกือบ 20,000 หยวนเลยทีเดียว

“ไม่แปลกใจเลยนะคะว่าทำไมการนำของมาขายเก็งกำไรถึงเป็นอาชญากรรมใหญ่” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยแรงอารมณ์ที่พุ่งพล่าน

เป็นเพราะผลตอบแทนมหาศาลขนาดนี้นี่เอง พวกเขาสองคนไปเยือนที่นั่นสองรอบก็ทำเงินไปได้แล้วเกือบ 40,000 หยวน คนอื่น ๆ อาจไม่ได้ผลตอบแทนมากเท่าทั้งสอง แต่ถ้าพวกเขาสามารถนำของกลับมาได้ พวกเขาก็ทำเงินได้ถึงเกือบร้อยหยวน

“ใกล้ได้เวลาแล้ว เราควรกลับไปได้แล้วล่ะ” โจวชิงไป๋เตือน

แม้สามีภรรยาคู่นี้จะซื้อของและขายของไป 2 รอบ แต่วันหยุดฤดูร้อนก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

“ฉันเหนื่อยจังค่ะ” หลินชิงเหอเอนตัวนอนพิงในอ้อมแขนของโจวชิงไป๋

เธอจะไม่เหนื่อยได้อย่างไรล่ะ จากการต้องวิ่งไปวิ่งมาเป็นเวลานาน การทำเงินก็ส่วนการทำเงิน แต่มันก็ยังเหนื่อยมากอยู่ดี

ทั้งคู่หยิบนาฬิกา พัดลมไฟฟ้า และชุดทีวีออกมาจากมิติก่อนติดตั้งในบ้านหลังกลับมาจากการเดินทางแล้ว

ทั้งคู่ไปที่บ้านก่อนเป็นอันดับแรกเมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว

เมื่อนำพัดลมไฟฟ้าและทีวีกลับมาที่บ้าน มันก็เป็นที่ดึงดูดความสนใจอย่างมาก

เพราะพวกมันล้วนเป็นของใช้ประจำบ้านที่ต้องมี อย่างทีวีหนึ่งเครื่องกับพัดลมไฟฟ้า 3 ตัว!

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พ่อเข้าใจแล้วใช่ไหมคะว่าทำไมแม่ถึงหาเงินด้วยวิธีนี้ ยินดีต้อนรับสู่วงการนักธุรกิจค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset