บทที่ 297 น้องชายสามเจริญก้าวหน้า

บทที่ 297 น้องชายสามเจริญก้าวหน้า

บทที่ 297 น้องชายสามเจริญก้าวหน้า

“รอจนถึงปีใหม่มันนานเกินไปนะคะ คุณย่ามีความคิดจะไปเยี่ยมคุณอาสี่กับอาสะใภ้สี่ไหมคะ? ตอนนี้ไม่ต้องใช้จดหมายแนะนำตัวแล้ว จะไปที่ไหนก็ได้ ไม่มีใครมาขัดแล้วนี่คะ” โจวลิ่วนีเอ่ย

“หนูพูดอะไรน่ะ? เมืองหลวงเป็นสถานที่แบบไหน? หนูนึกอยากไปก็ได้หรือยังไง?” ท่านพ่อโจวปรายตามองหลานสาว

“นี่ไม่ใช่เพราะหนูเห็นคุณย่ากังวลใจหรอกหรือคะ? ถ้าคุณย่าอยากไป หนูพาไปที่นั่นได้นะคะ” โจวลิ่วนีเอ่ย

“หนูจะไปที่นั่นได้ยังไง? หนูยังพูดไม่ได้และไม่รู้ว่าจะไปไหนเมื่อถึงที่นั่นเลยด้วยซ้ำ” ท่านพ่อโจวแย้ง

ถึงตอนนี้โจวลิ่วนีก็ตอบกลับ “จะไปยากอะไรกันคะ? เมื่อไปถึงที่นั่น หนูก็แค่หาคุณตำรวจ พวกเขาพาเราไปที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งได้แล้วก็จะโอนสายเรียกคุณอาสะใภ้สี่ให้ แบบนี้ก็ได้แล้วนี่คะถูกไหม?”

“พยายามได้ดีนะ” ท่านพ่อโจวเอ่ย “หนูกินข้าวหนูไปเถอะ”

“คุณย่าคะ หนูโตขนาดนี้แล้ว ทำงานบ้านได้ทุกอย่างเลยค่ะ นับตั้งแต่คุณอาสี่เปิดร้านมา หนูก็อยากไปช่วยพวกเขาล้างจานนะคะ” โจวลิ่วนียืนกราน

ท่านพ่อโจวเงียบไป ขณะที่ท่านแม่โจวเริ่มคล้อยตาม “แล้วแม่ของหนูจะเห็นด้วยเหรอ?”

“ทำไมแม่จะไม่ยอมล่ะคะ? คุณอาสี่กับอาสะใภ้สี่ไม่ใช่คนอื่นไกลเลยค่ะ หนูไปช่วยพวกเขาทำงานแล้วมันผิดตรงไหนเหรอคะ?” โจวลิ่วนีรีบเอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าคุณย่าของหล่อนเริ่มคล้อยตามแล้ว

“รอจนคุณอาสี่กับอาสะใภ้สี่กลับมาก่อนเถอะจ้ะแล้วเราค่อยคุยกัน” ท่านแม่โจวเอ่ย

โจวลิ่วนีรู้สึกลิงโลดอย่างมาก หลังกินเสร็จหล่อนก็เช็ดปากและวิ่งจากไปทั้งที่ไม่ได้ช่วยคุณปู่คุณย่าทำความสะอาดเลย

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเห็นแล้วก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร

ตอนนี้สามีภรรยาชราคู่นี้มีงานหลายอย่างต้องทำ ท่านพ่อโจวกำลังเลี้ยงเป็ด ปีนี้เขาเลี้ยงเป็ดอยู่ 10 ตัว และพวกมันก็เริ่มออกไข่กันแล้ว

ส่วนท่านแม่โจวเลี้ยงไก่ไว้มากกว่า 10 ตัว ถึงตอนนี้นางก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เป็นเพราะพวกเขาไม่มีเวลากลับมาหานี่แหละ ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่ต้องขายไข่พวกนี้ไป แล้วให้พวกเขามารับไปกินแทน”

“พรุ่งนี้คุณน้าของเจ้าใหญ่จะมารับไข่ไป คุณเก็บพวกมันให้ดี ๆ ล่ะ” ท่านพ่อโจวเอ่ย

“เก็บไว้เป็นชุดแล้วล่ะ มันไม่ร่วงแตกหรอกน่า” ท่านแม่โจวพยักหน้า

น้องชายสามตระกูลหลินเป็นคนรู้จักเข้าหาคนอื่น เมื่อรู้ว่าทางพ่อแม่สามีของพี่สาวเลี้ยงเป็ดกับไก่อยู่ เขาก็มาที่นี่เพื่อช่วยนำไข่เป็ดไข่ไก่ไปขายในอำเภอ

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวจึงชอบใจน้องชายสามตระกูลหลินมาก

เดิมทีน้องชายสามตระกูลหลินขายของจากครอบครัวของเขาเองเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาขยายแหล่งรับสินค้าแล้ว ซึ่งวันต่อไปเขาจะนำไข่หรือไก่ตัวเป็น ๆ ของเพื่อนบ้านเข้าไปขายในอำเภอ

เขาจะมาหาทางฝั่งท่านแม่โจวทุก 2-3 วัน ส่วนคนอื่น ๆ เขาจะคิดค่าธรรมเนียมเล็กน้อย

อย่างเช่นไข่ 3 ชั่ง น้องชายสามตระกูลหลินจะคิดค่าธรรมเนียมเท่ากับไข่ฟองหนึ่ง ซึ่งถือว่าไม่มากนัก ทุกคนจึงเต็มใจขายสินค้าให้เขาและรับเงินกลับไป ซึ่งเรื่องนี้ช่วยประหยัดแรงงานขนส่งไปได้มาก

ตอนนี้น้องชายสามตระกูลหลินเข้าไปในอำเภอทุกวันเว้นวัน ทุกครั้งที่เขาเข้าไปในอำเภอ เขาจะมัดคานอันหนึ่งไว้กับจักรยาน พ่วงด้วยตะกร้าสองใบทั้งสองปลายคาน ซึ่งในนั้นเต็มไปด้วยไข่ที่รองรำข้าวกันกระแทกไว้บนก้นตะกร้า

หากมีไก่หรือเป็ดเป็น ๆ ด้วย เขาก็จะมัดพวกมันไว้กับคาน พวกมันก็ทำเงินได้เช่นกัน

ในเดือนหนึ่งเขาได้เงินมากขึ้นเกือบ 20 หยวนสำหรับเลี้ยงครอบครัว และเขายังขายไข่หรือไก่เป็น ๆ ในบ้านตัวเองไปอีกด้วย เมื่อรวมกันแล้วเขาก็ได้เงินไปเกือบ 30 หยวนต่อเดือน

สะใภ้สามตระกูลหลินไม่อาจรู้สึกยินดีไปมากกว่านี้ได้แล้ว

เงิน 30 หยวนถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ ต่อให้ค่าแรงของผู้คนในไม่กี่ปีมานี้จะเพิ่มขึ้น แต่จำนวน 30 หยวนก็คือมาตรฐานที่ดี

แต่ถึงอย่างนั้น น้องชายสามตระกูลหลินก็ไม่กล้าเสียงานในทุ่งนาไป เขาจึงไปทำงานในนาทุกวันที่สอง ดังนั้นพวกเขาจึงมีชีวิตค่อนข้างดี

เป็นเพราะน้องชายสามตระกูลหลินชอบที่จะฟังคำสอนของพี่สาว

พี่สาวของเขาบอกให้เขาลองสำรวจในเมืองมากขึ้น เขาก็ทำตาม หลังจากนั้นก็พบว่ามีพ่อค้าหาบเร่จำนวนมากอยู่ในเมืองและของหลายอย่างก็สามารถนำมาขายได้

อย่างเช่นในทุกครั้งที่เขาไป​ เขาก็รับถั่วงอกถุงเล็ก ๆ​ จากภรรยาไปขายด้วย​ ถั่วเขียวพวกนี้แค่รดน้ำก็งอกงามเป็นต้นถั่วงอกให้เก็บแล้ว​ และมันยังเป็นที่นิยมรับประทานมากอีกด้วย

น้องชายสามตระกูลหลินทำแบบนี้อยู่ในตอนนี้​ เขากำลังคิดที่จะรอให้พี่สาวกลับมาในช่วงปีใหม่ก่อนจะปรึกษาอะไรกับเธอ

เพราะเขาพบว่าการทำธุรกิจนั้นดีกว่าการทำไร่ไถนามากนัก

ตอนนี้เขาแค่ทำงานอยู่ที่บ้านและได้รับเงิน 30 หยวนต่อเดือน​ โดยที่ไม่ได้ออกไปไหนเลย

ก่อนหน้านั้นมีความวุ่นวายเกิดขึ้นเป็นหลายครั้ง จนเขากังวลเล็กน้อยว่าจะเกิดซ้ำอีกหรือไม่

ต่อให้มันเป็นแค่ถั่วงอก เขาก็ขายเป็นจำนวนน้อยในแต่ละครั้ง ไม่กล้าที่จะขายมากนัก

เป็นเพราะน้องชายสามตระกูลหลินเชื่อฟังพี่สาวนี่เอง เขาจึงได้ลิ้มรสชาติหอมหวาน ในขณะที่สามพี่ชายตระกูลโจวยังรักษาวิถีชีวิตแบบเดิมอยู่มากนัก

พวกเขาไม่คิดจะพิจารณาทำเรื่องแบบนั้นเลย

อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีการกระทำใด ๆ เกิดขึ้น ในขณะที่สะใภ้ใหญ่พยายามนำไก่ 2 ตัวไปขายที่โรงพยาบาล แต่ด้วยท่าทางขลาดกลัวและจิตใจที่มีแต่ความวิตกกังวลแล้ว หล่อนก็โชคร้ายที่ไม่มีคนซื้อและขายพวกมันไม่ได้

เมื่อคนอื่น ๆ เห็นหล่อนนำไก่ 2 ตัวกลับมา พวกเขาก็รู้โดยไม่ต้องเอ่ยปากถาม

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดที่จะทำเรื่องแบบนี้

วันต่อมาน้องชายสามตระกูลหลินก็มาพร้อมกับตะกร้า 2 ใบ และยังมีไก่ 2 ตัวถูกมัดติดกับคานบนจักรยาน เขามาเพื่อจะมารับไข่จากท่านแม่โจวไปขาย

ชายหนุ่มมาที่นี่ในตอนเช้าและกลับไปในตอนเกือบบ่ายสองโมง

หลังให้เงินกับท่านแม่โจวแล้ว ท่านแม่โจวก็ขอให้เขามานั่งดื่มน้ำหวานก่อน

น้องชายสามตระกูลหลินไม่เกรงใจนางอีก หลังดื่มน้ำเสร็จเขาก็เอ่ยลา “คุณป้าครับ ผมกลับก่อนนะครับ”

“ดูแลตัวเองด้วยนะ” ท่านแม่โจวพยักหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

แล้วน้องชายสามตระกูลหลินก็ปั่นจักรยานกลับไป

เมื่อท่านพ่อโจวกลับมาจากการต้อนฝูงเป็ด ท่านแม่โจวก็เอ่ยขึ้น “คุณน้าของเจ้าใหญ่เป็นคนดีเหลือเกิน”

ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นคนสุภาพ แต่ยังไม่โกงเงินนางสักเหมาเดียวอีกด้วย

ท่า่นพ่อโจวได้ยินจึงเอ่ยตอบ “ก่อนหน้านี้ตอนคุณรู้ว่าสะใภ้สี่ยกจักรยานให้เขา คุณถึงกับโมโหเลยไม่ใช่เหรอ”

ท่านแม่โจวรู้สึกหน้าแตกหลังได้ยินดังนั้น นางจึงตอบกลับ “ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย”

เมื่อนางได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอึกอักพูดไม่ออก ต่อให้พวกเขาจะมีจักรยานแล้ว 1 คัน แต่นางก็ยังมีลูกชายอีก 3 คน

จักรยานนับว่าเป็นของสำคัญ ใครจะไม่อยากมีเพิ่มอีกคันล่ะ?

หลังจากนั้นนางก็ได้ยินสะใภ้ใหญ่บอกว่าน้องชายสามตระกูลหลินให้เงินไป 50 หยวน ไม่ได้เอาไปเฉย ๆ เลย

นางรับรู้แล้วก็นึกขอบคุณที่ตัวเองไม่ได้ค่อนแคะสะใภ้สี่ ไม่อย่างนั้นมันก็เหมือนกับการตบหน้าตัวเองหนึ่งฉาด

ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องแย่นักในการส่งต่อจักรยานให้กับเขา

ท่านพ่อโจวไม่ได้เอ่ยอะไรต่อและเปลี่ยนประเด็น “วันนี้ขายได้เท่าไหร่ล่ะ?”

ไข่ 1 ชั่งคิดเป็นราคา 3 เหมาหรือราว ๆ นั้น ถ้าเป็นไข่เป็ดจะแพงขึ้นมาหน่อย ซึ่งวันนี้พวกมันขายได้เงินมาเกือบ 1.5 หยวน ทำให้ท่านแม่โจวรู้สึกพอใจมาก

ในเมื่อพวกเขาสองคนมีลูกชายคอยดูแล ดังนั้นค่าใช้จ่ายเหล่านี้จึงเก็บไว้ได้ อย่างที่คนอื่นว่ากันว่าถ้ามีเงินอยู่ในมือแล้วพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก เพราะทุกคนก็เป็นแบบเดียวกัน

ปีนี้ท่านแม่โจวเก็บได้นิดหน่อยแล้ว

นางกำลังคิดว่าหากร้านค้าของลูกชายคนเล็กทำรายได้ไม่ดี นางก็จะส่งเงินที่เก็บไว้ไปช่วย เพราะค่าใช้จ่ายในเมืองหลวงสูงมาก อุปกรณ์การศึกษาของหลาน ๆ ก็ต้องใช้เงินซื้อเช่นกัน

ต่อให้เงินเดือนของสะใภ้สี่สูงอยู่ แต่ก็ไม่น่าพอใช้จ่าย นางกับสามีของนางยังพอมีแรงทำอะไรไหว พวกเขาปล่อยให้หลานชายทั้งสามต้องอดอยากไม่ได้หรอกถูกไหม?

ท่านแม่โจวจึงเอาแต่ขยันทำงานเก็บเงินราวกับหนูถีบจักร

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แหม ลิ่วนี หนูอย่าเพิ่งฝันไกล เอาเป็นว่าล้างจานให้คุณปู่คุณย่าก่อนนะคะถึงค่อยไปช่วยล้างจานร้านแม่ แม่ดุนะหนูไหวเหรอ

น้องชายสามตระกูลหลินเป็นคนดีน่าชื่นชมจริง ๆ ค่ะ คนที่เชื่อฟังแม่เจริญกันทุกคนเลย

ท่านแม่โจวอย่ากังวลไปเลยค่ะ แค่สะใภ้สี่เอาของไปขายครั้งเดียวก็ได้มาเป็นพัน ๆ หยวนแล้ว บ้านนั้นอยู่กันสบายมากค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset