บทที่ 298 ล้มป่วย

บทที่ 298 ล้มป่วย

บทที่ 298 ล้มป่วย

ครอบครัวที่อยู่เมืองหลวงไม่รู้เลยว่าผู้เฒ่าทางบ้านกำลังคิดอะไรอยู่

พวกเขาอยู่ดีกินดีอย่างมาก

อย่างเช่นวันนี้โจวข่ายก็นำเงินบางส่วนไปซื้อเป็ดย่างกลับมา ทั้งครอบครัวล้อมวงกันกินเป็ดย่างอย่างเอร็ดอร่อย

หลังกินเสร็จ เฒ่าหวังก็พาเด็กชายทั้งสามออกไปเดินเล่น ส่วนหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ช่วยกันเก็บล้างจาน จากนั้นก็ปิดร้านและพากันออกไปเดินเล่นบนถนน

“ไปซื้อไอศกรีมเถอะค่ะ ฉันสัญญาว่าจะไม่กินเยอะนะคะ” หลินชิงเหอบอก

รอบเดือนของเธอมาพอดี แต่เธอยังคงเอ่ยว่าอยากกินอย่างหนักแน่น หญิงสาวยังคงกล้ากินไอศกรีมทั้งที่รอบเดือนของตัวเองมา ซึ่งเรื่องนี้โจวชิงไป๋ไม่อนุญาต

ดังนั้นต่อให้เธอบอกว่าจะไม่กิน โจวชิงไป๋ก็ไม่ยอมซื้อ เขากลับซื้อแอปเปิลลูกหนึ่งให้เธอกินแทน

“หลายปีต่อมาเราก็น่าจะเป็นเหมือนตอนนี้นะคะ เมื่อเวลานั้นมาถึง ทุกอย่างก็จะไม่มีข้อจำกัด เราจะออกมาเดินเล่นกันทุกวันเลยค่ะ” หลินชิงเหอยิ้ม

โจวชิงไป๋ได้ฟังก็ยิ้มกริ่ม “งั้นพาหลานเรามาด้วยสิ”

“พาหลานที่ไหนมาด้วยคะ? ฉันล้อพวกเขาเล่นต่างหาก ฉันไม่พาลูก ๆ ของพวกเขามาหรอกค่ะ พวกเขาเลี้ยงกันเองได้ เมื่อไหร่ที่ลูกสะใภ้มาเยือนถึงหน้าบ้าน ฉันก็จะอธิบายให้หล่อนฟังอย่างกระจ่าง จากนั้นก็จะให้พี่เลี้ยงที่เชื่อใจได้มาเป็นคนช่วยเลี้ยง” หลินชิงเหอพูด

“ครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

ชั่วพริบตาเดียวก็เป็นเดือนตุลาคม แค่ครึ่งเดือนที่ผ่านมาหลินชิงเหอก็ได้ซื้อร้านค้าอีกร้านหลังจากซื้อบ้านที่มีสวนด้านหน้าไปไม่นาน

ร้านค้าแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก คิดเป็นพื้นที่เพียง 50 ถึง 60 ตารางเมตร มันไม่ใช่ร้านที่มีส่วนอาศัยในตัวเหมือนกับร้านเกี๊ยวที่มีชั้นสองเป็นที่พักของเจ้าบ้าน

แต่เป็นเพราะมันตั้งอยู่ในทำเลที่ดีไม่น้อย ทำให้หลินชิงเหอจ่ายเงินซื้อไป 2,000 หยวน ขณะที่ตอนซื้อร้านเกี๊ยวเมื่อก่อนหน้าเธอซื้อไป 3,000 หยวนเท่านั้น

ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็ยังซื้อมันอย่างไม่ลังเล

แต่สิ่งที่หลินชิงเหอหมายตาไว้คือเรือนสี่ประสาน เธอไม่กล้าหมายตาเรือนสี่ประสานครบทั้งสามวงรวมลานบ้านหรอก เธอคิดแค่ว่าได้ซื้อเรือนสี่ประสานแค่หนึ่งวงหรือสองวงก็ยังดี

ติดที่ว่าไม่มีใครขายมันเลย

อย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบ คงมีคนบางคนขายอยู่ล่ะ เพียงแค่ต้องรอเวลาเท่านั้น

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋เดินเล่นไปรอบ ๆ แล้วเธอก็ถามเขาขึ้นมา “คุณเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นไหมคะระหว่างตอนนี้กับตอนต้นปี?”

“กฎระเบียบดูผ่อนคลายมากขึ้นนะ” โจวชิงไป๋เอ่ย

เมื่อพวกเขามาถึงครั้งแรกในตอนต้นปี เขาก็สัมผัสได้ถึงกฎระเบียบข้อห้ามเล็กน้อย แต่ในปีนี้เขากลับเห็นคนใส่กระโปรงเดินบนท้องถนนเป็นจำนวนมาก

แถมในนั้นยังมีกระโปรงที่ใช้ผ้านำเข้าจากแบรนด์ Ross ซึ่งดูล้ำสมัยและสวยงามมาก

ไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองคนที่สวมกระโปรงแบบนี้ ตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่บนถนนก็จะเจอกับคนใส่กระโปรงเป็นจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว เทียบกับต้นปีที่ยังมีจำนวนน้อยมาก

เห็นได้ว่าปีนี้มีความเปลี่ยนแปลงไม่น้อยเลย

หลินชิงเหอยิ้ม พวกเขาเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเป็นเวลาครู่ใหญ่ก่อนจะกลับบ้าน

ก่อนที่เด็ก ๆ จะกลับมา หลินชิงเหอก็เข้าห้องอาบน้ำไปขัดถูตัว

“ถ้าอนาคตเราได้ย้ายบ้าน เราต้องสร้างห้องน้ำไว้แล้วล่ะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยหลังอาบน้ำเสร็จ

“แล้วเมื่อไหร่ถึงจะมีบ้านที่คุณเคยบอกเหรอครับ?” โจวชิงไป๋ถาม

แม้คำถามจะไม่ชัดเจน แต่หลินชิงเหอก็เข้าใจได้ว่าชิงไป๋ของเธอกำลังหมายถึงบ้านจัดสรร

“ในตอนนี้ยังไม่มีหรอกค่ะ ต้องรอไปก่อน” หลินชิงเหอบอก

ทั้งคู่นั่งดูทีวีด้วยกันและรับลมจากพัดลมไปด้วย จนกระทั่งถึงสองทุ่มเด็กชายทั้งสามก็กลับมา

“รีบทำการบ้านกันเร็ว” หลินชิงเหอไล่

ลูกชายคนเล็กสองคนกลับเข้าห้องไปทำการบ้าน ส่วนโจวข่ายไม่ต้องทำเพราะเขาอยู่ระดับมหาวิทยาลัยแล้ว หลินชิงเหอจึงปล่อยให้เขาทำอะไรได้ตามชอบ

“ม้า มะรืนนี้เราจะไปซื้อของกับคุณตาทูนหัวนะครับ” โจวข่ายบอก

“ลูกมีเงินบ้างไหมล่ะ?” หลินชิงเหอพยักหน้าถาม

“ให้ผมเพิ่มอีก 10 หยวนสิครับ” โจวข่ายบอก

“งั้นก็ไปขอจากป๊าแล้วกัน” หลินชิงเหอเอ่ยโยนให้โจวชิงไป๋

โจวชิงไป๋ที่นั่งดูทีวีอยู่ก็ส่งเสียงตอบ “ไปหยิบเอาที่ตู้เลย”

เงินของครอบครัวไม่ได้ถูกเก็บห่างจากมือเด็กพวกนี้ พวกเขาจะไม่ขโมยเงินเด็ดขาด เพราะมันไม่มีอะไรต้องซื้อ

ยิ่งกว่านั้น ตราบใดที่ไม่ได้เอาไปซื้อของไม่มีประโยชน์ หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ผู้เป็นพ่อแม่หัวก้าวหน้าก็ไม่ห้ามพวกเขา

“ถ้าเรามีตู้เย็นมันคงจะดีนะครับ” โจวข่ายพูดต่อ

“ไม่เอาน่า ตู้เย็นหลังหนึ่งก็เป็นเงินหลายพันหยวนแล้ว แพงกว่าร้านเกี๊ยวของป๊าทั้งร้านอีก” หลินชิงเหอตอบอย่างไม่พอใจ

เธอซื้อพัดลมไฟฟ้าหรือทีวีได้ แต่เธอจะไม่มีวันซื้อตู้เย็นแบบนั้นเด็ดขาด

ถ้าต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้น เอาไปซื้อร้านค้าหรือบ้านไม่ดีกว่าหรือ

โจวข่ายยิ้ม

“หลังจากนั้นปิดทีวีด้วยนะ” หลินชิงเหอเอ่ยหลังเห็นว่าเป็นเวลาสามทุ่มครึ่งแล้ว

“ทราบแล้วครับ” โจวข่ายตอบ

จากนั้นเขาก็มองพ่อแม่เข้าไปนอน

โจวชิงไป๋ต้องตื่นตอนตีห้าครึ่งทุกเช้า ดังนั้นเขาจึงต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ

แต่ก่อนที่จะเข้านอน โจวชิงไป๋ก็จดรายการที่ยังไม่ได้บันทึกลงบนบัญชีรายรับร่ายจ่าย

เขาต้องทำบัญชีทุกวัน และหลังจากนั้นก็ค่อยคำนวณรายรับรายจ่ายทั้งหมดของเดือนในช่วงสิ้นเดือน

หลินชิงเหอเห็นด้วยกับนิสัยละเอียดถี่ถ้วนและจริงจังของเขา

“ปีนี้ทำรายได้ให้ดีไว้นะคะ ถ้าครั้งหน้าคุณพ่อกับคุณแม่มาถึง พวกเขาก็จะได้อยู่ในบ้านน่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอก

“ส่วนผมจะบอกว่าร้านนี้เช่ามาล่ะ” โจวชิงไป๋เสริม

เขารู้ว่าภรรยาหมายความว่าอย่างไร เธอต้องการข้ออ้างที่ฟังดูเป็นเหตุเป็นผล แต่โจวชิงไป๋ก็รู้สึกว่ามันไม่จำเป็นเลย เขาแค่ทำเกี๊ยวไปตามขนบและบอกว่าเช่าร้านนี้ต่อจากเจ้าของร้านเท่านั้น

แต่พูดถึงแล้ว บ้านหลังนั้นก็เหมาะที่จะให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวอยู่มากนัก มันมีสภาพค่อนข้างใหม่ หลังทำความสะอาดแล้วพวกเขาก็สามารถอยู่ได้เลย ยิ่งกว่านั้นยังมีสวนอยู่ด้วย หากพวกเขาสนใจจะปลูกผักสวนครัวก็ย่อมทำได้ จากนั้นก็เลี้ยงไก่หรืออะไรสักเล็กน้อย

หลินชิงเหอไม่คัดค้านอะไร แล้วเธอก็ยกประเด็นของโจวเสี่ยวเหมย “ไม่รู้ว่าเสี่ยวเหมยอยากมาหรือเปล่านะคะ”

“หล่อนมาอยู่แล้วล่ะ ให้พวกเขาเช่าร้านของเราขายซาลาเปาก็ไม่เลวร้ายอะไร” โจวชิงไป๋ตอบ

“ทำที่ร้านเราไม่ได้หรอกค่ะ ให้พวกเขาหาที่อื่นเถอะ” หลินชิงเหอส่ายหน้า

ความสัมพันธ์ของเธอกับโจวเสี่ยวเหมยนับว่าแข็งแกร่ง แต่ไม่ว่าจะมีสัมพันธ์อันดีอย่างไรก็มีข้อจำกัดอยู่ เพราะหลินชิงเหอตั้งใจว่าจะเก็บร้านไว้และเปิดร้านที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ในอนาคต

ไม่มีปัญหาหรอกหากจะให้โจวเสี่ยวเหมยขอใช้ร้านของพวกเขาก่อน แต่ถ้าโจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินคุ้นเคยกับร้านนั้นไปแล้วล่ะ? หากพวกเขาเกิดอยากซื้อร้านขึ้นมา?

ถึงตอนนั้นจะคุยกันยากหรือเปล่า?

ดังนั้นหลินชิงเหอจึงไม่มีแผนจะให้โจวเสี่ยวเหมยเช่าร้านของครอบครัวเธอ เมื่อถึงตอนนั้นเธอจะทำเพียงช่วยโจวเสี่ยวเหมยหาร้านใหม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอจะช่วยหาร้านในทำเลที่ดีให้หล่อนอย่างแน่นอน

ถึงจะเป็นญาติสนิท ทุกคนก็ควรจะมีบัญชีเป็นของตัวเองให้ชัดเจน ไม่ควรสร้างปมในใจต่อกัน เป็นแบบนั้นจึงจะเป็นทางที่ดีที่สุดในการเป็นญาติกัน

“ตกลงครับ” โจวชิงไป๋ไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ว่าภรรยาของเขาจะพูดอะไรเขาก็ไม่แย้งใด ๆ

อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลฉงหยาง(1) เช้าวันนั้นเองโจวชิงไป๋ก็ออกไปซื้อส่วนผสมพร้อมกับหิ้วแม่ไก่แก่มาได้ระหว่างทาง ภรรยาสั่งเขาตั้งแต่เมื่อคืนว่าวันนี้เป็นวันเทศกาลฉงหยางที่ต้องตุ๋นไก่มาบำรุงคนทั้งครอบครัว

โจวชิงไป๋ที่ได้รับมอบหมายให้ปรุงอาหารสามารถตุ๋นไก่ได้แล้ว ตอนนี้เขาทำอาหารเป็นทุกอย่าง

เมื่อถึงตอนกลางวัน หลินชิงเหอก็ได้ดื่มน้ำแกงไก่กลิ่นหอมน่ารับประทาน ในชามยังมีน่องไก่ขนาดใหญ่อยู่ด้วยหนึ่งน่อง ซึ่งเธอก็สวาปามจนหมด

ส่วนอีกอันหนึ่งกลายเป็นของเฒ่าหวังที่ยังไม่ได้มากิน โจวข่ายจึงนำใส่กล่องอาหารส่งไปให้เขา

นับตั้งแต่ที่สาบานตนเป็นพ่อทูนหัวไป เฒ่าหวังก็มากินอาหารที่ร้านของพวกเขาบ่อย ๆ ตอนที่เขาไม่ได้มากินอาหารที่ร้าน พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะแบ่งอาหารให้เขา

แต่ด้วยอายุที่มากแล้ว เฒ่าหวังจึงล้มป่วยลงหลังเข้าสู่ฤดูหนาว

…………………………………………………………………………………

(1)- เทศกาลเก้าคู่หรือวันผู้สูงอายุของจีน จัดขึ้นในวันที่ 9 เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติ

สารจากผู้แปล

การทำธุรกิจครอบครัวก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหมือนกันนะคะ ถ้าไม่แยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องธุรกิจให้ดีก็อาจทะเลาะกันได้ แม่เลยตัดปัญหาแยกกันทำมันซะเลย

คุณลุงหวังเป็นอะไรไป ติดตามตอนหน้าค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset