บทที่ 304 แต่งงานกับคนเมืองหลวง

บทที่ 304 แต่งงานกับคนเมืองหลวง

บทที่ 304 แต่งงานกับคนเมืองหลวง

หลินชิงเหอไม่ใจดีกับหลานสาวคนนี้ ตอนที่เข้ามาในบ้านของเธอ หล่อนก็เข้ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงแม้แต่น้อย

“หยางหยางกับอู่นี่ไปที่นั่นเพื่อไปเรียนหนังสือ แล้วหนูจะไปทำอะไรที่นั่นล่ะ?” หญิงสาวเอ่ยตรง ๆ

“คุณอาสี่เปิดร้านเกี๊ยวไม่ใช่เหรอคะ? หนูไปช่วยงานที่ร้านเกี๊ยวก็ได้ค่ะ คุณย่าเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้” โจวลิ่วนีพูด

หลินชิงเหอหัวเราะเมื่อได้ยินดังนี้ เธอมองโจวลิ่วนีแล้วเอ่ยกลับ “ร้านเกี๊ยวเป็นของคุณอาสี่ ทำไมหนูต้องมาถามคุณย่าด้วย คุณย่าไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องของครอบครัวอาอยู่แล้ว”

หล่อนต้องการใช้คุณย่าของตัวเองมาข่มเธอ ความคิดของหล่อนช่างไม่บริสุทธิ์เอาเสียเลย

ท่านแม่โจวถึงกับเอ็ดโจวลิ่วนีอย่างเปิดเผย “ย่าเห็นด้วยกับหนูตอนไหนกัน?”

“คุณย่า ไม่ใช่คุณย่าบอกว่าจะมาพูดกับคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่เพราะเห็นแก่หนูเหรอคะ” โจวลิ่วนีช่างหน้าด้านหน้าทนเหลือเกิน หล่อนเอ่ยออกมาได้อย่างไร้ยางอาย

“การมาพูดให้หนูไม่นับว่าเป็นการเห็นด้วย หนูกำลังยิงหุ่นฟาง*อยู่นะ” หลินชิงเหอเอ่ยพลางเหลือบมองหล่อน

*การบิดเบือนคำพูดของคน ๆ หนึ่งจนเนื้อความต่างจากเดิม แล้วบอกกับอีกคนหนึ่งว่าคนนั้นพูดมาแบบนี้

“อาสะใภ้สี่คะ อาให้พวกเขาไปได้แต่ไม่ให้หนูไปด้วย อากำลังดูถูกครอบครัวสายรองของเราเหรอคะ?” โจวลิ่วนีเอ่ยต่อ

“กลับไปถามแม่ของหนูนะว่าอาดูถูกครอบครัวหนูหรือเปล่า” หลินชิงเหอไม่อยากเสวนากับหล่อนอีกต่อไปและเอ่ยไล่ “หยางหยางกับอู่นีต้องเรียนแล้ว หนูกลับไปซะ”

หลินชิงเหอไม่ใช่คนที่ยอมลดตัวมาเถียงกับคนรุ่นเด็กกว่าง่าย ๆ แต่กับโจวลิ่วนีแล้วเธอหมดความอดทนจริง ๆ

ตั้งแต่อายุเท่านี้ หล่อนก็ทำตัวซับซ้อนและมีฝีปากคมกล้าได้ขนาดนี้แล้ว

หล่อนชอบที่จะลักเล็กขโมยน้อยและเปรียบเทียบทุกอย่าง

แล้วโจวลิ่วนีจะทำอะไรได้? หล่อนทำได้เพียงกลับบ้านของตัวเองเท่านั้น

ทันทีที่หล่อนออกไปแล้ว ท่านแม่โจวก็เอ่ยขึ้นมา “จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้แย่นะถ้าจะให้ลิ่วนีไปช่วยงานชิงไป๋ งานล้างจานหรืองานอื่น ๆ ก็ไม่ได้ทำยากเลย”

ท่านแม่โจวอยากให้หลานสาวคนนี้ไปด้วย เพราะอย่างไรเสียหล่อนก็เป็นคนในครอบครัวของนาง

หลินชิงเหอหัวเราะในลำคอ “ไม่เอาน่าคุณแม่ ถ้าคุณแม่แนะนำคนอื่นฉันคิดว่าพอรับได้ ฉันวางแผนว่าจะคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่ให้เอ้อร์นีลูกสาวของหล่อนมาช่วยงานฉันแล้วจะจ่ายค่าจ้างให้เป็นรายเดือนน่ะค่ะ”

“เธอคิดจะพาเอ้อร์นีไปช่วยงานเหรอ?” ท่านแม่โจวเอ่ยทวนในทันที

“ไม่ได้เหรอคะ?” หลินชิงเหอพูด

“แม่ผมกำลังหาสามีให้กับพี่สาวรองน่ะครับ” โจวหยางตอบ

โจวหยางกับโจวเอ้อร์นีเป็นลูกของสะใภ้ใหญ่กับพี่ชายใหญ่กันทั้งคู่

“เอ้อร์นีอายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ?” หลินชิงเหออึ้งไป

“หลังปีใหม่นี้หล่อนก็จะมีอายุครบ 18 ปีแล้วครับ” โจวหยางพูด

ในสังคมชนบท อายุเท่านี้ถือว่าเป็นวัยสมควรออกเรือนแล้ว

“ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจ้ะ มันไม่สายเกินไปที่จะไม่แต่งงานจนกระทั่งอายุ 22 ปีหรอก ฉันจะไปคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่นะคะ”

“แล้วเธอไม่อยากให้ลิ่วนีไปเหรอ?” ท่านแม่โจวถาม

หลินชิงเหอจึงเอ่ยกลับไป “คุณแม่ถามอู่นีเถอะค่ะว่าลิ่วนีเป็นเด็กแบบไหน”

โจวอู่นีจึงพูดไปตามความจริง “คุณย่าอย่ามองแต่ผิวเผินนะคะ ลิ่วนีเป็นคนที่ไม่ทำอะไรเลยค่ะ หล่อนมักจะโยนงานบ้านทุกอย่างให้ซานนีทำอยู่ตลอด หลังทั้งครอบครัวกินข้าวเสร็จหล่อนก็ทำแค่เช็ดปากและผละจากไป ไม่เคยล้างจานหรือถูพื้นเลย แถมยังชอบพูดจาว่าร้ายลับหลังคนอื่นด้วย ถ้าให้หล่อนไปช่วยงานที่ร้านเกี๊ยวของคุณอาสี่ล่ะก็ หล่อนไม่สร้างความวุ่นวายให้ก็ถือว่าโชคดีแล้วล่ะค่ะ”

ท่านแม่โจวถึงกับชะงักค้างไปครู่หนึ่ง “เอ่อ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะหล่อนยังเด็กไร้เดียงสาหรอกเหรอ?”

“หล่อนเป็นแบบนี้เสมอเลยไม่ใช่เหรอคะ? เป็นคนที่เทซีอิ๊วแล้วก็ไม่ตั้งขวดดังเดิม* ให้พี่เอ้อร์นีไปยังจะดีกว่าค่ะ แม้แต่พี่ซานนียังดีกว่าลิ่วนีเลย” โจวอู่นีบอก

*ขี้เกียจตัวเป็นขน

“จริงสิ แล้วซานนีล่ะ?” ท่านแม่โจวถามหลินชิงเหอ

“คุณแม่คะ ทางฝั่งร้านฉันไม่ขาดแคลนคนหรอกค่ะ ให้เอ้อร์นีไปคนเดียวก็พอแล้ว” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม

ความจริงเอ้อร์นีเรียนหนังสือมาแล้วอย่างน้อย 3 ปี หลินชิงเหอเคยเห็นตอนที่หล่อนทำการบ้าน ซึ่งเมื่อก่อนเด็กหญิงพวกนี้ก็ชอบมาทำการบ้านกันที่นี่

หล่อนเขียนหนังสือได้ดีเช่นกัน ดังนั้นงานลงบัญชีรายรับรายจ่ายกับงานคำนวณใบเสร็จคงจะไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด

ยิ่งกว่านั้น เอ้อร์นียังเป็นคนฉลาด ซึ่งความฉลาดนี้แสดงออกมาทางความสามารถด้านการพูด แถมหล่อนยังมีน้ำอดน้ำทนด้วย หากหล่อนทำอะไรผิดพลาด หลินชิงเหอก็กล้าที่จะชี้แนะเพื่อที่หล่อนจะได้ไม่รู้สึกผิดหรือหดหู่

นี่คือความแตกต่างระหว่างหล่อนกับสองพี่น้องโจวซานนีและโจวลิ่วนี

ไม่รู้ว่าสะใภ้รองเลี้ยงดูโจวซานนีให้มีนิสัยยอมเป็นพรมเช็ดเท้าให้ผู้อื่นไปได้อย่างไร เด็กหญิงถึงไม่พูดอะไรและได้แต่เก็บงำไว้ในใจ

เมื่อเจอแบบนี้ หลินชิงเหอจึงกล้าทำเพียงเอ่ยกระตุ้นเมื่อเห็นดังนี้ ส่วนคำตำหนินั้นเธอไม่กล้าพูดออกมา

ส่วนโจวลิ่วนี เด็กคนนี้แคล่วคล่องว่องไวเกินไป

จะให้เธอพาเด็กที่เปี่ยมด้วยความขี้น้อยใจและมากเล่ห์แบบนี้กลับไปด้วยน่ะเหรอ? เกรงว่าในภายหน้าเธอคงหาตัวหล่อนแล้วนำกลับมาส่งคืนให้สะใภ้รองไม่ได้น่ะสิ

ดังนั้นเธอจะไม่พาลูกสาวทั้งสองของสะใภ้รองไป

“น่าเสียดายนะ ซานนีเป็นคนขยันคนหนึ่งเลย เธอให้หล่อนไปล้างจานหรือทำอะไรก็ได้นี่” ท่านแม่โจวพูดต่อ

หลินชิงเหอทำซาลาเปาต่อโดยที่ไม่ตอบอะไร

ส่วนโจวลิ่วนีที่กลับไปถึงบ้านก็บ่นเรื่องนี้ให้แม่ฟัง

“แม่คะ อาสะใภ้สี่ดูถูกครอบครัวเราหรือเปล่า?” เด็กหญิงถามทันทีที่ถึงบ้าน

“แกพูดอะไรน่ะ?” สะใภ้รองตอบอย่างไม่พอใจ

“แม่ไม่รู้อะไรหรอก ตอนที่หนูไปบ้านนั้น หนูได้ยินว่าอาสะใภ้สี่บอกว่าจะพาโจวหยางกับโจวอู่นีไปเมืองหลวงในฤดูร้อนหน้า พอหนูได้ยินแล้วบอกว่าหนูอยากไปด้วย อาสะใภ้สี่ก็ไม่ยอม!” โจวลิ่วนีอธิบาย

“แกไม่มีอะไรจะทำแล้วหรือไง? แกจะไปเมืองหลวงเพื่ออะไร?” สะใภ้รองตอบ “มันมีค่าเดินทางด้วยไม่ใช่เหรอ ฉันไม่มีเงินจ่ายค่าเดินทางให้แกหรอกนะ”

“แม่โง่หรือเปล่า?” หลังโจวลิ่วนีเอ่ยขึ้นมา สะใภ้รองก็จัดการหยิกหล่อนไปหนึ่งที

“พูดแบบนี้อีกครั้งก็คอยดูแล้วกันว่าฉันจะจัดการแกยังไง” สะใภ้รองเอ่ย

โจวลิ่วนีจึงเอ่ยต่อ “แม่ ธุรกิจร้านเกี๊ยวของคุณอาสี่ต้องไปได้สวยแน่ ๆ ค่ะ แม่เห็นไหมว่าปีนี้คุณอาสี่อ้วนขึ้นขนาดไหน? ถ้าหนูไปช่วยงานที่ร้านเขาได้ อนาคตหนูก็จะหาสามีในเมืองหลวงได้ แม่อยากได้ลูกเขยเมืองหลวงไหมล่ะ”

“ฝันไปเถอะ” สะใภ้รองถลึงมองลูกสาว

“แม่ หนูดูไม่ผิดหรอกนะคะ ไม่ใช่ว่าคุณอาสี่มีพ่อทูนหัวคนหนึ่งเหรอคะ? ถ้าหนูโตขึ้นเขาจะได้แนะนำผู้ชายให้หนูได้ไม่ดีเหรอคะ?” โจวลิ่วนีชี้ประเด็น

“คนเมืองหลวงจะไปรักใคร่แกได้ยังไง?” สะใภ้รองเอ่ยขณะกวาดตามองลูกสาวอย่างค้นหา

“ทำไมพวกเขาจะไม่รักหนูล่ะคะ? หนูจะช่วยงานที่ร้านของคุณอาสี่ เป็นแบบนี้แล้วคุณอาสี่จะไม่จ่ายเงินเดือนให้หนูได้ยังไง? หนูทำงานได้ยาวนานตราบเท่าที่ร้านของคุณอาสี่เปิด หนูก็จะได้ชื่อว่าเป็นลูกจ้าง ใครจะไม่ชอบหนูล่ะคะ? นอกจากนี้อาสะใภ้สี่ยังเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง บางทีอาจจะมีคนอยากแต่งงานกับหนูมากขึ้นก็ได้หากเรื่องนี้แพร่ออกไป” โจวลิ่วนียืนกราน

ต้องบอกว่าสะใภ้รองเริ่มถูกลูกสาวชักจูงบ้างแล้ว

ลูกสาวคนนี้เป็นคนเฉลียวฉลาด หล่อนมีความคิดที่ดีทีเดียวในการให้คุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่ช่วยหาคนในเมืองหลวงที่จะแต่งงานกับหล่อน

แล้วหล่อนก็จะได้ญาติในเมืองหลวงเพิ่มด้วย และได้ความเคารพนับถืออย่างมาก

“แม่คิดว่ายังไงคะ?” ดูจากปฏิกิริยาของมารดาแล้ว โจวลิ่วนีก็ถามจี้

“งั้นฉันจะหาเวลาคุยกับอาสะใภ้สี่นะ” สะใภ้รองเอ่ย จากนั้นหล่อนก็หันไปหาลูกสาวคนโต “ซานนี รีบนวดแป้งเร็วเข้าสิ ฟืนข้างนอกก็ยังไม่ได้สับ ทำเสร็จแล้วอย่าลืมไปสับด้วยนะ”

“ค่ะ” โจวซานนีค้อมศีรษะลงเป็นเชิงรับรู้

เดิมทีหล่อนไม่ได้เป็นคนจืดชืดแบบนี้ แต่ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา โจวซานนีก็กลายเป็นคนพูดน้อยมากกว่าเดิม

สะใภ้รองส่ายหน้าหลังเห็นลูกสาวคนโตเป็นแบบนี้ หล่อนรู้สึกว่าเด็กหญิงช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลย ขณะที่ลูกสาวคนรองกลับมีหัวคิดอยู่บ้าง

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หยางหยาง อู่นี โอกาสดีมาถึงแล้วลูก ตั้งใจเรียนนะคะ

ลิ่วนีนี่ยังไงนะหนู ผู้ใหญ่ยังไม่ทันตกลงอะไรก็โมเมว่าตกลงแล้วเฉย แถมยังไปยุแม่ให้คล้อยตามอีก

ถ้าผู้แปลรู้สึกอยากตบกระบาลเด็กคนนี้จะผิดไหมคะ ตบแบบเอาให้นิสัยเปลี่ยนกลับมาเป็นเด็กดีเลย เห็นแล้วหมั่น

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset