บทที่ 305 ไม่หยุดปาก

บทที่ 305 ไม่หยุดปาก

บทที่ 305 ไม่หยุดปาก

หลินชิงเหอยังไม่รู้ถึงแผนการของสะใภ้คนนี้

วันนี้เธอทำซาลาเปาไส้เนื้อไว้เป็นจำนวนมาก มีซาลาเปาไส้หมูกับกะหล่ำปลี ซาลาเปาไส้หมูกับผักดอง และซาลาเปาไส้หมูย่าง

แล้วหลินชิงเหอก็บอกท่านแม่โจวเกี่ยวกับเรื่องซาลาเปา

“ชิงไป๋กับฉันลองกินซาลาเปาที่น้องเขยเล็กทำแล้วค่ะ รสชาติอร่อยเลิศมาก ฉันก็เลยคิดว่าถ้าพวกเขาเต็มใจ พวกเขาสามารถไปเปิดร้านขายที่เมืองหลวงได้เลยนะคะ” หลินชิงเหอบอก

หลินชิงเหอไม่เคยพูดเรื่องที่ตัวเองเป็นคนแนะนำความคิดเปิดร้านซาลาเปาแก่โจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินให้ท่านแม่โจวฟังมาก่อน

ท่านแม่โจวจึงดีใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้

ที่จริงแล้วนางไม่มีความคิดอะไรอย่างอื่นเลย ลูกชายคนสุดท้องเปิดร้านเกี๊ยวอยู่ที่เมืองหลวง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นครอบครัวเดียว หากเกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่มีใครช่วยเหลือเกื้อกูลได้

ไม่ใช่ว่าครอบครัวสายเดียวนี้ต้องเป็นผู้แบกรับทุกความลำบากหรือ?

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงอยากแนะนำให้คนในครอบครัวของนางไปด้วย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะมีแรงงานคนคอยช่วยเหลือมากขึ้น

และหญิงชราผู้นี้ก็ไม่เคยคิดเลยว่าถ้าโจวลิ่วนีไปที่นั่น หล่อนก็ไม่สามารถแบ่งเบาภาระได้มากนัก แถมยังจะทำลายสิ่งต่าง ๆ อีกด้วย

หลังตัดคนอื่น ๆ ไปแล้ว นางก็สนใจในเรื่องที่แนะนำลูกเขยให้เป็นฝ่ายไปที่นั่น “เมื่อไปถึงนั่นแล้ว กิจการร้านซาลาเปาจะขายดีหรือเปล่าล่ะ?”

“ซาลาเปาในระดับที่น้องเขยทำขายได้ไม่เลวอยู่แล้วล่ะค่ะ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือในอนาคตเขาจะจัดการร้านยังไงมากกว่า การเปิดร้านก็เหมือนกับการจัดการความสัมพันธ์ และอีกอย่างหนึ่งก็ต้องดูว่าคน ๆ นั้นโชคดีหรือเปล่าด้วย” หลินชิงเหอตอบ

พ่อครัวทุกคนใช่ว่าจะเปิดภัตตาคารเองได้ เรื่องนี้อธิบายทุกอย่างอยู่แล้ว การทำธุรกิจไม่ใช่ว่าพูดประโยคเดียวแล้วจะทำได้

“เมื่อพวกเขาไปที่นั่นแล้ว เรื่องการศึกษาของเด็ก ๆ ก็คงจะเป็นปัญหาล่ะ” ท่านแม่โจวเอ่ยต่อ

“เรื่องการศึกษาฉันยังพอมีอำนาจอยู่บ้างค่ะ สามารถจัดหาโรงเรียนให้พวกเขาได้อยู่” หลินชิงเหอตอบ

การศึกษาของเด็ก ๆ ไม่ใช่ปัญหา แต่คำถามก็คือซูต้าหลินมีความกล้ามากพอที่จะทิ้งงานประจำรายได้สูงที่ทำอยู่ตอนนี้ไหม

เรื่องนี้ต้องใช้ความกล้าอย่างมากทีเดียว

ตอนนี้เงินเดือนของซูต้าหลินมีมากกว่า 60 หยวนนแล้ว เงินเดือนของหลินชิงเหอก็อยู่ในระดับนี้เช่นกัน แม้ในปีหน้าเงินเดือนจะเพิ่มขึ้นอีก แต่คุณวุฒิของเธอก็ยังต่ำอยู่ไม่น้อย อาจารย์ที่มีคุณวุฒิระดับสูงสามารถมีเงินเดือนได้มากกว่า 100 หยวนเลยทีเดียว

แต่ในเมืองแบบนี้ รายได้ที่ซูต้าหลินได้จึงนับว่าดีไม่น้อย

ดังนั้นหากซูต้าหลินมีความกล้าที่จะละทิ้งงานนี้และมุ่งหน้าไปตั้งตัวที่เมืองหลวง มันจะต้องใช้การตัดสินใจอย่างใหญ่หลวงแน่

แม้หลินชิงเหอจะรู้ดีว่าซูต้าหลินไม่เคยเสียใจที่จะไปเมืองหลวงเพื่อหาความเจริญก้าวหน้าหากว่าไปถึงที่นั่น แต่เธอเป็นคนที่รู้ทิศทางในอนาคต ทว่าซูต้าหลินนั้นไม่รู้

เธอไม่อาจใช้มาตรฐานของตัวเองในการบงการคนอื่นได้

แต่ถ้าซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยไปเมืองหลวงจริง เป็นแบบนั้นเธอก็จะช่วยเหลืออย่างแน่นอน โดยที่เป็นคนคอยหาร้านค้าและที่อยู่อาศัยให้

“แต่เรื่องทะเบียนบ้านเป็นปัญหาที่แท้จริงน่ะค่ะ ถ้าพวกเขาอยู่ที่นั่นนาน ๆ อนาคตพวกเขาจะซื้อบ้านที่นั่นได้ หากมันลงตัวแล้วก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้น” หลินชิงเหอบอก

ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำการย้ายทะเบียนบ้าน

เธอย้ายง่ายเพราะว่าได้สิทธิ์ทองในการรับเข้าทำงานจากทางมหาวิทยาลัยปักกิ่ง แต่คนอื่น ๆ คงทำได้เพียงเสี่ยงดูสินะ?

ขนาดลูกชายคนเล็กของคุณป้าหม่าก็ยังต้องลำบากตลอดทั้งปีและยังไม่ได้ทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้านกลับมา

“ทางมหาวิทยาลัยช่วยเรื่องนี้ไม่ได้เหรอ?” ท่านแม่โจวถาม

“ถ้าพวกเขาช่วยได้จะให้คุณแม่มาช่วยพูดเหรอคะ? ฉันมีความสัมพันธ์แบบไหนกับเสี่ยวเหมยกันล่ะคะ” หลินชิงเหอหัวเราะ

ท่านแม่โจวรู้ดีในเรื่องนี้ นางจึงเอ่ยกลับ “งั้นก็ไม่เป็นไรถ้าพวกเขายังย้ายทะเบียนบ้านไม่ได้ชั่วคราว ต้องลองไปที่นั่นดูก่อนว่าลงตัวหรือเปล่า”

หากพวกเขาไม่คุ้นเคยกับที่นั่น จะกลับมาอยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็มีทางออกอยู่บ้าง

หลินชิงเหอทำเพียงยิ้ม

ชั่วพริบตาเดียววันสิ้นปีก็มาถึง ปีนี้งานเลี้ยงอาหารเย็นมีหลินชิงเหอ โจวชิงไป๋ ท่านพ่อโจว และท่านแม่โจว

“เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ไม่ได้กลับมาที ในบ้านดูเงียบเหงาใช่น้อยเลยนะ” ท่านแม่โจวพูด

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณแม่คุยเรื่องนี้กับคุณพ่อแล้วหรือยังคะ? ว่าอยากไปอยู่เมืองหลวงกับเราหลังปีใหม่นี้หรือเปล่า?” หลินชิงเหอถาม

“คุณพ่อกับฉันตกลงกันว่าจะไปที่นั่นตอนหน้าร้อนน่ะ” ท่านแม่โจวตอบเมื่อได้ยินดังนี้

“งั้นเป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อนดีไหมคะ?” หลินชิงเหอเหลือบมองโจวชิงไป๋และเอ่ยต่อ “ตอนนั้นชิงไป๋กับฉันจะออกเดินทางท่องเที่ยว พอเราเที่ยวเสร็จก็จะกลับมาที่บ้านมารับพวกคุณไปดีไหมคะ?”

“ตอนหน้าร้อนพวกเธอจะไปเที่ยวไหนกัน? กิจการจะไม่ถดถอยเหรอ?” ท่านแม่โจวถาม

“อ่านหนังสือหมื่นเล่มก็ไม่ดีเท่าท่องเที่ยวหมื่นลี้หรอกค่ะ ตอนนี้ฉันเป็นอาจารย์ภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ฉันเลยต้องหาความรู้ ที่ให้ชิงไป๋ไปด้วยเพราะถ้าฉันไปคนเดียวเขาคงเป็นกังวลน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบสบาย ๆ

“แล้วร้านเกี๊ยวล่ะ?” ท่านแม่โจวถาม

“ให้เจ้ารองกับคนอื่น ๆ คอยเฝ้าไว้น่ะค่ะ คุณตาทูนหัวของพวกเขาก็อยู่ที่นั่น ดังนั้นคงจะไม่วุ่นวายมากนัก” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างไม่แยแส

ปีหน้าลูกชายคนโตของพวกเขาจะไม่มีเวลาว่างแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขายังมีลูกชายคนรองกับลูกชายคนที่สามเหรอ?

เด็กทะโมนสองคนนี้สามารถดูแลกิจการได้ โจวเฉวี่ยนผู้สูง 178 เซนติเมตรกับโจวกุยหลายผู้สูง 150 เซนติเมตรไม่ใช่คนประเภทกินพืช*หรอก

*คนซื่อที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม รักความสงบไม่ชอบต่อสู้กับใคร จึงถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย

หยางหยางกับอู่นีก็จะไปที่นั่น

ส่วนผู้ใหญ่ก็มีเฒ่าหวังกับคุณป้าหม่าอยู่

และยังมีโจวเอ้อร์นีที่เธออยากจะพาไปด้วยหลังปีใหม่นี้ คืนนี้เธอจะไปคุยเรื่องนี้กับสะใภ้ใหญ่ ซึ่งสะใภ้ใหญ่ก็คงจะรู้เรื่องนี้จากโจวหยางแล้ว

มีคนมากมายอยู่ที่นี่ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น?

ท่านแม่โจวคาดการณ์ว่าโจวเอ้อร์นีคงจะไปช่วยดูแลร้านเกี๊ยวและคิดว่าในเมื่อหล่อนโตขนาดนี้แล้วก็คงจะไม่มีปัญหา นางจึงพยักหน้าและไม่เอ่ยอะไร

หลังทั้งครอบครัวกินเสร็จ หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็มาเยือนบ้านเก่าตระกูลโจว

โจวชิงไป๋นำเหล้าเหมาไถติดมือไปด้วยและคุยกับพี่ชายทั้งสาม ส่วนหลินชิงเหอหยิบห่อลูกกวาดไปสองห่อและแจกให้หลานชายหลานสาวนำไปแบ่งกันกิน

โจวลิ่วนีได้ไป 4 ชิ้น หล่อนก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยขึ้น “อาสะใภ้สี่ไม่มีอั่งเปาให้เหรอคะ? ปีนี้คุณอาเปิดร้านเกี๊ยวแล้วกิจการก็ออกจะดี ก็ควรจะให้อั่งเปาพวกเราสิคะ”

“มีลูกกวาดให้กินก็ยังไม่หยุดปากนะหนู” สะใภ้สามเอ่ยตำหนิก่อนจะทักทายหลินชิงเหอ “พี่รอเธอมาตั้งแต่กินเสร็จแล้วล่ะ มานั่งคุยกับพวกเราสิ ปีนี้น้องชายสี่กินอะไรเข้าไปน่ะจ๊ะ? เขาดูอ้วนกว่าเดิมอีก”

“พี่คิดว่าเขาคงน้ำหนักขึ้นสัก 30 ชั่งล่ะ” สะใภ้ใหญ่อมยิ้ม

คำพูดนี้กลบคำพูดตลกของโจวลิ่วนีเสียสิ้น

“ฉันไม่รู้ว่าอู่นีบอกพี่แล้วหรือยังนะคะ ว่าฉันรู้สึกว่าหล่อนกับหยางหยางตามเนื้อหาวิชาเรียนไม่ทันน่ะค่ะ ก็เลยอยากให้พวกเขาไปที่เมืองหลวงเมื่อวันหยุดฤดูร้อนปีหน้ามาถึง ตอนนั้นเจ้ารองคงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จแล้ว เขาคงจะสอนพิเศษให้พวกเขาได้” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม

“อู่นีบอกพี่เมื่อกลับมาถึงบ้างแล้วล่ะจ้ะ แม่หนูคนนี้ดูตื่นเต้นมาก แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนไหมจ๊ะหากพวกเขาไปถึงที่นั่น?” สะใภ้สามตอบ

“หยางหยางเองก็คิดอยากไปที่นั่นเหมือนกันจ้ะ เพียงแต่ว่าถ้าเขาไปถึงแล้วจะมีปัญหาเรื่องที่พักอาศัยน่ะสิจ๊ะ” สะใภ้ใหญ่ชี้ประเด็น

“ที่พักที่นั่นเล็กสักหน่อยแต่ถ้านอนที่พื้นได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ นอนสบายกว่าการนอนบนเสื่อฟางในโถงบ้านช่วงวันอากาศร้อนเยอะ” หลินชิงเหอตอบ

พวกเขาสามารถนอนบนชั้นสองของร้านเกี๊ยวได้ และในตึกอพาร์ตเมนต์ยังมีห้องอยู่อีก 2 ห้อง

ต่อให้เอ้อร์นี อู่นี กับหยางหยางไปที่นั่น มันก็ไม่ลำบากอะไร

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รอพ่อโจวกับแม่โจวไปเมืองหลวงนะคะ อายุขนาดนี้ควรได้อยู่ดีมีสุขแล้วค่ะ

ลิ่วนี ได้คืบจะเอาศอกนะ อยู่ชนบทไปซะเถอะ แม่ไม่เอาไปด้วยให้ลำบากหรอก

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset