บทที่ 309 กล้าทำหรือเปล่าล่ะ

บทที่ 309 กล้าทำหรือเปล่าล่ะ

บทที่ 309 กล้าทำหรือเปล่าล่ะ

หลินชิงเหอรู้ดีถึงเหตุการณ์นี้ในวันแรกของวันขึ้นปีใหม่ที่บ้านตระกูลโจว

ตอนนี้เธอกับโจวชิงไป๋ยังไม่ตื่นนอน น้องชายสามตระกูลหลินเป็นคนเอาใจใส่ผู้อื่น เขามักจะมาถึงบ้านของเธอราวสิบโมงเช้า ซึ่งถือว่าไม่เช้าเกินไป

ในช่วงฤดูหนาว หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋มักจะนอนตื่นสาย

ทั้งคู่ยังคงนัวเนียอยู่บนเตียง หัวเราะหยอกล้อกัน ไม่ประพฤติตนอย่างเหมาะสมเลยสักนิด

โจวชิงไป๋มีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ และสวมสอดแขนทั้งคู่กอดรอบกายของภรรยา

“ตอนนี้เจ็ดโมงเช้าแล้ว ได้เวลาตื่นแล้วค่ะ” แต่หลินชิงเหอยังมีสติรู้ตัวอยู่บ้าง นี่มันปีใหม่แล้วนะ พวกเขาจะมัวนอนตื่นสายได้อย่างไร?

เวลาอื่นพวกเขาอาจนอนตื่นสายได้ แต่ตอนนี้ลืมเสียเถอะ

อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็ยังคงอิดออดไม่ลุกจากเตียงจนกระทั่งถึงเวลาเจ็ดโมงครึ่ง

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวนอนหลับในอีกห้องหนึ่ง ตอนนี้ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่ด้านนอกห้อง

“ตื่นแล้วเหรอ? ไปแปรงฟันแล้วมาเตรียมอาหารเช้าได้แล้วนะ” ท่านแม่โจวพูด

หลังผ่านมาหลายปี นางก็คุ้นชินกับเรื่องนี้ไปแล้วจึงไม่พูดอะไรออกมา

ความจริงก็คือท่านแม่โจวรู้สึกปวดใจนักกับลูกชายคนเล็กและภรรยาของเขา

พวกเขาไปที่เมืองหลวงเพื่อทำงานอย่างสุดกำลังความสามารถ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นางได้ยินว่าสะใภ้สี่ต้องเตรียมการสอนจนถึงมืดค่ำทุกวัน ขณะที่ลูกชายคนเล็กต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปซื้อผักและเปิดร้าน

แม่ชราอย่างนางจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไรล่ะ?

เป็นโอกาสหายากยิ่งที่พวกเขาจะได้นอนต่อ ดังนั้นปล่อยให้พวกเขาได้นอนต่อเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้ก็ยังเช้าเกินไปและยังไม่มีแขกมาหา

มีแค่เพื่อนบ้านเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็ไม่เป็นปัญหาอะไร

โจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอไปแปรงฟันก่อนมาเตรียมอาหารเช้าด้วยกันหลังจากล้างชามแล้ว

เป็นเวลาสิบโมงเช้าพอดีในตอนที่น้องชายสามตระกูลหลินกับครอบครัวมาเยี่ยม

หลังแจกจ่ายลูกกวาดกับของขบเคี้ยวให้หลานชายหลานสาวแล้ว บรรดาผู้ใหญ่ก็ปล่อยให้เด็ก ๆ ออกไปวิ่งเล่น

ส่วนหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็สนทนากับน้องชายสามตระกูลหลินและภรรยา

หลังเอ่ยทักทายเสร็จ สะใภ้สามตระกูลหลินจึงถามขึ้นว่า “พี่สาวสาม พี่คิดว่าครอบครัวเราควรลองเสี่ยงเปิดร้านสะดวกซื้อดีไหมคะ?”

“ทำได้นะ แต่ต้องทนกับเรื่องยุ่งยากใจหน่อย ดังนั้นพวกเธอต้องเตรียมใจไว้ให้ดี แล้วก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอเพื่อนบ้านประเภทนำสินค้าไปก่อนแล้วจ่ายเงินทีหลัง ซึ่งพวกเธอต้องรู้ว่าจะขายให้ได้หรือเปล่า” หลินชิงเหอบอก

ในยุคนี้การทำร้านสะดวกซื้อนับว่ามีกำไรมาก ธุรกิจคงจะดำเนินไปได้ไม่เลว

สะใภ้สามตระกูลหลินพยักหน้า หล่อนไม่คิดเลยในเรื่องที่ว่ารับสินค้าก่อนจ่ายทีหลัง หลังได้ยินดังนี้แล้วหล่อนจึงเก็บไปพิจารณา

“นายทำธุรกิจมาได้ครบปีตั้งแต่ปีที่แล้ว นายน่าจะจับจุดอะไรได้แล้วนี่?” หลินชิงเหอหันไปถามน้องชาย

น้องชายสามตระกูลหลินยิ้ม “การทำธุรกิจนับว่าให้ผลตอบแทนสูงมากครับ”

อย่าดูถูกว่าผลตอบแทนที่ได้นี้เล็กน้อย หากคน ๆ นั้นเก็บหอมรอมริบไปทีละน้อยและดำเนินกิจการต่อไป มันก็ไม่ด้อยไปกว่าเงินเดือนของคนทำงานเลย อย่างเช่นรายได้ในช่วงหน้าหนาวจะอยู่ที่หลายร้อยหยวนต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าคนทำงานหลายเท่า มากยิ่งกว่ามากเสียอีก

“ทำธุรกิจก็ต้องมีผลตอบแทนอยู่แล้ว แต่ธุรกิจแบบนี้อีกหน่อยจะหายไป เหตุผลที่นายสามารถทำมันได้ในตอนนี้ก็เพราะว่ามีคนอีกมากยังไม่รู้ว่าทำแล้วได้ผลตอบแทนดี เมื่อพวกเขารู้ นายก็จะไม่ใช่คนเดียวที่ทำ อีกอย่างผู้คนก็กำลังมองนายตระเวนรับของอยู่ เชื่อหรือเปล่าล่ะว่าเดี๋ยวปีหน้าพวกเขาก็จะลอกเลียนแบบนาย?” หลินชิงเหอบอก

เรื่องนี้ทำให้น้องชายสามตระกูลหลินกับสะใภ้สามอึ้งกันทั้งคู่

น้องชายสามตระกูลหลินกลับสู่ท่าทางปกติอย่างสงบและเอ่ยขึ้น “ในเมื่อผมทำได้ คนอื่นก็ทำได้”

สะใภ้สามตระกูลหลินมีสีหน้ากังวล “แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?”

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ที่บ้านพัฒนาดีขึ้นแล้ว หล่อนก็ไม่อยากให้บ้านของหล่อนต้องกลับไปเป็นเหมือนที่เคย ในคราวนั้นแม้แต่ไข่ฟองเดียวพวกเขายังไม่กล้ากิน

ต่อให้ตอนนี้จะไม่ได้กินอย่างสำราญ อย่างน้อย ๆ หล่อนก็เต็มใจใช้ไข่จำนวนหนึ่งทำไข่คนทุกวัน และบางครั้งก็ได้ทำอาหารจานเนื้อสักมื้อ

“พี่ครับ พี่มีข้อเสนออะไรไหมครับ?” น้องชายสามตระกูลหลินถามพี่สาว

“นายลงไปที่อำเภอแล้วตั้งร้านสักร้าน” หลินชิงเหอตอบขณะมองสามีภรรยาคู่นี้

“ลงไปที่อำเภอแล้วตั้งร้านเหรอครับ/คะ?” น้องชายสามตระกูลหลินและภรรยาต่างประหลาดใจ

“ใช่แล้วล่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

“นี่…จะได้ผลเหรอครับ? เราเป็นคนชนบท จะเป็นเรื่องง่ายที่จะลงไปในอำเภอเพื่อเปิดร้านได้อย่างไรครับ” น้องชายสามตระกูลหลินผู้คุ้นชินกับการอยู่ในหมู่บ้านถึงกับสะดุ้ง

ต่อให้ตอนนี้พวกเขาทำเงินได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังมีสายเลือดชาวนาอยู่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนกระแสความคิดของพวกเขาหรอกถูกไหม?

“พี่เขยกับพี่ก็ไม่ใช่คนชนบทเหมือนกันหรือไง? ตอนนี้เราย้ายทะเยียนบ้านไปอยู่ในเมืองหลวงแล้ว” หลินชิงเหอเอ่ยเตือนสติ

“เราเป็นแบบนี้แล้วจะเทียบกับพี่ได้อย่างไรคะพี่สาวสาม” สะใภ้สามตระกูลหลินตอบ

“นี่เป็นเหตุผลที่พี่ไม่บังคับพวกเธอให้ย้ายไปอยู่ในเมืองหลวงอย่างไรล่ะ พี่คิดว่าพวกเธอต้องซื้อร้านแล้วตั้งรกรากอยู่ในอำเภอ ตอนนี้ราคาร้านค้าไม่แพงเกินเอื้อมนักหรอก แต่ในอนาคตข้างหน้าพวกเธออาจซื้อมันไม่ได้แล้วล่ะหากต้องการจะซื้อ” หลินชิงเหอบอก

ช่วงนี้ยังเป็นช่วงแรกของการปฏิรูป คนจำนวนมากต่างจับตามองและยังไม่กล้าที่จะลงสนาม แต่คนบางคนก็จมูกไวมาก เมื่อพวกเขาค้นพบโอกาส ก็ยากที่จะหาร้านค้าทำเลดีแล้ว

“พี่ครับ เมื่อใดที่เราเปิดร้านแล้ว เราควรขายอะไรดีครับ?” น้องชายสามตระกูลหลินถาม

“เรื่องนี้ง่ายจะตายไป? ถ้าในชนบทมีของอะไรกินได้นายก็ขนมาขายที่ร้านของนายสิ แต่ช่วงแรก ๆ นายจะต้องลำบากหน่อยล่ะ รอให้พี่ตระเวนดูของก่อนนะ ถ้าพี่ทำได้พี่จะซื้อมอเตอร์ไซค์ให้นาย ถึงตอนนั้นนายคงจะสบายขึ้น” หลินชิงเหอตอบ

น้องชายสามตระกูลหลินได้ฟังก็กลืนน้ำลายและเอ่ยต่อ “พี่ครับ ผม…ผมอาจซื้อร้านไม่ได้นะครับถ้าขาดเงินเป็นจำนวนมาก”

มอเตอร์ไซค์…เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนตาลุกวาว เขาเห็นคนบางคนขับขี่มันในตัวอำเภอแล้ว มันช่างรวดเร็วและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เพียงแค่เหลือบตามองก็บอกได้แล้วว่าราคามันไม่ถูก แล้วเขาจะจำเป็นต้องมีไปทำไม?

“งั้นก็อย่าซื้อมอเตอร์ไซค์ก่อนสิ ส่วนร้านค้าพี่ว่าซื้อตอนนี้แหละถึงจะดี นายมีเงินอยู่ในมือเท่าไหร่? พี่จะได้ให้คำปรึกษาถูก” หลินชิงเหอพูด

น้องชายสามตระกูลหลินทำเงินได้เป็นจำนวนมากในปีนี้ แต่เนื่องจากพวกเขาสร้างห้องใหม่ให้เด็ก ๆ อยู่ ทั้งครอบครัวจึงเหลือเงินเก็บไม่มากนัก

เหลือแค่ประมาณ 300 หยวนได้

“เงินเท่านี้ไม่พอซื้อแน่ ๆ ค่ะ” หลินชิงเหอมองหน้าโจวชิงไป๋

“งั้นก็ให้น้องคุณยืมไปสักส่วนเถอะ” โจวชิงไป๋รู้ว่าภรรยาหมายความว่าอะไรจึงเอ่ยขึ้นมา

หลินชิงเหอมองน้องชาย “พี่เขยบอกว่าเขาให้นายยืมได้บางส่วน ทั้งนี้ทั้งนั้นนายก็เอาไปซื้อร้านค้าเสียนะ พรุ่งนี้น้องสามีกับน้องเขยฉันจะมาเป็นแขกที่บ้าน พี่จะไปขอจากพวกเขาให้”

“เดี๋ยวนะครับพี่สาวสาม พี่จะให้ผมเปิดร้านในอำเภอจริงเหรอครับ?” น้องชายสามตระกูลหลินยังคงลังเล

แม้แต่สะใภ้สามตระกูลหลินก็มีอาการแบบเดียวกัน

“นายโง่หรือเปล่า? พี่เขยเต็มใจให้นายยืมเงินบางส่วนไปเปิดร้าน นายอยากจะรวบรวมไก่ไปขายอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตหรือยังไง?” หลินชิงเหอกล่าว “ฟังพี่สาวสามให้ดี มีตอนไหนที่พี่คนนี้ทำให้นายสูญเสียบ้าง? แค่อยากจะเห็นว่านายกล้าทำหรือเปล่าเท่านั้นเอง”

หลินชิงเหอปรารถนาดีต่อน้องชายสามอย่างแท้จริง น้องชายของเธอไม่ใช่คนประเภทลืมรากเหง้าของตัวเองเมื่อได้ดิบได้ดีแล้ว เธอยังหวังว่าน้องชายจะอยู่ดีกินดีในอนาคต แทนที่จะใช้ชีวิตหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินอยู่ในชนบทไปตลอดชีวิต

ซึ่งนั่นเหนื่อยยากเกินไป

………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

น้องชายสาม รับเงินไว้เถอะค่ะ มีร้านแล้วเดี๋ยวค่อยใช้คืน โอกาสดี ๆ ที่พี่สาวแนะนำให้ไม่ได้มาง่าย ๆ นะคะ

พ่ออยู่ในโอวาทของภรรยาดีมากค่ะ เชื่อฟังแม่แล้วจะเจริญนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset