บทที่ 315 ร้านค้าราคาถูก

บทที่ 315 ร้านค้าราคาถูก

บทที่ 315 ร้านค้าราคาถูก

หู่จือลูกชายของพี่สาวรองก็ได้มาที่บ้านในวันรุ่งขึ้น

เด็กหนุ่มในวัย 17 ปีสูงเกือบจะ 173 เซนติเมตรแล้ว ซึ่งในวัยนี้ไม่ถือว่าเตี้ย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับลูกชายของเธอแล้ว ก็ไม่ได้ถือว่าสูงมากนัก

แต่เขายังเติบโตขึ้นได้อีก ในอนาคตเขาจะต้องเป็นคนที่มีรูปร่างสูงอย่างแน่นอน

“กินอะไรมาหรือยังจ๊ะ?” หลินชิงเหอต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

“ผมกินมาแล้วครับ คุณน้าสะใภ้ไม่ต้องลำบากนะครับ” หู่จือพูดอย่างขัดเขินเล็กน้อย

“น้าได้ยินจากคุณแม่ของเธอว่าหล่อนอยากจะให้เธอไปเมืองหลวงกับน้าสี่ของเธอและน้า แต่นั่นเป็นความตั้งใจของคุณแม่ของเธอ น้าเลยอยากฟังความต้องการของเธอเองน่ะจ้ะ” หลินชิงเหอแสดงความเห็น

“คุณน้าสะใภ้ครับ ผมอยากไปครับ” หู่จือตอบ “ถึงแม้ผมจะเรียนหนังสือมาแค่ไม่กี่ปีและมีความรู้ไม่เยอะนัก แต่ผมจะทำทุกอย่างตามที่คุณน้าบอกให้ผมทำครับ”

หลินชิงเหอยิ้มให้ “อย่างนั้นถ้าน้าให้เธอไปตั้งแผงลอยขายของ เธอจะกลัวเสียหน้าไหม?”

มันไม่ใช่เรื่องที่น่านับถือนักในการตั้งแผงลอยขายของริมถนน

“มีอะไรต้องกลัวครับ? ผมเคยจับปลาเข้าไปขายในตัวเมืองด้วยซ้ำ กิจการค่อนข้างดีเลยครับ เสียแต่ว่ามีปลาน้อยเกินไป” หู่จือตอบกลับ

เด็กคนนี้มีผิวคล้ำ มองแล้วก็เห็นได้ชัดว่าส่วนใหญ่เขาอยู่กลางแจ้งตลอด

หลินชิงเหอได้ยินแล้วก็กล่าวอย่างยินดี “ในเมื่อเธอเต็มใจจะไปก็ไม่มีปัญหา”

เธอบอกหู่จือเรื่องกำหนดเวลาออกเดินทาง จากนั้นบอกให้เขาอยู่ต่อเพื่อกินอาหารกลางวัน แต่หู่จือปฏิเสธที่จะอยู่ต่อและกลับไป

“ดูไม่เลวเลยนะเด็กคนนี้” โจวชิงไป๋เอ่ย

หลินชิงเหอยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้า “เขาเป็นเด็กหนุ่มหน่วยก้านดีเลยค่ะ”

ลูกชายคนนี้ของพี่สาวรองจะมีอนาคตที่ไม่ย่ำแย่อย่างแน่นอน ถ้าเขาถูกชักนำไปในเส้นทางที่ถูกต้อง

และแล้วคนที่จะไปด้วยก็ได้ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้ที่เธอกลับเมืองหลวง เธอจะพาโจวเอ้อร์นี สวี่เชิ่งเม่ยและหู่จือไปด้วย

สำหรับเรื่องที่ว่าสะใภ้รองจะคิดอย่างไรนั้น หลินชิงเหอไม่ได้สนใจ

ในวันที่ 7 หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็เรียกน้องชายสามตระกูลหลินให้เข้าไปในเมืองด้วยกัน

หลินเชิงเหอแวะไปหาเสิ่นอวี้ก่อนเพื่อสะสางบัญชีของปลายปีที่แล้ว จากนั้นจึงไปหาซูต้าหลินพร้อมกับโจวชิงไป๋และน้องสามตระกูลหลิน

“ต้าหลิน ดูลูก ๆ อยู่ที่บ้านนะคะ ฉันจะพาพวกพี่ไปหาคุณป้า” โจวเสี่ยวเหมยบอก

“ตกลงครับ” ซูต้าหลินพยักหน้ารับ

โจวเสี่ยวเหมยพาพี่สี่ พี่สะใภ้สี่ของหล่อน และน้องสามตระกูลหลินไปหาคุณป้าของซูต้าหลิน

“พวกเธอมาที่นี่ได้ถูกเวลาพอดีเลย” คุณป้าซูเอ่ย

มันเป็นเวลาที่ประจวบเหมาะที่สุด เพื่อนเก่าร่วมชั้นเรียนของนางคนหนึ่งมีลูกชายฝาแฝดสองคน ทั้งคู่ต่างก็มีอนาคตที่ดี สองคนพี่น้องได้รับเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยระหว่างการจัดสอบเข้าในปีแรกและจะจบการศึกษาปีนี้ จากนั้นพวกเขาก็ได้ถูกจัดสรรให้ไปอยู่ในเมืองหลวงของมณฑลและจะไปตั้งรกรากทำงานที่อยู่นั่น

ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการขายที่อยู่ที่นี่และพาพ่อแม่ไปอยู่ด้วย

สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างดี แม้จะไม่มีสวนหลังบ้านขนาดใหญ่นัก แต่มันก็มีพื้นที่กว้างขวาง ถ้าบูรณะใหม่เสียหน่อยทั้งครอบครัวก็สามารถเข้ามาอยู่ที่นี่ได้

“บ้านหลังนี้ราคาไม่ถูกมากนัก ตั้งราคาไว้อยู่ที่ 700 หยวน แต่ป้าคิดว่ามันน่าจะต่อรองลงมาได้อีกนิดหน่อย” คุณป้าซูบอก

700 หยวน?

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋หันมามองหน้ากัน ถ้าเปรียบเทียบกับที่เมืองหลวงแล้ว มันไม่แพงเลย

ส่วนน้องชายสามตระกูลหลินกัดริมฝีปาก 700 หยวน…มันไม่ถูกเลย

พวกเขาไปที่บ้านหลังนั้นกัน ซึ่งนักศึกษามหาวิทยาลัยสองคนนั้นและคุณพ่อคุณแม่ของเขาอยู่ที่นั่นด้วย

หลังได้เดินดูสถานที่แล้ว ทั้งโจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอก็คิดว่ามันค่อนข้างดีทีเดียว ถึงจะนับว่าเป็นบ้านหนึ่งหลัง แต่ข้างในถูกแบ่งเป็นสองห้อง ห้องด้านนอกไม่ใหญ่มากจนเกินไปนัก แต่ถ้าจะใช้ทำธุรกิจก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่

อีกอย่างมันก็แค่ใช้พักอาศัยชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาสามารถซื้อที่อื่นใหม่ได้เมื่อมีเงินแล้ว

“ 700 หยวนถือว่าไม่แพงนะครับ พวกเรารีบขายมันไปหน่อย ไม่อย่างนั้นจะขายราคาสูงกว่านี้อีก 50 หยวนครับ” ลูกชายคนโตกล่าว

หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไร บ้านหลังนี้ดีมากและทำเลที่ตั้งก็เหมาะ

เธอมองไปที่น้องชายสามตระกูลหลินและถามว่า “นายคิดยังไง?”

“มันแพงเกินไปครับ” น้องชายสามตระกูลหลินอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

“ไม่แพงหรอกครับ ตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ของผมสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา พวกเขาใช้เงินไปเยอะมาก ด้วยสถานการณ์ที่ดีอย่างนี้ ราคาน่าจะสูงขึ้นอีกในอนาคตนะครับ” ลูกชายคนรองบอก

“ถ้าคุณต้องการ พวกเราสามารถจัดการให้เรียบร้อยในวันนี้ได้เลย แต่ถ้าทางคุณไม่ต้องการ บางทีพรุ่งนี้อาจจะมีคนอื่นเข้ามาดูบ้านครับ” ลูกชายคนโตกล่าวต่อ

หลินชิงเหอเหลือบมองไปที่น้องชายของเธอและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยดูให้หน่อยได้ไหมคะว่าพอจะลดราคาลงได้อีกหรือเปล่า? ไม่ว่าจะลดลงได้เท่าไหร่ พวกเราก็ตกลงกันได้ในวันนี้เลยค่ะ ว่าอย่างไรคะ?”

สองพี่น้องมองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็เสนอลดราคาลงไปอีก 20 หยวน ไม่สามารถลดลงไปต่ำกว่านี้ได้อีก

ดังนั้นร้านค้าที่สามารถพักอาศัยได้ในตัวก็ถูกซื้อมาในราคา 680 หยวน มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานจัดการที่อยู่อาศัยอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว การโอนบ้านจึงกระทำได้ในทันที และน้องชายสามตระกูลหลินก็ได้เป็นเจ้าของร้าน

วันพรุ่งนี้น้องชายสามตระกูลหลินจะมาทำความสะอาดบ้าน เขาจึงให้ทางครอบครัวผู้ขายได้อยู่ที่บ้านต่อในวันนี้ได้อีกหนึ่งวัน จากนั้นพี่น้องคู่นี้จะพาคุณพ่อและคุณแม่ของพวกเขาขึ้นรถโดยสารไปเมืองหลวงของมณฑลในวันพรุ่งนี้

“พรุ่งนี้นายมาที่นี่คนเดียวนะ พวกเราจะไม่มากับนายด้วย” หลินชิงเหอบอกกับน้องชายสามตระกูลหลิน

“พี่ครับ ผมเกรงว่าจะคืนเงินให้พี่ไม่ได้ในเร็ว ๆ นี้นะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินพยักหน้ารับรู้

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกนะ” หลินชิงเหอไม่ใส่ใจและยังออกปากอีกว่า “ร้านนี้ราคาไม่แพงเลยจริง ๆ”

น้องชายสามตระกูลหลินพูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “มันก็ไม่ได้ถูกด้วยเหมือนกันนะครับ”

มันเป็นเพราะปีที่แล้วเขาหาเงินมาได้มาก ไม่เช่นนั้นครอบครัวเขาจะมีเงินมาได้อย่างไร?

“อย่าโง่ไปเลยน่า ซื้อร้านไปแล้ว ทำให้เต็มที่และชีวิตนายจะไม่แย่หรอก ถูกไหม?” หลินชิงเหอกล่าว

น้องชายสามตระกูลหลินผงกศีรษะ

วันรุ่งขึ้นเขามารับกุญแจบ้าน และยังจัดการเปลี่ยนกุญแจด้วยตัวเอง จากนั้นเขาก็เริ่มทำความสะอาดร้านค้า

น้องชายสามตระกูลหลินเข้าไปในร้าน แม้ว่าร้านค้านี้จะมีราคาค่อนข้างแพงไปบ้าง แต่หัวใจเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

นี่เป็นร้านค้าของเขา เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะสามารถซื้อร้านในเมืองได้

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ออกเดินทางในวันที่ 10 มกราคม

โจวเอ้อร์นี สวี่เชิ่งเหม่ยและหู่จือร่วมเดินทางไปกับพวกเขาด้วย

พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ชายใหญ่ พี่สาวใหญ่และพี่สาวรองต่างเข้ามาในเมืองเพื่อส่งพวกเขาออกเดินทาง พวกเขายังสอนให้พวกเด็ก ๆ เชื่อฟังอยู่ในโอวาทด้วย

เมื่อรถโดยสารออกไปแล้วพี่สะใภ้ใหญ่และคนอื่น ๆ จึงหันกลับมาเพื่อจะกลับบ้าน เป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาได้เห็นโจวลิ่วนีที่กำลังแอบอยู่

“ลิ่วนี ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” พี่สะใภ้ใหญ่ถาม

“หนูแค่จะมาดูเพื่อให้เห็นกับตาว่าอาสะใภ้สี่ของหนูเป็นคนลำเอียงขนาดไหน!” พูดจบโจวลิ่วนีก็วิ่งหนีไป

“เด็กคนนี้นี่!” พี่สะใภ้ใหญ่ขมวดคิ้ว

“นั่นหนูจะวิ่งไปไหน? กลับมาก่อน” พี่ชายใหญ่พูด

พวกเขาให้พี่สาวใหญ่และพี่สาวรองกลับไปก่อน ส่วนพี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ตามหาตัวโจวลิ่วนีอยู่นานกว่าหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ตามหาไม่เจอ แต่เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้านก็พบว่าโจวลิ่วนีได้กลับบ้านมาแล้วตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้

โจวลิ่วนียังคงคร่ำครวญว่า “คุณลุงใหญ่ทำอะไรอยู่คะ? หนูเดินกลับมาตลอดทางแล้วคุณลุงยังไม่เจอตัวหนูอีก คุณลุงจงใจหลบเลี่ยงหนูไม่ให้หนูได้นั่งรถกลับด้วยใช่ไหมคะ? ครอบครัวของหนูก็มีสิทธิ์ในจักรยานคันนี้ด้วยเหมือนกันนะคะ!”

เรื่องนี้ทำให้พี่สะใภ้ใหญ่ ซึ่งปกติแล้วเป็นคนอารมณ์เย็นถึงกับโกรธจัด

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset