บทที่ 324 คนสำคัญ

บทที่ 324 คนสำคัญ

บทที่ 324 คนสำคัญ

ในที่สุดก็มีคนถามคำถามนี้กับหล่อนเสียที

โจวลิ่วนีเริ่มพรั่งพรูความเจ็บแค้นของหล่อนออกมาทันที “แม่คะ แม่ไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนั้นทำอะไรเกินเลยไปมากแค่ไหน!”

การเดินทางจากที่นี่ไปถึงเมืองหลวงนั้นมันยากลำบากมากขนาดไหนสำหรับหล่อน? ระหว่างทางหล่อนเกือบถูกลุงชั่วคนหนึ่งฉุดไปที่ภูเขาด้วยจุดประสงค์ชั่วร้าย โชคดีที่หล่อนเป็นคนฉลาด หล่อนรีบวิ่งหนีไปหาเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วรถไฟทันทีและคอยติดตามพวกเขาตลอดการเดินทางจนถึงเมืองหลวง

เมื่อหล่อนไปถึงที่เมืองหลวง หล่อนไม่รู้อะไรเลย หลังจากที่ค้นหาอยู่นานหล่อนถึงได้พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นหล่อนจึงแจ้งว่ากำลังหาทางไปมหาวิทยาลัยปักกิ่ง

พูดได้ว่าหล่อนต้องผ่านความยากลำบากมากระหว่างการเดินทางครั้งนี้ก่อนที่จะสิ้นสุดการเดินทาง

สวรรค์รู้ดีว่าหล่อนดีใจมากขนาดไหนเมื่อได้เห็นโจวข่าย เมื่อหล่อนได้กินเกี๊ยวที่ร้านของคุณอาสี่แล้ว หล่อนก็ต้องการจะพักอยู่ที่นั่นด้วย

แต่เมื่อหล่อนไปถึงที่อะพาร์ตเมนต์และได้พบกับอาสะใภ้สี่ของหล่อน อาสะใภ้สี่กลับโกรธมากและบอกให้หล่อนกลับไปในทางเดิมที่มา

“หนูเป็นหลานสาวของอาสี่ ไปถึงที่นั่นหนูยังไม่ได้พักอยู่สักสองสามวันเลย ผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมให้หนูค้างแม้แต่คืนเดียว หล่อนไล่หนูกลับออกมาทันที หนูไม่เคยเห็นใครไม่มีหัวจิตหัวใจเท่ากับหล่อนเลย ไม่ว่าหนูจะร้องไห้อ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล!” โจวลิ่วนีเล่า

หล่อนอยากจะเกลียดอาสะใภ้สี่คนนั้นเข้ากระดูกดำจริง ๆ หล่อนไม่เคยเห็นใครใจแข็งอย่างนี้เลย หลังจากที่ไปถึงที่นั่นด้วยความลำบาก หล่อนคิดว่าหล่อนจะได้อาศัยอยู่ที่เมืองหลวงในอนาคต แต่ไม่เลย คุณอาสะใภ้สี่ทำอย่างนั้นจริง ๆ ส่งหล่อนกลับมาในเส้นทางเดียวกับที่หล่อนไป!

สะใภ้รองหน้าขาวซีดเมื่อได้ฟัง

ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลยว่าเหตุผลที่ลูกสาวของหล่อนสามารถเดินทางไปเมืองหลวงได้ในคราวนี้เป็นเพราะการกระทำของหล่อน

เป็นอย่างที่โจวข่ายพูด การเดินทางไปเมืองหลวงมีค่าใช้จ่ายสูง เด็กสาวอย่างโจวลิ่วนีจะหาเงินได้มาจากที่ไหนกัน?

พวกหล่อนวางแผนใช้วิธีประหารก่อนรายงานทีหลัง เริ่มจากการใช้ข้ออ้างว่าลูกสาวของหล่อนจะไปอาศัยอยู่กับคุณตาคุณยาย แต่ที่จริงแล้วโจวลิ่วนีหนีไปเมืองหลวงด้วยตัวเอง

เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนแล้ว จากนั้นหล่อนก็แค่ทำเป็นดุด่าลูกสาวว่าเป็นเด็กวอนตายไม่มีหัวคิดเท่านั้นเอง ถึงตอนนั้นลูกสาวของหล่อนก็คงทำเรื่องสำเร็จผลได้ไปอยู่ที่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว หรือไม่ใช่?

ด้วยความเฉลียวฉลาดของลูกสาวคนรอง หล่อนจะสามารถหาลูกเขยที่เมืองหลวงได้ และทั้งครอบครัวอาจจะได้ถูกพาไปที่เมืองหลวงได้มีชีวิตที่ดี

สะใภ้รองวางแผนไว้หมดแล้ว อย่างไรก็ตามหล่อนไม่ได้คาดมาก่อนว่าหลินชิงเหอจะแข็งกร้าวและโต้กลับด้วยวิธีการเช่นนี้

ลูกสาวของหล่อนเพิ่งจะไปถึงที่เมืองหลวงและหลินชิงเหอก็ไม่ยอมให้พักค้างคืนสักคืน หล่อนถูกส่งกลับมาในทันที

สะใภ้รองโกรธมากเสียจนปวดหัว

พอตอนนี้สะใภ้สี่เจริญก้าวหน้าขึ้น หล่อนก็เริ่มจะดูถูกผู้อื่นจริง ๆ!

ไม่ ไม่ใช่เริ่มดูถูก หล่อนดูถูกคนอื่นอย่างนี้มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? ช่วงกลาง ๆ หล่อนทำตัวดีขึ้น จากที่มองกลับไปในตอนนี้หล่อนทำตัวดีขึ้นจริงหรือ? มันเห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะสามีของหล่อนเกษียณจากกองทัพและหล่อนก็ไม่ได้เป็นภรรยานายทหารอีกต่อไป

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมทัศนคติของหล่อนถึงได้เริ่มเปลี่ยนไป

ตอนนี้เมื่อหล่อนมีชีวิตก้าวหน้าในเมืองหลวง หล่อนก็กลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาทีเดียว!

“แม่คะ แม่คงจะไม่รู้ว่าเอ้อร์นีกับคนอื่น ๆ ไม่ได้ไปทำงานอยู่ที่ร้านเกี๊ยวกันเลย!” โจวลิ่วนีพูดต่อ

สะใภ้รองนิ่งอึ้งไป “ลูกหมายความว่าอย่างไร? พวกเขาไปทำงานที่ไหนถ้าไม่ใช่ที่ร้าน?”

“ผู้หญิงคนนั้นเปิดร้านเสื้อผ้าที่นั่น เอ้อร์นี หู่จือและสวี่เชิ่งเหม่ยไปทำงานอยู่ที่ร้านนั้นกันทุกคน ส่วนที่ร้านเกี๊ยวของหล่อนจ้างแม่เฒ่าคนหนึ่งไว้คอยล้างจานและเก็บโต๊ะ!” โจวลิ่วนีเล่ารายละเอียด

“ฮ่ะ?” สะใภ้รองตะลึง “ร้านเสื้อผ้ามาจากที่ไหนกัน?”

“ผู้หญิงคนนั้นเจ้าเล่ห์มาก หล่อนไม่พูดอะไรเลยตอนที่หล่อนอยู่ที่บ้านเกิด หล่อนแอบเปิดร้านเสื้อผ้าที่เมืองหลวงเงียบ ๆ หนูเดาว่าร้านนั่นจะต้องได้กำไรดีมากแน่ ๆ เลยค่ะ ไม่อย่างนั้นหล่อนคงจะไม่ให้เอ้อร์นีกับอีกสองคนไปที่นั่นหรอก” โจวลิ่วนีวิเคราะห์

“แล้วทางร้านเกี๊ยวล่ะ?” จิตใจของสะใภ้รองรู้สึกสับสนและอดไม่ได้ที่จะสอบถามเพิ่มเติม

“ธุรกิจที่ร้านเกี๊ยวไม่ค่อยดีนักหรอกค่ะ หนูไปถึงที่นั่นในตอนบ่าย ที่ร้านมีลูกค้ากินเกี๊ยวอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น” โจวลิ่วนีตอบ

ที่หล่อนไม่รู้ก็คือว่าคนที่เมืองหลวงนั้นกินอาหารกลางวันกันเร็ว ช่วงเวลาที่ขายดีคือช่วง 11.30 ถึง 13.00 นาฬิกา ตอนที่หล่อนไปถึงที่นั่นเป็นเวลา 13.30 น. แล้วจึงเป็นธรรมดาที่จะมีคนน้อย

ดวงตาของสะใภ้รองเริ่มฉายแววงุนงงมากขึ้น หล่อนถามสามีของหล่อน เขากล่าวว่าร้านเกี๊ยวสามารถทำเงินได้ 20 ถึง 30 หยวนต่อเดือน น้องชายสี่เป็นคนบอกเขาอย่างนั้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องจริง

หล่อนไม่รู้ว่าหลินชิงเหอเปิดร้านเสื้อผ้าเป็นอาชีพเสริม

หล่อนพาคนไปดูแลร้านที่นั่นถึงสามคน เกรงว่าธุรกิจนี้จะไม่ธรรมดา

“ลูกได้ไปเห็นที่นั่นหรือเปล่า?” สะใภ้รองถาม

“หนูจะไปได้อย่างไรกันคะ? หนูต้องรีบกลับก่อนที่จะมีโอกาสได้ค้างคืนด้วยซ้ำไป” โจวลิ่วนีตอบ จากนั่นหล่อนก็รีบพูดว่า “แม่คะ แม่ไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนั้นมีของทุกอย่างในบ้านของหล่อนเลย หนูได้เห็นมันหมดทุกอย่าง นอกจากจะมีวิทยุแล้ว ยังมีทีวีชุดใหญ่ เก้าอี้ในห้องก็ไม่ใช่เก้าอี้แต่เป็นโซฟา มันเหมือนกับนั่งอยู่บนก้อนเมฆเลยค่ะ โจวข่ายกับน้องชายของเขาต่างก็มีนาฬิกาคนละเรือน และเสื้อผ้าก็เป็นชุดใหม่ทั้งหมด!”

ถึงแม้ว่าหล่อนจะอยู่ในบ้านนั้นเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่หล่อนก็มองสำรวจไปรอบ ๆ บ้าน หล่อนไม่เคยเห็นบ้านที่วิเศษขนาดนี้มาก่อน

มันเป็นเหมือนบ้านในฝันของหล่อนเลย ทั้งสวยและทั้งสะดวกสบาย

หล่อนคิดว่าหล่อนจะได้อาศัยอยู่ที่นั่นนับต่อจากนั้นไป แม้ว่าในเวลานั้นหล่อนจะวิตกกังวล แต่หล่อนก็มั่นใจว่าหล่อนจะได้อยู่ต่อ

เพราะอย่างไรหล่อนก็ไปถึงที่นั่นเรียบร้อยแล้ว คุณอาสะใภ้สี่คงจะไม่ไล่หล่อนกลับไปจริง ๆ หรอกใช่ไหม? หล่อนไม่ต้องการจะรักษาชื่อเสียงของหล่อนหรอกหรือ?

ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะสามารถทำเรื่องแบบนั้นได้จริง ๆ

หล่อนจะรู้ได้อย่างไรว่าชื่อเสียงของหลินชิงเหอไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากเรื่องเล็กน้อยแค่นี้? นี่เป็นการประเมินหล่อนไว้ต่ำเกินไป

เมื่อเรื่องนี้กระจายออกไปใครจะกล้ากล่าวโทษหล่อน? หลานสาวที่กล้าแอบหนีพวกผู้ใหญ่ออกมาจากบ้านในตอนที่อายุยังน้อยขนาดนี้ ขอถามว่าคนที่พอจะมีสมองอยู่น้อยนิดคนไหนบ้างจะกล้าเก็บเด็กคนนี้ไว้?

หล่อนอายุ 15 ปีแล้วในปีนี้ จะบอกว่ายังเป็นเด็กอยู่ก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ในยุคก่อนหน้านี้อายุ 16 ก็สามารถแต่งงานได้แล้ว

ตอนนี้อายุที่แต่งงานได้ถูกเลื่อนมาเป็นอายุ 18 ปี แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่มีความอดทนและรีบร้อนล่ะ? อีกทั้งพวกเขาพุ่งเป้าไปที่คนร่ำรวยในเมืองหลวงและต้องการจะมีสายสัมพันธ์กับคนที่นี่? พวกเขาจะมองหาใคร?

หลินชิงเหอจะกล้ารับคนที่ไร้หัวคิดอย่างโจวลิ่วนีไว้ได้อย่างไร? ไม่จำเป็นต้องเก็บมาคิดใคร่ครวญเลย

ทิ้งเรื่องของสะใภ้รองผู้ที่ยังรู้สึกสับสนทางนี้ไว้ก่อน เพราะโจวข่ายได้เดินทางกลับไปถึงเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันต่อมา

เมื่อเขากลับมาถึงที่เมืองหลวงแล้ว โจวข่ายก็คว้าเสื้อผ้าของเขาและตรงไปที่โรงอาบน้ำเพื่อจะอาบน้ำให้สบายตัวก่อนที่จะกลับไปรายงานผล

“ป๊า ม้า ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมส่งลิ่วนีกลับไปเรียบร้อยแล้ว ผมพาหล่อนไปส่งถึงมือของลุงรองเลยแล้วก็ฝากคำพูดถึงลุงรองแล้วด้วยครับ บอกลุงรองว่าให้คอยจับตาดูไว้ดี ๆ ต่อไปหล่อนคงจะไม่กล้ามาที่นี่เองแล้วครับ” โจวข่ายพูด

เขานับถือคุณแม่ของเขาจากหัวใจ เฉียบคมและเด็ดขาดโดยไม่มีความลังเลใจใด ๆ

เมื่อโจวชิงไป๋ได้ยินว่าส่งหล่อนกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลินชิงเหอมีคำถามมากมาย “สุขภาพของคุณปู่คุณย่าของลูกเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ดีครับ ปู่กับย่าโกรธมากตอนที่รู้ว่าลิ่วนีมาที่นี่เองคนเดียว” โจวข่ายเล่า “ป้าสะใภ้สามเล่นงานป้าสะใภ้รองโดยแดกดันว่าหล่อนเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนโง่ด้วยครับ”

………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อ่านตอนสองแม่ลูกบ้านรองแล้วผู้แปลก็ปวดหัวเหมือนกันค่ะ คิดไงเนี่ยสะใภ้รอง ถึงวางแผนปล่อยให้ลูกสาวเดินทางไปเมืองหลวงคนเดียว ลูกสาวเธอเกือบโดนฉุดแล้วไหมล่ะ เกิดตาลุงนั่นฉุดลูกเธอไปทำมิดีมิร้ายสำเร็จเธอก็เตรียมร้องไห้ตีอกชกหัวเถอะ

อย่างไรก็สมน้ำหน้าแล้วกันนะคะ ทุบหม้อข้าวตัวเองไปแล้ว ต่อไปเดือดร้อนขึ้นมาจริง ๆ จะไปขอความช่วยเหลือจากสะใภ้สี่ก็ยากแล้วค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset