บทที่ 325 ทำให้ผู้คนอิจฉา

บทที่ 325 ทำให้ผู้คนอิจฉา

บทที่ 325 ทำให้ผู้คนอิจฉา

“ในช่วงไม่กี่ปีมานี้คุณป้าสะใภ้รองของลูกตรงไปตรงมามากนะ” หลินชิงเหอยิ้มยิงฟัน

“ตอนที่ผมจะเดินทางกลับมา ป้าสะใภ้ใหญ่ทำเล่าปิ่งให้ผมมากินระหว่างทางด้วยครับ” โจวข่ายเล่าให้ฟังเพิ่ม

“อือ ป้าสะใภ้ใหญ่ดูแลพวกลูก ๆ อย่างดีมาตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ เลย” หลินชิงเหอพยักหน้า

เนื่องจากไม่มีเรื่องอื่นอีก เธอจึงให้ลูกชายกลับไปเรียนตามให้ทันคนอื่น สำหรับเรื่องของโจวลิ่วนีก็ทำเหมือนว่าเรื่องนี้จบไปแล้วจะดีกว่า

“เรื่องในครอบครัวของเราต่อไปฉันจะเป็นคนตัดสินใจเองนะคะ” หลินชิงเหอกระซิบบอกกับโจวชิงไป๋ในตอนกลางคืน

โจวชิงไป๋หัวเราะออกมา ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาเรื่องในครอบครัวก็เป็นหล่อนที่เป็นคนตัดสินใจมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ?

“ครั้งนี้คุณทำตัวดีมากเลยค่ะ ถ้าคุณห้ามฉันเรื่องที่ส่งลิ่วนีกลับไปแล้วละก็ลืมเรื่องที่ครอบครัวเราจะได้มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขไปได้เลย” หลินชิงเหอส่งเสียงฮึ่ม ๆ ออกมา

“แล้วมีรางวัลอะไรตอบแทนให้บ้างไหมครับ?” โจวชิงไป๋มองมาที่เธอ

หลินชิงเหอเข้าใจจากท่าทางของเขาและกระแอมออกมาเสียงแหบแห้งว่า “อย่าก่อกวนนะคะ พรุ่งนี้คุณต้องตื่นแต่เช้า”

ถึงแม้ว่าเขาจะต้องตื่นเช้า แต่โจวชิงไป๋ก็ยังอยากจะก่อกวนอยู่ดี เขาก่อกวนอยู่สองรอบก่อนที่มันจะจบลง จากนั้นเขาจึงพูดอย่างใจกว้างเป็นอันมากว่าต่อไปในอนาคตให้เธอเป็นคนตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ

“คนตัวเหม็น รู้แต่วิธีที่จะทรมานคนเท่านั้น” หลินชิงเหอมองค้อนน้อย ๆ ใส่เขา จากนั้นเธอก็สวมกอดรอบเอวของโจวชิงไป๋แล้วสูดดมกลิ่นกายอันน่าหลงใหลของชายชาตรี

เธอรู้นิสัยของตนเองดี สามารถพูดได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างแข็ง ผู้ชายธรรมดาทั่วไปไม่สามารถจะทนรับกับบุคลิกของเธอได้

อย่างไรก็ดีตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ ชายคนนี้กลับยอมรับในตัวเธอและรักเธอ

ดังนั้นหลินชิงเหอจึงรักผู้ชายคนนี้มากเช่นกัน

โจวชิงไป๋นอนหลับไปอย่างมีความสุขโดยมีภรรยาของเขาอยู่ในอ้อมกอด ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นไม่ได้มีผลอะไรกับเขาเลย

สำหรับเขาแล้วตราบใดที่พ่อกับแม่ของเขามีสุขภาพที่ดีและภรรยากับลูก ๆ ของเขาอยู่อย่างปลอดภัย เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล

เนื่องจากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปกังวลในเรื่องอื่นอีกแล้ว

แม้ว่าโจวลิ่วนีจะโผล่เข้ามาในวันที่สงบสุขของพวกเขา แต่เรื่องก็ถูกจัดการให้จบลงด้วยวิธีการที่รวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบของหลินชิงเหอ

ไม่มีแรงกระเพื่อมแม้แต่นิดเดียว

วันเวลาผ่านไปและเริ่มเข้าสู่เดือนพฤษภาคม

ในฤดูกาลนี้หลินชิงเหอเริ่มร่างแบบเสื้อผ้าสำหรับหน้าร้อน

พวกมันยังคงเป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงและทั้งหมดก็เป็นแบบที่ทันสมัย

โจวชิงไป๋ไปเจอโรงงานที่ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่งที่พวกเขาน่าจะสามารถร่วมงานกันได้ในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าของโรงงานแห่งนี้เป็นคนหนุ่มอายุน้อย

“เป็นคนรวยในปักกิ่งที่แยกตัวออกมาจากครอบครัวและมาทำงานเป็นของตัวเองน่ะครับ” โจวชิงไป๋ตอบคำถามของหลินชิงเหอ

“ฟังดูเหมือนจะเป็นทายาทคนรวยรุ่นสองที่มีความทะเยอทะยานนะคะ” หลินชิงเหอตั้งข้อสังเกต

โรงงานของคนรุ่นที่สองนี้ส่งสินค้ามาให้ได้อย่างรวดเร็วมาก และเสื้อผ้าที่ส่งยังมีคุณภาพสูงมากอีกด้วย

หลินชิงเหอให้โจงชิงไป๋สั่งทำเสื้อผ้าหน้าร้อนมากกว่า 500 ตัว มีทั้งหมด 5 แบบและสี ปริมาณการสั่งทำค่อนข้างมากทีเดียว แต่เจ้านายหนุ่มคนนี้ยังเร่งทำงานให้กับเธอจนเสร็จภายในเวลาเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น

และเขายังบอกอีกว่าถ้ามีงานแบบนี้อีกให้มาหาเขา เขาสามารถรับประกันคุณภาพสินค้าให้ได้เลย

หลินชิงเหอจะยังคงร่วมมือกับเขา ณ ช่วงเวลานี้ไปก่อน

อย่างไรก็ตาม ความคิดในเรื่องการเปิดศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ ของตัวเองนั้นยังไม่สั่นคลอน ถ้าพวกเขาเปิดศูนย์ตัดเย็บเป็นของตัวเองได้แล้ว ในอนาคตจะไม่มีใครสามารถมาสร้างผลกระทบให้กับพวกเขาได้อีก

เนื่องจากเสื้อผ้าพวกนี้เป็นการสั่งทำคราวละมาก ๆ นั่นหมายถึงว่ามีคนจำนวนมากที่จะใส่เสื้อผ้าในแบบเดียวกัน ในยุคนี้ยังไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการมีเสื้อผ้าเป็นแบบเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะเป็นเจ้าของเสื้อผ้าในแบบเดียวกัน

คุณสามารถจะใส่มันได้ คนอื่นก็สามารถเช่นกัน ถูกต้องไหม?

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หลินชิงเหอยังมีแผนการอีกอย่างหนึ่งอยู่ในใจ เธอต้องการจะทำเสื้อผ้าที่มีราคาแพงกว่านี้

วิธีการได้ถูกคิดกำหนดออกมาแล้ว เสื้อผ้าในแต่ละแบบจะถูกผลิตเพียงแค่แบบละ 3 ตัวเท่านั้น ขณะที่กำไรที่ได้ในแต่ละตัวจะสูงขึ้นมาก

เสื้อผ้าสำเร็จรูปจะมีต้นทุนอยู่ที่ 7-8 หยวนต่อตัว สำหรับเสื้อผ้าเหล่านี้หลินชิงเหอตั้งใจจะขายในราคา 15 หยวนต่อตัว

แต่ค่อยพูดถึงเรื่องพวกนี้อีกทีหลังจากที่ซื้อจักรเย็บผ้ากลับมาแล้วดีกว่า สถานการณ์ในปัจจุบันถือว่าเป็นไปด้วยดี

กล่าวได้ว่าการมีโรงงานผลิตเสื้อผ้าส่วนตัวจะช่วยพวกเธอในเรื่องของการผลิตเสื้อผ้า และทำให้ร้านขายเสื้อผ้าของหลินชิงเหอไม่ต้องขาดแคลนสินค้าอีกต่อไป

อีกราว ๆ ประมาณ 1 เดือน โจวเฉวี่ยนจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ดังนั้นจากนี้เป็นต้นไป หลินชิงเหอจะให้ความสำคัญกับการเรียนของโจวเฉวี่ยนเป็นอันดับแรกเพื่อให้คำแนะนำแก่เขา

ผลการเรียนของโจวเฉวี่ยนนั้นติดอยู่ใน 5 อันดับแรกในโรงเรียนของเขา

ตอนที่เรียนชั้นปีที่หนึ่งเคยมีการแข่งขันมาก่อน เขาก็สามารถติดอันดับอยู่ใน 5 อันดับแรกได้เช่นกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้วอันดับของเขาจะขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ในอันดับประมาณนี้

เนื่องจากนี่เป็นโรงเรียนมัธยมปลายอันดับต้น ๆ จึงมีนักเรียนระดับหัวกะทิเรียนอยู่มากมาย แม้จะมีหลินชิงเหอสอนพิเศษให้เป็นการส่วนตัว แต่มันก็ยังมีคนที่มีมันสมองระดับอัจฉริยะอยู่ด้วย

ในช่วงเวลาหนึ่งนั้นโจวเฉวี่ยนได้กินแต่อาหารดี ๆ มากมาย

โจวชิงไป๋ได้ยินมาจากคุณป้าหม่ามาว่าสมองหมูช่วยบำรุงสมอง เธอจึงไปหาเจ้าของร้านขายเนื้อหมูเป็นการเฉพาะขอให้ส่งสมองหมูสองก้อนให้กับเธอทุกวัน

สมองหมูตุ๋นกับตังกุย(1) ถูกเตรียมไว้ให้พวกเขาทั้งสี่คนได้กินกัน ซึ่งหลินชิงเหอไม่สามารถฝืนทนกับรสชาติของมันได้

ในขณะที่โจวข่ายและโจวกุยหลายสวาปามมันเข้าไปจนหมดอย่างมีความสุข ตั้งแต่แรกแล้วที่ต่อมรับรสของโจวเฉวี่ยนเหมือนกับแม่ของเขา เขาไม่สามารถทนรสชาติของมันได้เหมือนกัน

แต่เขายังคงถูกบังคับให้ต้องกินครึ่งถ้วยทุกวันอย่างเต็มกลืน

นอกจากสมองหมูแล้วยังมีไก่ในทุก ๆ สามวัน มีอุ้งตีนหมูตุ๋นกับถั่วลิสงและอย่างอื่นประมาณนี้ด้วย

“การกินอาหารสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของพี่รองทำให้ผมเหมือนมีภาพมายาว่าพี่กำลังกินอาหารหลังคลอดลูกอยู่เลย?” โจวกุยหลายเอ่ย

“พรูดด!” โจวข่ายพ่นสำลักน้ำชาที่เขาเพิ่งจิบออกมา

“พี่ใหญ่!” โจวกุยหลายที่ถูกน้ำพ่นใส่หน้าถึงกับตะลึง

“อย่าโทษฉัน โทษตัวนายเองเถอะ” โจวข่ายโบกมือ

“เสื้อตัวใหม่ของผม!” โจวกุยหลายเริ่มทำตัวน่ารำคาญ

เขาเริ่มทำตัวไร้สาระนิดหน่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่เขาคิดว่าตัวเองโตขึ้นและสามารถจีบสาว ๆ ได้แล้ว เขาจะแต่งตัวจัดเต็มเพื่อหว่านเสน่ห์ทุกวัน เสื้อผ้าที่ใส่ก็ได้มาจากการเซ้าซี้ขอจากหลินชิงเหอ

“ครั้งหน้าก็ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าของฉัน นายขอให้แม่ซื้อให้นายแทนในส่วนของฉันแล้วกัน” โจวข่ายบอก

“แม่ไม่ยอมซื้อเพิ่มให้ผมหรอก!” โจวกุยหลายโต้กลับ

โจวข่ายไม่สนใจเขาและหันมาสนใจเรื่องการเรียนของน้องรองของเขา ซึ่งโจวเฉวี่ยนกล่าวว่า “วันนี้ผมอยากจะหยุดพัก พี่ใหญ่ ไปเล่นบาสเกตบอลกันไหม?”

“ม้าเห็นด้วยไหมครับ?” โจวข่ายมองไปที่คุณแม่ของเขา

หลินชิงเหอกำลังคุยกับคุณป้าหม่าค้างอยู่จึงถามกลับว่า “มีอะไร?”

“น้องรองบอกว่าเขาอยากจะไปเล่นบาสเกตบอลครับ และอยากจะหยุดเรียนวันนี้หนึ่งวัน” โจวข่ายอธิบาย

“การแบ่งเวลาระหว่างเรื่องงานกับเรื่องพักผ่อนเป็นสิ่งที่ดี ไปออกกำลังกายให้เหงื่อออกก็ไปเถอะ” หลินชิงเหอเห็นด้วย “ถ้าลูกจะกลับมากินมื้อเย็น อย่าลืมบอกล่วงหน้าด้วย ตอนกลับแม่จะได้เอาเกี๊ยวกลับไปให้ด้วย”

“ผมกลับมากินครับ แบ่งมาให้พวกผมด้วย” หลังจากที่โจวข่ายพูดจบ เขาก็ขี่จักรยานออกไปกับโจวเฉวี่ยนเพื่อไปเล่นบาสเกตบอลที่โรงเรียน

โจวกุยหลายไปหาหู่จือกับคนอื่นที่ร้านเสื้อผ้า

คุณป้าหม่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชมว่า “วัยรุ่นสามคนนี้ช่างทำให้ผู้คนอิจฉาได้จริง ๆ”

หลินชิงเหอหัวเราะออกมา “ตอนที่พวกเขายังเป็นเด็ก ฉันรู้สึกทุกข์ใจอยู่บ่อย ๆ เลยค่ะ พ่อของพวกเขาเป็นทหารต้องไปทำงานอยู่ข้างนอก ฉันต้องยุ่งดูแลพวกเขาอยู่คนเดียว แค่ฉันละสายตาไปแป๊บเดียวเนื้อตัวพวกเขาก็เต็มไปด้วยขี้โคลนแล้วค่ะ”

“ตอนนี้สบายแล้วนะจ๊ะ” คุณป้าหม่าพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“อ๋อ คุณป้าคะ ลูกชายคนรองของคนป้าจะกลับมาเมื่อไหร่คะ?” หลินชิงเหอถาม

“เขาจะกลับมาเดือนหน้านี้จ้ะ เขาจะพาภรรยากับลูก ๆ มาด้วย” คุณป้าหม่ายิ้มเต็มหน้าเมื่อพูดถึงลูกชายคนที่สองของนาง

………………………………………………………………….

(1) พืชสมุนไพรจีนชนิดหนึ่งมีสรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงเลือด

สารจากผู้แปล

พ่อนี่ชอบทวงผลประโยชน์จากแม่อยู่เรื่อยเลยนะคะ ๕๕๕

ไม่เอาน่าเจ้าสาม อย่าล้อพี่แบบนั้น เดี๋ยวอีกหน่อยก็ถึงคราวตัวเองได้โดนขุนแบบนั้นบ้างเหมือนกัน

เมนูสมองหมูนี่แล้วแต่คนชอบจริง ๆ ค่ะ ผู้แปลคิดว่าสมองหมูมันนิ่ม ๆ อร่อยดี ขณะที่บางคนอาจจะแขยงเพราะเนื้อสัมผัสมันหยึยๆ เละ ๆ นอกจากสมองหมูแล้วผู้แปลก็คิดว่าปอดหมูเป็นส่วนที่อร่อยเหมือนกัน แต่หากินยากมาก แล้วผู้อ่านชอบเครื่องในหมูส่วนไหนกันบ้างคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset