บทที่ 356 พึงพอใจ

บทที่ 356 พึงพอใจ

บทที่ 356 พึงพอใจ

โจวชิงไป๋ลาหยุดหนึ่งวัน ส่วนวันต่อมาเขาก็เปิดร้านตามปกติ

เขารู้สึกผิดหวังเมื่อนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่จะทำอย่างไรได้? ชีวิตต้องดำเนินต่อไป

แต่เขาก็ปฏิญาณกับตัวเองในใจว่าอนาคตจะกินของดี ๆ มากขึ้น และมุ่งมั่นที่จะสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดในท้องของภรรยาให้ได้

นับจากนั้นเป็นต้นมา หลินชิงเหอก็สังเกตว่าชิงไป๋ของเธอให้ความเอาใจใส่กับสุขภาพของเขาเป็นพิเศษ

เขาถึงกับไปหาแพทย์แผนจีนให้สั่งยาจีนมาบำรุงร่างกายหลายขนาน

ดังนั้นหลังจากรอบเดือนของหลินชิงเหอหมดไปได้ 3 วัน เธอก็ได้ประสบกับพลังแห่งยาโป๊วที่ชิงไป๋ของเธอรับประทานเข้าไป

หญิงสาวแทบจะน้ำตาตกใน

ไม่ทำก็ไม่ตาย ในเมื่อทำไปแล้ว เธอก็ต้องชดใช้ให้แม้จะต้องคุกเข่าก็ตาม

เมื่อถึงเทศกาลล่าปา โจวชิงไป๋ก็ต้มโจ๊กล่าปาหม้อใหญ่ ทั้งครอบครัวมารวมตัวกันกินโจ๊กล่าปาในตอนเช้า

ในวันหิมะตกหนักแบบนี้ กิจการร้านค้าได้รับผลกระทบอย่างมากจริง ๆ

เช่นเดียวกับร้านเสื้อผ้าของหลินชิงเหอที่ลูกค้าบางตาลงเล็กน้อย

หลินชิงเหอจึงถามโจวเอ้อร์นี หู่จือ และสวี่เชิ่งเหม่ย “พวกเธอสามคนอยากกลับบ้านไหม? ถ้าอยากกลับ น้าก็จะให้หยุดตั้งแต่วันที่ยี่สิบ แล้วค่อยกลับมาปีหน้าหลังเทศกาลโคมไฟ”

“หนูไม่กลับหรอกค่ะ” โจวเอ้อร์นีส่ายหน้า

“ผมก็ไม่อยากกลับครับ เพราะยังต้องเรียนหนังสืออยู่” หู่จือเอ่ยเช่นกัน

เขากับโจวเอ้อร์นียังต้องเรียนหนังสือ แม้การเรียนภาคค่ำจะปิดในวันที่สิบห้า แต่หู่จือก็ยังไม่อยากกลับ เพราะเขาอยากจะอยู่รอดูเทศกาลปีใหม่ในเมืองหลวง

“แต่…แต่ว่าหนูอยากกลับน่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยอึ้งไปและเอ่ยตะกุกตะกัก

“พี่อยากกลับเหรอ? เราไม่มีเวลากลับไปพร้อมกับพี่หรอกนะครับ พี่กลับเองได้หรือเปล่า?” หู่จือมองเธอ

“ถ้าเชิ่งเหม่ยอยากกลับ หู่จือ เธอก็กลับไปพร้อมหล่อนเถอะ” หลินชิงเหอโบกมือ

หู่จือถอนหายใจ “แต่ผมไม่อยากกลับจริง ๆ นี่ครับ”

“เธอไม่อยากกลับไป ก็เลยจะปล่อยให้เชิ่งเหม่ยกลับไปคนเดียวเหรอ?” หลินชิงเหอตำหนิ “เธอรู้จักการให้เกียรติเพศตรงข้ามบ้างไหมเนี่ย? เป็นแบบนี้แล้วอนาคตจะหาภรรยาได้เหรอ?”

“ผมยังเด็กอยู่แต่คุณน้าก็พูดเรื่องนี้กับผมเสียแล้ว” หู่จือยิ้มกริ่ม

“ยังเด็กอยู่งั้นเหรอ เธอเชื่อไหมล่ะว่าถ้าเธอไม่ได้มาที่นี่แม่เธอก็คงเริ่มหาคู่ให้แล้วในปีใหม่นี้? ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น บางทีตอนนี้ในปีหน้า เธออาจกลายเป็นผู้ชายที่แต่งงานแล้วก็เป็นได้” หลินชิงเหอบอก

หู่จือเชื่อเรื่องนี้ เพราะว่าตอนที่เขาอายุ 16 ปี แม่ของเขาก็เริ่มพูดเรื่องนี้แล้ว

แต่เขาไม่คิดเลยว่าแผนนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเขามาถึงเมืองหลวง มันก็เป็นอันพับลงไปเอง

“ก็ได้ ปีนี้ผมจะกลับไปพร้อมพี่ แต่ต้องบอกก่อนนะว่าถ้าปีนี้ผมกลับไป ปีหน้าผมก็จะไม่กลับ ผมยังไม่รู้เลยว่าปีใหม่ในเมืองหลวงเป็นอย่างไร” หู่จือบอก

คำพูดนี้ฟังคล้ายกับสิ่งที่โจวข่ายเคยบอกไว้

“งั้นก็พาเชิ่งเหม่ยกลับไปดี ๆ ล่ะจะได้ไม่มีปัญหา” หลินชิงเหอตอบ

ความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก แม้แต่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ อย่างโจวลิ่วนียังหาทางมาที่นี่ด้วยตัวเองได้ นับประสาอะไรกับคนที่อยู่ที่นี่มาจนเกือบจะถึงปี

เป็นเพราะเธอตัดสินใจให้หู่จือกับสวี่เชิ่งเหม่ยได้หยุดแล้ว หลินชิงเหอจึงไปแจ้งกับหวังหยวนเถ้าแก่รุ่นเยาว์ว่าหลังจากการผลิตเสื้อผ้าล็อตปัจจุบันเสร็จสิ้น ก็ให้พักการผลิตส่วนที่เหลือไว้ก่อน

ขณะเดียวกัน ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ ของเธอก็มีวันหยุดเหมือนกัน

ทุกวันนี้การลาพักร้อนแบบไม่หักค่าจ้างไม่ใช่สิ่งที่นิยมทำกันนัก เธอวางแผนให้พวกเขาทำงานจนกระทั่งถึงวันที่ 15 ธันวาคมก่อนจะให้ทุกคนได้หยุด

พวกเขาจะได้หยุดพักจนกระทั่งถึงวันที่ 15 มกราคม

ไม่มาก ไม่น้อย เป็นช่วงพักงานหนึ่งเดือนพอดี

เมื่อสิ้นสุดเทศกาลโคมไฟ พวกเขาก็จะมาทำงานต่อในศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้า

หลินชิงเหอมาที่ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าในวันนี้เพื่อประกาศเรื่องนี้

“ได้หยุดล่วงหน้าเร็วขนาดนี้เลยเหรอจ๊ะ?” แม่เฒ่าสวี่อึกอักเล็กน้อย หากพวกเขาได้ลาหยุด มันก็จะไม่มีเงินเดือนและไม่มีอะไรให้ทำไปถึงหนึ่งเดือน

มันจะดีกว่าไหมหากได้ตัดเย็บเสื้อผ้าที่นี่ต่อ?

ในศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้ามีเตาเผาถ่านอยู่เตาหนึ่ง ดังนั้นภายในร้านจึงอุ่นสบาย บรรยากาศในที่ทำงานช่างยอดเยี่ยมเสียจนพวกเขาถึงกับลังเลเล็กน้อยหากต้องกลับไป

“มันก็แค่วันหยุดน่ะค่ะ ปีต่อไปก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน” หลินชิงเหอบอก

นี่คือแผนที่เธอวางไว้

ทันทีที่ถึงวันที่ 15 ธันวาคม มันก็เป็นวันทำการสุดท้ายก่อนจะเริ่มวันหยุด ร้านเสื้อผ้าของหลินชิงเหอก็จัดโปรโมชั่นพิเศษในวันปีใหม่

ในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ เธอก็ได้แปะป้ายประกาศใหญ่ ๆ ไว้ว่าลด 20%! ขายกระหน่ำยกร้าน!

จากวันที่ 15 จนถึง 18 ธันวาคม ภายใน 3 วันนี้ธุรกิจก็ได้เฟื่องฟูอย่างต่อเนื่อง

เสื้อผ้าในร้านของโจวเอ้อร์นีกับสวี่เชิ่งเหม่ยถูกขายจนหมดเกลี้ยง

สวี่เชิ่งเหม่ยตรงไปที่บ้านของคุณตาคุณยายและทำตัวขี้เกียจ ส่วนโจวเอ้อร์นีมาช่วยขายเสื้อผ้าที่ร้านของหู่จือกับหม่าเฉิงหมิน

เป็นเพราะหลินชิงเหอสั่งสินค้าจำนวนหนึ่งไว้กับหวังหยวนหลังจากนั้น ที่ร้านนี้จึงยังคงมีเสื้อผ้าบางส่วนเหลืออยู่

เมื่อของราว 10 กว่าชิ้นถูกเก็บไว้ในสต็อก หลินชิงเหอก็ถามโจวเสี่ยวเหมยว่าหล่อนอยากนำไปขายไหมขณะที่พวกเธออยู่ในโรงอาบน้ำ

“อยากได้สิคะ หลายวันมานี้ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้ว” โจวเสี่ยวเหมยตอบอย่างไม่เกรงใจ

ซูต้าหลินยังคงจัดการร้านซาลาเปาได้ ช่วงนี้อากาศหนาวเย็นมาก จึงทำให้มีลูกค้าเข้าร้านค่อนข้างบางตา เขาจึงสามารถจัดการร้านได้ด้วยตัวเองทั้งหมด

ดังนั้นโจวเสี่ยวเหมยจึงรับเสื้อผ้า 10 กว่าชุดนี้ไปขาย

ส่วนคนงานใต้อาณัติของหลินชิงเหอทั้งหมดได้ลาหยุดกันทั้งหมด

โจวเสี่ยวเหมยมีความสามารถอยู่ หล่อนขายเสื้อผ้าทั้งหมดจนหมดเกลี้ยงใน 2 วัน และรู้สึกดีใจมากที่ทำเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ก่อนจะถึงวันปีใหม่

เมื่อหล่อนนำเงินไปให้พี่สะใภ้สี่ หล่อนก็บอกว่า “ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ฉันก็ยังรับเสื้อผ้าจากพี่มาขายที่แผงลอยริมถนนอยู่นะคะ”

“ถ้าเธอยังจัดการได้ก็เอาสิ” หลินชิงเหอรับเงินโดยไม่คัดค้าน

“มีคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะอยู่ว่าง ๆ ได้อย่างไรล่ะคะ” โจวเสี่ยวเหมยยิ้มกริ่ม

หล่อนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของหล่อน ซึ่งท่านพ่อโจวจะเป็นคนไปส่งลูกคนโตทั้งสองคนของหล่อนที่โรงเรียนทุกวัน ส่วนลูกคนเล็กอีกสองคนมีท่านแม่โจวหรือไม่ก็หล่อนเป็นคนเลี้ยงดู แต่ถ้าไม่มีเวลา เด็กทั้งสองก็จะไปอยู่ที่ร้านซาลาเปากับซูต้าหลิน ไม่ถือว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใดเลย

บอกได้ว่าการมีท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวอยู่ด้วยทำให้ชีวิตของซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยง่ายดายขึ้น

ไม่อย่างนั้นแล้วโจวเสี่ยวเหมยจะไม่สามาถทำอะไรได้เลย เด็ก ๆ ยังอายุน้อยนัก หล่อนไม่สามารถปล่อยมือจากพวกเขามาทำอะไรได้

“คุณแม่ชอบบอกว่ารู้สึกอับอายที่มาอยู่ที่นี่แล้ว แต่กลับไม่สามารถช่วยพี่สี่กับพี่สะใภ้สี่ได้น่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยบอก

หลินชิงเหอพูดในใจว่าเธอขอบคุณแล้วที่แม่สามีไม่สร้างปัญหาอะไรให้ เธอไม่ได้คาดหวังให้นางมาช่วยอะไรเลย

แต่เธอกลับบอกไปว่า “ไม่จำเป็นหรอก เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ก็โตขนาดนี้แล้ว ตอนที่พวกเขายังเล็ก พวกเขาก็ชอบทำให้คุณย่าเป็นกังวลอยู่บ่อย ๆ อีกอย่างหนึ่งชิงไป๋กับพี่พาพวกเขามาที่นี่ก็เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่แบบมีความสุข ไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก”

สำหรับคู่สามีภรรยาชราที่เต็มใจจะช่วยเหลือลูกเขยเล็กกับลูกสาวคนเล็กแล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องตำหนิ เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว

จากนั้นคำพูดของหลินชิงเหอก็ถึงหูท่านแม่โจว ทำให้นางรู้สึกโล่งใจอย่างมาก

โจวเสี่ยวเหมยได้ยินก็เอ่ยอย่างอิจฉา “ถ้าในอนาคตหนูมีลูกสะใภ้อย่างพี่สะใภ้สี่ล่ะก็ หนูคงโชคดีตลอดชาติ”

“เฉิงเฉิงอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ? อนาคตเขาจะต้องเข้ามหาวิทยาลัย ยิ่งกว่านั้นดูอายุแกเสียก่อน ไม่ทันไรก็คิดถึงเรื่องมีสะใภ้เสียแล้ว ไม่รู้จักความเหมาะสมเอาเสียเลย” ท่านแม่โจวเอ็ดขำ ๆ แต่บนใบหน้าของนางกลับฉายแววพึงพอใจ

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ดูเหมือนพ่อพยายามเอาคืนแม่อยู่นะคะ เอาคืนหนักด้วย แม่จะไหวไหมเนี่ย

หู่จือไม่ต้องเสียใจไปนะคะ ไม่ได้อยู่ดูเทศกาลปีใหม่ในเมืองหลวงปีนี้ก็ยังได้ดูปีหน้านะ เสียสละเพื่อความปลอดภัยของคนในครอบครัวก่อน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset