บทที่ 357 หรูหรา

บทที่ 357 หรูหรา

บทที่ 357 หรูหรา

เมื่อท่านแม่โจวเข้านอนในคืนนั้น นางก็ได้พูดคุยกับท่านพ่อโจว

“สะใภ้ตระกูลจูที่อยู่ข้างบ้านเราช่างน่ารังเกียจไม่น้อย แม่เฒ่าจูกับสามีของนางอายุขนาดนี้แล้วหล่อนก็ยังไม่สนใจพวกเขา” ท่านแม่โจวพูด “แล้วยังมีตระกูลหูอีก พวกเขามีลูกสาวกัน 4 คน มีลูกชายแค่คนเดียวแต่เขาก็แต่งกับเมียที่ไม่กตัญญูกับสองผู้เฒ่าหูเลย”

ท่านพ่อโจวจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าภรรยากำลังหมายความอย่างไร เขาจึงพูดให้นางหายหมั่นไส้ “ไม่ใช่ทุกคนจะมีชีวิตได้อย่างคุณนี่”

ท่านแม่โจวเผยยิ้มออกมา “ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?”

เห็นชัดว่านางกำลังรอให้คู่ชีวิตเอ่ยชมนางอยู่

ท่านพ่อโจวรู้จักภรรยาของตัวเองดี เขาจึงเอ่ยขึ้นมา “เราทำงานหนักมาทั้งชีวิต ต่อให้เมื่อก่อนจะยากลำบากเพียงใดเราก็ผ่านมันมาได้ นับจากนี้เราก็ใช้ชีวิตที่นี่ให้มีความสุขเถอะ อย่าว่าแต่คนพวกนั้นในบ้านเกิดของเราเลย แม้แต่คนแก่คนเฒ่าที่นี่ก็อาจจะไม่ได้มีชีวิตที่ดีกว่าเราสักเท่าใด”

“พูดแบบนี้แล้วฉันอยากจะกลับไปพร้อมกับเชิ่งเหม่ยและหู่จือจริง ๆ” ท่านแม่โจวเอ่ยอย่างร่าเริง

กลับไปทำไมน่ะหรือ?

ก็เพื่อจะใส่เสื้อผ้าเครื่องประดับใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้าทั้งภายในและภายนอกน่ะสิ ถ้านางกลับไปในสภาพนี้นางจะได้หน้ามากขนาดไหน? มันคงจะทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหมู่บ้านอิจฉาแทบตายเลยทีเดียว

“แล้วทำไมคุณไม่กลับไปล่ะ? หู่จือกับเชิ่งเหม่ยจะไปขึ้นรถพรุ่งนี้แล้วนะ” ท่านพ่อโจวตอบ

“มันเดินทางลำบากเกินไปน่ะ” ท่านแม่โจวส่ายหน้า

นางจำการเดินทางมายังเมืองหลวงได้ขึ้นใจ มันทำให้นางรู้สึกเหนื่อยมากจนไม่อาจทนได้เลย

ดังนั้นต่อให้นางอยากกลับไปจนตัวสั่น แต่เมื่อคิดถึงสภาพถนนที่ผ่านมาตลอดทาง นางก็รู้สึกขยาดขึ้นมา

“ก็ดีแล้วที่คุณไม่กลับไป เจ้ารองบอกว่าในช่วงปีใหม่นี้เราจะไปถ่ายรูปด้วยกัน เมื่อถึงเวลานั้นก็ถ่ายรูปไว้เยอะๆ นะ” ท่านพ่อโจวบอก

“ก็ได้” ท่านแม่โจวรู้สึกยินดี จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “แม่เจ้าใหญ่กำลังทำงานหนักอยู่ที่นั่น อากาศหนาวขนาดนี้แล้วหล่อนก็ยังต้องไปสอนนักศึกษาอีก”

“ชิงไป๋คงดูแลหล่อนมากขึ้นน่ะ เราไม่สร้างปัญหาให้พวกเขาก็พอแล้ว นอนกันเถอะ” ท่านพ่อโจวบอก

ท่านแม่โจวไม่พูดอะไร นางพยักหน้าและล้มตัวลงนอน

ในตอนนี้หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ยังนอนไม่หลับ หู่จือกับสวี่เชิ่งเหม่ยกำลังจะกลับบ้าน เธอจึงเตรียมของบางส่วนให้พวกเขานำกลับไปด้วย

มีเป็ดย่างครอบครัวละ 1 ตัวเหมือนเช่นเคย และยังมีลูกกวาด 2 ห่อ

พี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง และพี่ชายทั้งสามในตระกูลโจว เช่นเดียวกับน้องชายสามตระกูลหลินต่างได้รับส่วนแบ่งทั้งหมด พวกเขาคงให้โจวหยางเป็นคนไปส่งได้ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย

พวกเขามีของติดตัวไปไม่มากนัก เพราะเสื้อผ้าทั้งหลายสามารถสวมติดตัวได้เลย ต่อให้มันหนักไปสักหน่อยแต่ก็กันความหนาวเย็นได้

พวกเขาแบกกระเป๋าไปคนละสองใบรวมกับของพวกนี้ก็กลับไปได้แล้ว

ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อย โจวเฉวี่ยนที่ได้หยุดเรียนก็ได้รับคำสั่งให้เป็นคนพาเด็กทั้งสองไปขึ้นรถในวันรุ่งขึ้น

หลินชิงเหอยังไม่ตื่นนอน เธอเองก็อยู่ในช่วงหยุดพักเหมือนกัน มันเป็นโอกาสหายากที่จะได้นอนตื่นสาย ดังนั้นทำไมเธอถึงจะไม่นอนให้ยาวกว่านี้ล่ะ

ในวันที่เด็กทั้งคู่กลับบ้านไป หลินชิงเหอก็เริ่มเตรียมอาหารสำหรับวันขึ้นปีใหม่

หลังนัดกับเจ้ารองและเจ้าสามได้แล้ว ทั้งแม่และลูกชายทั้งสองก็ออกไปซื้อของ

“ม้าอยากรู้จริง ๆ ว่าพี่ใหญ่ของลูกจะกลับมาในปีนี้ไหม” หลินชิงเหออดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นตอนที่ซื้อปลาจะละเม็ดทองแห้ง “พี่ใหญ่ลูกชอบกินปลาจะละเม็ดทองนี่มากเลยนะ”

“ม้า เราก็อยากกินเหมือนกันนะครับ” โจวกุยหลายบอก

“ไม่ใช่ว่าลูกได้กินตลอดทั้งปีอยู่แล้วเหรอ?” หลินชิงเหอตอบอย่างหมั่นไส้

“พี่ใหญ่แค่ไปอยู่โรงเรียนเตรียมทหาร ไม่ได้จะไปถือศีลเป็นพระสักหน่อยนี่ครับ คงไม่เลวร้ายอย่างที่ม้าพูดหรอก ผมได้ยินว่าอาหารการกินที่นั่นยอดเยี่ยมมากเลยนะ” โจวกุยหลายบอก

“ม้าอย่ากังวลไปเลย อาหารที่นั่นยอดเยี่ยมอยู่แล้ว” โจวเฉวี่ยนพูดปลอบ

พวกเขาฝึกฝนกันหนักทุกวันจึงกินพลังงานร่างกายไปมาก อาหารการกินก็ต้องมากตามไปด้วย

แต่ในสถานที่แบบนั้น พวกเขาทำได้เพียงสวาปามเข้าไปให้หมด ไม่ว่าอาหารนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม

หลินชิงเหอซื้อปลาจะละเม็ดทองแห้งไป 10 ตัว จากนั้นเธอก็พาพวกเขาไปซื้อไข่

ตอนนี้เริ่มมีผู้ค้าปลีกเกิดขึ้น มีไก่และไข่ขายอยู่หลายร้าน ทุกอย่างดูหาซื้อได้ง่ายไปหมด หลังจากเข้าเดือนธันวาคมแล้ว หลินชิงเหอก็ทำหมูสามชั้นหมักบางส่วนแขวนผึ่งไว้

ทางฝั่งโจวชิงไป๋มีเนื้อหมูแช่แข็งกับเนื้อซี่โครงแกะอยู่เป็นจำนวนมาก

ดังนั้นจึงไม่เหลือของอะไรที่ต้องซื้อมากนัก

หลินชิงเหอกับลูกชายทั้งสองแบกไก่มา 3 ตัว ไข่ 1 ตะกร้า และปลาแห้งตัวละ 1 ชั่งจำนวนสิบกว่าตัวมาที่ร้านเกี๊ยว

โจวชิงไป๋เอ่ยขึ้นมาขณะกำลังทำเกี๊ยว “อาหารวันปีใหม่มีเท่านี้ก็พอแล้วนะครับ”

“ฉันไม่รู้ว่าเจ้าใหญ่จะได้กลับมาไหมน่ะค่ะ ต้องไปซื้อไก่เพิ่มอีก 2 ตัว” หลินชิงเหอบอก

“ตอนที่ม้าไปตลาด ไม่ว่าจะเห็นอะไรม้าก็คิดถึงแต่พี่ใหญ่ไปหมดเลยครับ” โจวกุยหลายเอ่ยขึ้น “ป๊า ผมคิดว่าพวกเราคงจะตกกระป๋องกันแล้วล่ะ”

“นายคนเดียวต่างหากล่ะที่ตกกระป๋อง” โจวเฉวี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ทำไมพี่พูดอย่างนั้นล่ะ? ผมเด็กสุดในบ้านนี้นะ” โจวกุยหลายตอบ

“หลังปีใหม่นายก็อายุ 14 แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาโอ๋นายแล้วล่ะ” โจวเฉวี่ยนโบกมือ

ทั้งครอบครัวคุยและหัวเราะกัน พวกเขามีความสุขอย่างเหลือล้น หลินชิงเหอเองก็มีความสุขด้วย เธอแอบคิดในใจว่าตัวเองคงเลี้ยงลูกชายทั้งสามมาดีมากแล้วใช่ไหม?

“ปีนี้พาคุณปู่คุณย่าไปเดินเล่นด้วยนะ ถ้าเวลานั้นมาถึงก็ถ่ายรูปกันให้เยอะ ๆ” หลินชิงเหอบอก

“คุณปู่คุณย่ายังบอกผมว่าปีหน้าจะให้เราพาไปดูกำแพงเมืองจีนด้วยล่ะครับ เราไปได้ใช่ไหม?”

“ได้สิ ถึงตอนนั้นดูก่อนนะว่าเราว่างกันหรือเปล่า ถ้าเราว่างจะได้ไปด้วยกัน” หลินชิงเหอพยักหน้า

“ม้า ม้ายังไม่ได้ซื้อกล้องที่สัญญาว่าจะซื้อเลยนะครับ ถ้าเราซื้อมันเร็วหน่อย เราก็จะได้ใช้มันในปีนี้แล้ว” โจวกุยหลายพูด

ตอนนี้เขาอยากได้กล้องถ่ายรูปเหลือเกิน

“ไว้ปีหน้านะ” หลินชิงเหอโบกมือ

“ผมเพิ่งเห็นในหนังสือพิมพ์ว่ามีตู้เย็นนำเข้าจากรัสเซียด้วย ราคา 700 กว่าหยวน” โจวชิงไป๋เอ่ยขึ้น

หลินชิงเหอได้ฟังก็ประหลาดใจ “มีขายในราคานี้ด้วยเหรอคะ?”

“ครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า ชายหนุ่มอ่านหนังสือพิมพ์บ่อย เขาถึงรู้เรื่องนี้ “มันก็ไม่แพงมากนะ”

หลินชิงเหอรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร จึงบอกกลับไป “งั้นปีหน้าเราก็ไปดูกันนะคะ ถ้ายังมีขายอยู่ก็ซื้อมาสักเครื่องดีไหมคะ?”

“ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะมีเครื่องซักผ้าขายหรือเปล่า ถ้ามีเราซื้อมาสักเครื่องเถอะครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

“ตกลงค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้ารับ

“ป๊ากับม้าอยากซื้อของเยอะแยะขนาดนี้เลยเหรอครับ? แล้วครอบครัวเราจะมีเงินเหลือพอเหรอ?” โจวกุยหลายมีสีหน้าพรั่นพรึงขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าเรื่องกล้องถ่ายรูปของเขาคงถูกพับเก็บไปอีกแล้ว

มีทั้งตู้เย็นกับเครื่องซักผ้าแบบนี้ พวกมันจะมีราคารวมทั้งหมดเท่าไรกัน? ของพวกนี้ต่างเป็นของหรูหราราคาแพงทั้งนั้น

“พอสิ” หลินชิงเหอตอบตามสบาย

“ถ้าเงินไม่พอก็ลืมเรื่องกล้องถ่ายรูปของผมไปก็ได้นะครับ ซื้อตู้เย็นกับเครื่องซักผ้ามาเถอะ” แม้โจวกุยหลายจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่เขาก็กล้ำกลืนความเจ็บปวดและเอ่ยออกไป

ตู้เย็นเป็นของจำเป็นไว้เก็บเนื้อสัตว์ในช่วงฤดูร้อน ร้านเกี๊ยวต้องการตู้เย็นสักตู้ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นเรื่องยากลำบากมาก

ส่วนเครื่องซักผ้าก็จำเป็นไว้ใช้ซักผ้า โดยเฉพาะตอนฤดูร้อน เป็นสิ่งที่ต้องใช้งานทุกวัน แต่กล้องถ่ายรูปนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้

“เห็นว่าลูกกตัญญูขนาดนี้ งั้นม้าจะให้ป๊าขยันทำงานเก็บเงินไว้ซื้อกล้องให้ลูกในปีหน้านะ” หลินชิงเหอเอ่ย

“งั้นผมรอจนกว่าป๊าจะหาเงินได้ในปีหน้าแล้วกันครับ” โจวกุยหลายบอก

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รักษาลูกสะใภ้ดี ๆ แบบนี้ไว้นะคะท่านแม่โจว อย่าไปยุ่งไม่เข้าเรื่องจนโดนตอบโต้กลับมาแล้วกันค่ะ ไม่อย่างนั้นได้กลับไปอยู่ที่ชนบทสมใจแน่

เอ็นดูเจ้าสามจังเลยค่ะ ตอนแรกงอแงอยากจะได้กล้อง แต่ก็ยอมให้พ่อกับแม่ได้ซื้อของจำเป็นก่อน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset