บทที่ 359 เวิงเหม่ยเจี่ย

บทที่ 359 เวิงเหม่ยเจี่ย

บทที่ 359 เวิงเหม่ยเจี่ย

เมื่อแม่เฒ่าหูมาหาแม่เฒ่าจูที่บ้าน นางก็ยกประเด็นนี้ขึ้นมา

แม่เฒ่าจูได้ยินก็ประหลาดใจ “เปล่งประกายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“แล้วไม่ถูกหรือ? แกก็รู้ว่าสามีของฉันมักไม่ค่อยเห็นคนส่วนใหญ่เข้าตาอยู่แล้ว แต่เขาพูดชมเด็กคนนั้นไม่หยุดเลยหลังจากได้เห็นแค่ครั้งเดียว” แม่เฒ่าหูตอบ

แม่เฒ่าจูรู้สึกอยากเห็นบ้างหลังได้ยินดังนี้

นางมีหลานสาวคนโตอยู่คนหนึ่ง หล่อนเป็นคนซื่อสัตย์ ปีนี้มีอายุ 18 ปี และกำลังจะย่างเข้าอายุ 19 ปีหลังปีใหม่ที่จะถึง

“คราวที่แล้วแม่เสี่ยวเหมยบอกว่าหลานชายคนโตของหล่อนอายุเท่าไหร่แล้วนะ?” แม่เฒ่าจูถาม

“17 ย่างเข้า 18 หลังปีนี้” แม่เฒ่าหูตอบ นางรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีหน่วยก้านดีทีเดียว “ยังไม่ถึง 18 ปีดีและสูงเกือบ 190 เซนติเมตร”

“ตัวสูงมากทีเดียว” แม่เฒ่าจูเอ่ยขณะดวงตากลอกกลิ้งไปมา

แม่เฒ่าหูเป็นคนฉลาด นางจึงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่โดยดูจากสีหน้าท่าทาง พวกนางเป็นเพื่อนบ้านกันมากี่ปีแล้วล่ะ? และคุ้นเคยกับสถานการณ์ในบ้านของอีกฝ่ายมากขนาดไหน?

แม่เฒ่าจูมีหลานสาวคนโตคนหนึ่งที่อยู่ในวัยแต่งงานแล้ว เก้าในสิบส่วนก็คือหลานชายคนโตของเฒ่าโจวได้สะดุดตาของนางพอดี

แต่แม่เฒ่าหูไม่ได้เอ่ยอะไรเพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้น

ถึงแม้คู่สามีภรรยาเฒ่าบ้านโจวจะเป็นคนมาจากถิ่นอื่น แต่สะใภ้ของพวกเขานั้นมีความสามารถ หล่อนเป็นอาจารย์ภาษาต่างประเทศในมหาวิทยาลัยปักกิ่งและย้ายครอบครัวมาอยู่ที่นี่โดยผ่านการใช้เส้นสายของมหาวิทยาลัย

ตอนนี้พวกเขาเป็นพลเมืองปักกิ่งอย่างแท้จริงแล้ว จึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการดูถูกทะเบียนบ้านที่มาจากถิ่นอื่น

โดยเฉพาะตอนที่ลูกชายและลูกสะใภ้ของพวกเขารักษาสัญญาและกตัญญู ซื้อทีวี พัดลมไฟฟ้า และของใช้อื่น ๆ มาให้ โดยที่ลูกชายกับลูกสะใภ้ของพวกนางเทียบไม่ติด

ถึงอย่างนั้นแม่เฒ่าหูก็ยังมีความคิดบางอย่าง

โดยเฉพาะตอนที่นางมีหลานชายคนโตจากครอบครัวทางฝั่งแม่ที่ยังไม่ได้แต่งงาน มันคงจะวิเศษหากเขาได้แต่งงานกับหลานสาวของบ้านโจวที่ชื่อว่าเชิ่งเหม่ย

นางเคยเห็นเด็กสาวคนนี้อยู่ หล่อนนิสัยดีและว่านอนสอนง่าย หลานชายของนางค่อนข้างจะเสเพล แต่เขาชอบผู้หญิงแบบนี้

ยิ่งกว่านั้น เด็กสาวคนนี้ยังเป็นคนสวย หล่อนจะต้องสามารถเปลี่ยนหลานชายของนางให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้แน่ ๆ

แต่น่าเสียดายที่ปีนี้เขากลับบ้านไปแล้ว ไม่อย่างนั้นนางก็วางแผนว่าจะเรียกหลานชายมาในปีนี้และคอยดูว่าเขาชอบหล่อนหรือไม่

ถ้าเขาชอบหล่อน เรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหา

เงื่อนไขของหล่อนนั้นธรรมดา ขณะที่ครอบครัวฝั่งแม่ของหลานชายอยู่ในระดับยอดเยี่ยม หล่อนคงไม่พลาดการแต่งงานนี้

สองแม่เฒ่าต่างตกอยู่ในความคิดของตัวเอง เทียบกันกับพวกนางแล้ว ท่านแม่โจวถือว่าไร้เดียงสาและอ่อนโยนกว่ามากนัก

ขณะที่นางกำลังอยู่ในอาการยินดี แม่เฒ่าจูก็เข้ามาถาม ท่านแม่โจวจึงตอบด้วยรอยยิ้ม “เขากลับมาแล้วล่ะ แต่อยู่เพียง 10 วัน หลังปีใหม่นี้ก็จะต้องกลับไปอีก”

“ยุ่งขนาดนั้นเชียวเหรอคะ?” แม่เฒ่าจูถาม

“หรือไม่ถูกล่ะคะ? เด็กคนนี้น่ะก้าวหน้ามาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว เขาสมัครการฝึกพิเศษไว้ เดิมเขาเป็นคนค่อนข้างขาว แต่กลับมาคราวนี้ตัวดำเป็นถ่านเชียว” ท่านแม่โจวเอ่ยราวกับบ่น

แม่เฒ่าจูได้ยินก็รู้สึกยินดีไม่น้อย เด็กผู้ชายจะผิวคล้ำก็ไม่เป็นไร จุดสำคัญคือต้องมีความใฝ่ฝันและความทะเยอทะยาน

“จริงเหรอคะ หลานคนโตของคุณมาแต่คุณก็ไม่ได้เรียกฉัน ฉันไม่เคยเห็นหลานคนโตผู้เจิดจรัสของคุณเลย” แม่เฒ่าจูเอ่ย

ท่านแม่โจวชอบที่จะได้ยินคำพูดเหล่านี้จึงยิ้มกว้าง “ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เห็นหรอกค่ะ เจ้าใหญ่น่ะกตัญญูกับฉัน เขามาหาเราทุกวันเลย”

หลานชายคนโตทำให้พวกเขามีหน้ามีตาจริง ๆ แน่นอนว่าหลานชายคนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน เจ้ารองกับเจ้าสามก็เป็นหลานที่ยอดเยี่ยมทั้งคู่

โจวข่ายแวะมาเยี่ยมอาเขยเล็กกับอาเล็กก่อนจะกลับไป

ในตอนกลางวัน พวกเขาได้กินหมั่นโถวกับตุ๋นกระเพาะหมูยัดไส้เนื้อไก่ อาหารง่าย ๆ นี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกพอใจมาก เขากินจนเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก

หลินชิงเหอใส่พริกไทยลงในตุ๋นกระเพาะหมูยัดไส้เนื้อไก่ด้วย มันไม่ได้ทำให้เผ็ด แต่ช่วยให้มีกลิ่นหอมหวนมากขึ้น

“พี่ใหญ่ อยากไปโรงอาบน้ำไหม” โจวกุยหลายถาม

“ไปสิ” โจวข่ายพยักหน้า เขาอยากอาบน้ำแบบดี ๆ เหลือเกิน

โจวเฉวี่ยนร่วมวงกับพวกเขาด้วย สามพี่น้องไปที่โรงอาบน้ำอยู่พักใหญ่ เมื่อโจวข่ายเดินออกมา เขาก็รู้สึกตัวเบาสบายไปหลายชั่ง

สามพี่น้องไปโรงอาบน้ำ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านก็มีเพียงเจ้ารองกับเจ้าสามที่กลับมา

“พี่ใหญ่ไปเยี่ยมบ้านเพื่อนน่ะครับ” โจวเฉวี่ยนบอก

เพื่อนที่ว่าก็คือเวิงกั๋วเหลียงเพื่อนในมหาวิทยาลัยของโจวข่าย

ครอบครัวเวิงต่างดีใจที่เห็นเขามาหา

“เธอมาเยี่ยมเราแบบเป็นตัวเป็นตนในวันหยุดได้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาเหล้ามาด้วยเลย” คุณพ่อเวิงเอ่ยอย่างเบิกบาน

โจวข่ายไม่ได้ไปเยี่ยมมือเปล่า แต่ถือขวดเหล้าเหมาไถชั้นดีไปด้วย “ผมมาที่นี่เพื่อมาดื่มกับคุณอาสักหน่อยน่ะครับ” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม

“ทำไมปีนี้นายดำขึ้นวะ?” เวิงกั๋วเหลียงถาม

“ใช่ ดำเป็นถ่านเลย อนาคตพี่หาแฟนไม่ได้หรอก” เวิงเหม่ยเจี่ยน้องสาวของเวิงกั๋วเหลียงมองโจวข่ายแล้วก็เอ่ยขึ้น

“ดำขึ้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ พี่จะบอกให้นะว่าสาว ๆ ชอบแบบนี้แหละ พวกหล่อนจะภูมิใจมากที่ได้พาเราไปอวดเลยล่ะ” โจวข่ายบอก

เวิงกั๋วเหลียงหัวเราะ “ไม่เอาน่า เรื่องหลงตัวเองไม่มีใครเทียบนายได้อยู่แล้วล่ะ”

เวิงเหม่ยเจี่ยเม้มปากอย่างขบขันเช่นกัน “พี่โจวข่ายมีแฟนหรือยังคะ?”

“ฉันอายุแค่นี้เอง ต่อให้เรียนเร็วก็แก่กว่าเธอไม่กี่เดือน” โจวข่ายบอก

เขาทั้งตัวสูงและบึกบึน แต่เมื่อเป็นเรื่องอายุแล้วเขาก็ไม่ได้โตขนาดนั้น เมื่ออยู่ท่ามกลางคนอื่นๆ เขาคงจะเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด

แต่ถ้าพูดถึงด้านอื่น คนที่จะมาเทียบกับเขาได้ถือว่ามีไม่มากนัก

คุณพ่อเวิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ปีนี้เหม่ยเจี่ยเพิ่งจะเข้าปีหนึ่งเอง”

“เหม่ยเจี่ยเรียนคณะไหนเหรอครับ?” โจวข่ายถาม

“หล่อนเรียนพยาบาลเพี่อที่อนาคตจะได้เป็นพยาบาลน่ะ” คุณพ่อเวิงตอบ

“ดีแล้วล่ะครับ” โจวข่ายมองเวิงเหม่ยเจี่ยและเอ่ยขึ้น “แม่ผมบอกว่าวิชาชีพพยาบาลจะเป็นที่นิยมมากในอนาคต”

เวิงเหม่ยเจี่ยยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม

“เหม่ยเจี่ยบอกว่าหล่อนจะเข้ากองทัพเพื่อเป็นแพทย์ทหารน่ะจ้ะ เสี่ยวข่าย เธอต้องดูแลหล่อนให้มาก ๆ นะ” คุณแม่เวิงเอ่ยขณะเดินออกมาพร้อมแอปเปิลที่ปอกเสร็จแล้ว

คุณพ่อเวิงได้ฟังก็รู้ว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อเสี่ยวข่ายอายุแค่ 14 ปี ภรรยาก็มีความคิดที่จะรับเขาเป็นลูกเขยแล้ว

ในไม่กี่ปีมานี้ เมื่อเสี่ยวข่ายโตขึ้นและดูมีหน่วยก้านดีมากขึ้น สิ่งที่อยู่ในใจของภรรยาก็กระจ่างมากขึ้นเรื่อย ๆ

เขาจึงรู้สึกจนใจอยู่บ้าง กล่าวโดยเหตุผลแล้วเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้เลวร้ายเลย แต่สาวน้อยของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นอาชีพการงานหรือรูปร่างหน้าตา หล่อนก็อยู่ในระดับเยี่ยมยอด เพื่อนร่วมงานในที่ทำงานของเขาเอาแต่ถามถึงหล่อน จะมีอะไรให้รักใคร่มากกว่านี้อีก?

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเองก็ชอบเด็กหนุ่มคนนี้เหมือนกัน ฐานะครอบครัวของเขาจัดว่ายอดเยี่ยม ยิ่งกว่านั้นพ่อแม่ของเขายังเป็นคนมีเหตุผล หากชะตาต้องกัน มันคงเป็นเรื่องที่วิเศษทีเดียว

“เข้าไปเป็นแพทย์สนามเหรอ?” โจวข่ายมองเวิงเหม่ยเจี่ยอย่างประหลาดใจ “มันสอบเข้ายากกว่านะ”

“ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ พี่ใหญ่กับพี่รองของฉันอยู่ที่นั่นทั้งคู่” เวิงเหม่ยเจี่ยตอบพลางเหลือบมองเขา

“เวลาผ่านไปเร็วนะ ชั่วพริบตาเดียว แม่ตุ๊กตาก็โตขนาดนี้แล้ว” โจวข่ายเอ่ยด้วยอารมณ์

เขาเองก็มองน้องสาวคนนี้ของเพื่อนเติบโตขึ้น

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าใหญ่ฮอตมากค่ะ มีแต่คนจ้องจะจับไปทำลูกเขย ส่วนเชิ่งเหม่ยก็ดูจะขายออกแล้ว แต่จะลงเอยกับใครคงต้องรอดูต่อไป

สำหรับเจ้าใหญ่แล้ว ดูท่าบ้านเวิงน่าจะมาวินสุด เพราะเจ้าตัวมีเหล่มองน้องสาวเพื่อนบ้างแล้ว แถมมีเรียกฉายากันด้วย ถ้าเหม่ยเจี่ยได้เข้ากองทัพก็คือคู่สร้างคู่สมทหารกับพยาบาลเลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset