บทที่ 382 ไม่แพง

บทที่ 382 ไม่แพง

บทที่ 382 ไม่แพง

หลินชิงเหอมองไปที่ชิงไป๋ของเธอ เขาเคยเป็นคนที่เคร่งขรึมมาก ถึงตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ แต่เขาก็ปรับตัวได้เยอะมากแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของการทำธุรกิจ เขาสามารถทำหลายสิ่งได้เองโดยไม่ต้องมีเธอ

หลินชิงเหอเอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา โจวชิงไป๋หันไปมองรอบ ๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในขบวนเดียวกัน เขาก็ดึงตัวภรรยาเข้ามากอด

พอสังเกตเห็นท่าทางแบบนั้นของเขา หลินชิงเหอก็หัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า “เราเป็นสามีภรรยากันนะคะ คุณจะกลัวอะไร?”

“เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีครับ” โจวชิงไป๋ตอบ

ใช่สิ ตัวอย่างที่ไม่ดี งั้นใครกันที่เป็นคนโอบเอวเธออยู่ในตอนนี้? แล้วใครกันที่ไม่เคยหยุดเลยตอนที่อยู่ในบ้านพักรับรองแขก?

หลังจากนั่งรถไฟมา 2-3 วัน พวกเขาก็มาถึงเทศบาลมณฑลในตอนที่เย็นมากแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าพักที่บ้านพักรับรองแขกในเทศบาลมณฑล 1 คืน

เมื่อลงจากรถไฟได้ก็ไม่มีอะไรจะสบายไปกว่านี้แล้ว มีสถานที่ให้นอนโดยใช้ผ้าปูเตียงและผ้าห่มของตัวเอง

ถึงพวกเขาจะได้พักผ่อนมาบนรถไฟ แต่อย่างไรก็ไม่ดีเท่ากับการได้นอนบนเตียง

ทั้ง 2 คนนอนหลับสนิท กว่าที่พวกเขาจะได้กินอาหารก็เป็นเวลาหลัง 10 โมงเช้าในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็นั่งรถไปที่อำเภอ

พอมาถึงอำเภอ ทั้งคู่ก็ไปที่ชานเมืองเพื่อเอารถมอเตอร์ไซค์ออกมาจากมิติ จากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซค์พร้อมกับนำน้ำมันถังใหญ่ไปที่ร้านของน้องชายสามตระกูลหลิน

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ครอบครัวของน้องชายสามตระกูลหลินทุกคนต่างก็อยู่ที่บ้านกัน

พวกเขากำลังกินข้าวกลางวันกันอยู่ในร้านตอนที่ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ จากนั้นก็เห็นพี่สาวและพี่เขยของเขากำลังมุ่งหน้ามาที่ร้าน

โจวชิงไป๋รู้วิธีขี่มอเตอร์ไซค์โดยที่ภรรยาเป็นคนสอน ซึ่งไม่ได้ยากอะไรนัก เขาสามารถขี่เป็นในเวลาอันสั้น

“พี่สาว พี่เขย กินอะไรกันมาหรือยังครับ? มาครับ มากินด้วยกัน” น้องชายสามตระกูลหลินเอ่ยชวนทันที

“ไม่ต้องหรอก ก่อนจะมาที่นี่พวกพี่กินกันมาแล้ว” หลินชิงเหอตอบ

“พี่สาวสาม เข้ามากินน้ำแกงอีกสักถ้วยไหมคะ? นี่เป็นน้ำแกงบวบที่สดมาก รสชาติอร่อยมากเลยค่ะ” สะใภ้สามตระกูลหลินก็รีบเข้ามาทักทาย

“ไม่เป็นไร พวกเธอดื่มกันเถอะจ้ะ” หลินชิงเหอยิ้ม

โจวชิงไป๋ขนถังน้ำมันลงมาเรียบร้อยแล้ว น้ำมันถังนี้น่าจะใช้ได้นานประมาณ 6-7 วัน

“ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ เสร็จแล้วค่อยมาดูว่าถูกใจไหม” หลินชิงเหอกล่าวกับน้องชายสามของเธอ

น้องชายสามตระกูลหลินรีบพุ้ยข้าวในถ้วยเข้าปาก จากนั้นก็ออกไปดูมอเตอร์ไซค์ด้วยความตื่นเต้น

“มอเตอร์ไซค์คันนี้ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ?” หลินชิงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าเมื่อได้เห็นน้องชายเป็นเช่นนี้

“อืม ไม่มีที่ดีไปกว่านี้อีกแล้วละครับ!” น้องชายสามตระกูลหลินอดพูดออกมาด้วยความขัดเขินอยู่นิด ๆ ไม่ได้ว่า “ไม่รู้ว่าผมจะหัดขี่เป็นไหม?”

“มีอะไรถึงจะขี่ไม่เป็น? ให้พี่เขยนายพาไปลองขี่ดู ไม่ยากหรอก พี่ยังขี่กลับมาได้เลย” หลินชิงเหอพูด

โจวชิงไป๋พาน้องชายสามตระกูลหลินไปสอนขี่มอเตอร์ไซค์

เนื่องจากโจวชิงไป๋สามารถขับรถได้ จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาในการหัดขี่มอเตอร์ไซค์ แต่สำหรับน้องชายหลินแล้วชัดเจนว่าจำเป็นต้องฝึกฝนให้มากกว่า แต่กระนั้นก็ไม่ได้ยากเย็นจนเกินไป มีแค่เกียร์ 2-3 เกียร์ คลัตช์และก็เบรก ที่เหลือก็ไม่ได้แตกต่างจากจักรยานมากนัก

หลินชิงเหอหยิบถุงลูกอม 2 ถุงและขนมหวาน 2 กล่องออกมาจากกระเป๋าผ้า แล้วบอกหลานสาวว่า “เอาไปแบ่งกันกินนะจ๊ะ”

“ขอบคุณค่ะ คุณป้าสาม” หลานสาวคนโตบิดริมฝีปากโค้งจนเป็นรอยยิ้ม

พริบตาเดียว หล่อนก็โตเป็นสาวแล้ว สามารถช่วยงานได้ทั้งงานในบ้านและนอกบ้าน

“ไม่จำเป็นต้องเอาของพวกนี้มาให้ทุกปีเลยค่ะ” สะใภ้สามตระกูลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ธุรกิจปีนี้เป็นยังไงบ้าง? เติบโตขึ้นไหมเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว?” หลินชิงเหอถาม

“ค่ะ ธุรกิจปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วมากเลย” รอยยิ้มจริงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสะใภ้สามตระกูลหลิน

เดิมทีธุรกิจในปีที่แล้วก็ค่อนข้างดีทีเดียว ในปีนี้ธุรกิจดีกว่าปีที่แล้ว 30% ทุกเช้าก่อนฟ้าสาง สามีของหล่อนจะไปเก็บรวบรวมผลไม้และผักในชนบท

แล้วจึงขี่จักรยานนำของกลับมาขายที่ร้าน

ต่อจากนั้น ในช่วงบ่ายเขาจะกลับไปที่ชนบทอีกครั้งเพื่อไปจับไก่เป็น ๆ และไข่กลับมาขายอีกรอบ

น้องชายสามตระกูลหลินขี่จักรยานไปกลับชนบท 4 ครั้งต่อวัน ธุรกิจสามารถทำกำไรได้อย่างดี พวกเขาทำเงินได้เกือบ 500 หยวนต่อเดือนซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผลเลย

ทว่ามันก็ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าอย่างมาก ระยะทางจากเมืองไปชนบทไม่ใช่ใกล้ ๆ เลย

แถมเขาต้องเดินทางแบบนี้ทุกวัน ด้วยเหตุนี้ แม้สะใภ้สามตระกูลหลินจะรู้ว่ามอเตอร์ไซค์คันนี้ต้องมีราคาแพงมากอย่างแน่นอน หล่อนก็รู้สึกว่าจะอย่างไรก็ต้องกัดฟันซื้อให้ได้

อย่างน้อยจากนี้ไปสามีของหล่อนจะได้พักผ่อนมากขึ้น ถูกไหม?

“พี่สาวสาม มอเตอร์ไซค์คันนี้ราคาเท่าไหร่คะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินถาม

“770 หยวนจ้ะ” หลินชิงเหอตอบ

นี่เป็นราคาที่เธอซื้อมา โดยไม่ได้บวกเงินค่าส่วนต่างแต่อย่างใด เช่นเดียวกับที่เธอก็ไม่ได้ลดราคาลงให้เลยเช่นกัน ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น

ราคานี้นับว่าแพงมากทีเดียว ต้องไม่ลืมว่าในครั้งนั้นครอบครัวของพวกเขาซื้อร้านนี้มาในราคาเท่าไหร่?

“ฉันจะไปหยิบเงินมาให้พี่สาวสามนะคะ” กระนั้นสะใภ้สามตระกูลหลินก็ไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย

“ทำไมต้องรีบร้อน?” หลินชิงเหอยิ้ม “ตอนนี้ธุรกิจกำลังขยาย พี่ต้องกังวลด้วยเหรอว่าเธอจะไม่มีเงินจ่ายให้พี่?”

สะใภ้สามตระกูลหลินยิ้มออกมา แต่ก็ยังเข้าไปหยิบเงินมาให้

เงิน 700 กว่าหยวนถูกส่งให้ ไม่ขาดไปแม้แต่เฟินเดียว เห็นได้ว่าสามีภรรยาคู่นี้สามารถหาเงินได้มากจริง ๆ ในปีนี้

หลินชิงเหอตรวจนับเงินที่ตรงนั้น หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เธอก็มัดเงินเก็บไว้

“ถ้าเธอมีเงินแล้ว ก็อย่าอยู่กันอย่างเบียดเสียดที่นี่อีกเลย ลองหาดูว่าแถวนี้มีบ้านพื้นที่กว้าง ๆ อยู่บ้างหรือเปล่า ถ้าซื้อบ้าน ทั้งครอบครัวย้ายไปอยู่ที่นั่นแล้วจะได้มีพื้นที่กว้างขวางมากขึ้นอีกเยอะเลย” หลินชิงเหอบอก

“ราคาไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะคะ” สะใภ้สามตระกูลหลินลังเล

“เธอลองเช็กราคาดูแล้วเหรอ? ราคาสักเท่าไหร่ล่ะ?” หลินชิงเหอก็ถามเช่นกัน

“เขาเคยไปดูอะพาร์ตเมนต์มาแล้วน่ะค่ะ ไม่ค่อยกว้างมากสักเท่าไหร่ ราคาอยู่ที่ 1,000 หยวน ตึกอะพาร์ตเมนต์ค่อนข้างจะแออัดนิดหน่อย ก็เลยไม่ได้ซื้อที่นั่น เดือนที่แล้วฉันก็ไปดูบ้านที่มีลานเล็ก ๆ แต่ว่ามีพื้นที่กว้างขวางมากทีเดียว อยู่ใกล้ที่นี่ด้วยค่ะ แค่ข้ามถนนด้านหน้าไปเท่านั้น” สะใภ้สามตระกูลหลินตอบ

“แล้วไม่ได้ซื้อไว้เหรอ?” หลินชิงเหอถาม

“ราคาตั้ง 1,800 หยวนแน่ะค่ะ ไม่ยอมลดราคาให้เลยด้วย แพงเกินไป” สะใภ้สามตระกูลหลินบอกพลางสั่นศีรษะ

ถึงแม้ร้านของหล่อนจะทำเงินได้มากกว่า 500 หยวนต่อเดือน ทว่าบ้านหนึ่งหลังในเมืองราคา 1,800 หยวนก็นับว่าแพงมาก

ในชนบทถ้ามีเงิน 1,000 หยวนก็สามารถสร้างบ้านอิฐหลังใหญ่โตได้แล้ว ไม่แออัดเกินไปสำหรับครอบครัวใหญ่ด้วย!

ด้วยเหตุนี้ สะใภ้สามตระกูลหลินจึงรู้สึกว่า 1,800 หยวนนั้นเป็นราคาที่สูงเกินไป

“เธอรู้หรือเปล่าว่าร้านค้าที่พี่ซื้อในปักกิ่งราคาเท่าไหร่?” หลินชิงเหอพูดกับหล่อน

“เท่าไหร่คะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินถามกลับ

หล่อนก็อยากฟังเรื่องราวในเมืองหลวงเช่นกัน

“ร้านเกี๊ยวร้านนั้นของชิงไป๋ แม้ว่าจะเป็นตึกแถวอเนกประสงค์ แต่ตอนที่ซื้อก็ราคา 4,000 หยวน ใช้เงินที่มีทั้งหมดของครอบครัวเลย” หลินชิงเหอกล่าว

“4…4 พันหยวนหรือคะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินอ้าปากกว้างตาค้าง

“นี่เป็นเพราะว่าซื้อไว้เร็วหรอกนะ เธอคิดว่าร้านในปักกิ่งราคา 4,000 หยวนแพงแล้วเหรอ? นี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรเลย น้องสามีของพี่ก็กำลังทำธุรกิจอยู่ที่นั่น หล่อนต้องยอมซื้อร้านมาในราคา 4,700 หยวนถึงสามารถเป็นเจ้าของร้านได้สำเร็จ” หลินชิงเหอกล่าว

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

น้องชายสามมีมอเตอร์ไซค์ขับแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ไม่ต้องลำบากแล้วนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset