บทที่ 383 ราศีของคนเป็นเถ้าแก่

บทที่ 383 ราศีของคนเป็นเถ้าแก่

บทที่ 383 ราศีของคนเป็นเถ้าแก่

สะใภ้สามตระกูลหลินย่อมต้องรู้สึกตกใจมาก เพราะมันดูเป็นเรื่องที่เกินไปจริงมาก

4,000 หยวน…ถึงแม้ครอบครัวหล่อนจะหาเงินมาได้มากใน 2 ปีหลังมานี้ แต่เงินเก็บของพวกเขาก็ยังห่างไกลจากจำนวนเงินเท่านี้มาก

ร้านค้าในปักกิ่งราคาแพงถึงขนาดนั้นจริง ๆ หรือนี่?

“พื้นที่ร้านเล็กกว่าร้านของเธอเสียอีก ของเธอยังใช้เป็นที่อยู่ได้ด้วย แต่ร้านค้าที่นั่นไม่สามารถใช้อาศัยอยู่ได้” หลินชิงเหอบอก

“ทำไมร้านที่นั้นถึงได้ราคาแพงนักล่ะคะ?” สะใภ้สามอดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้

“ก็ต้องแพงสิ เมืองใหญ่จะไม่แพงได้ยังไงกัน? และก็ไม่ใช่ว่าจะทำเงินได้มากเท่ากับร้านเธอด้วยนะ” หลินชิงเหอพูด

ไม่ว่าจะเป็นชิงไป๋ของเธอหรือร้านซาลาเปาของซูต้าหลิน รายได้ต่อเดือนมากที่สุดอยู่ที่ราว ๆ 400 ไม่เกิน 500 หยวน

เธอประมาณการว่า ร้านน้องสามของเธอน่าจะทำกำไรอยู่ที่ 500-600 หยวนต่อเดือนจากการขี่รถไปกลับที่ชนบทถึง 2 รอบต่อวัน

มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า ผลไม้ ผัก ไก่และไข่มีกำไรต่อหน่วยต่ำเลย เนื่องจากมันขายได้ในปริมาณที่ท้วมท้น มีของถูกที่นำมาขายมากมายในแต่ละวัน กำไรที่ได้จึงไม่น้อยเลย

“ถ้าบ้านหลังนั้นดี ก็ซื้อไปเถอะ ตอนนี้พวกเด็ก ๆ โตขึ้นมากแล้ว อย่ามัวแต่มากังวลเรื่องเงินเลย” หลินชิงเหอมองหน้าน้องสะใภ้พร้อมกับพูดกระตุ้น

“แค่ไม่รู้ว่าต่อไปในอนาคตราคาจะถูกลงอีกหรือเปล่าน่ะค่ะ? ฉันคิดว่าจนถึงตอนนี้แล้วมันก็ยังขายไม่ได้เลย” สะใภ้สามตระกูลหลินตั้งข้อสังเกต

“แต่แรกร้านนี้ราคาเท่าไหร่ ถึงแม้เธอจะจังหวะดีจนได้ราคาที่ถูกมากแล้วก็ตาม? แล้วดูตอนนี้สิ ยังจะสามารถซื้อร้านนี้ได้ในราคาก่อนหน้านี้อีกไหม?” หลินชิงเหอหัวเราะออกมาเบา ๆ

บ้านควรจะต้องซื้อให้เร็วที่สุด ค่าเงินจะน้อยลงไปทุกที ไม่มีเหตุผลว่าทำไมบ้านที่อยู่ในทำเลดี ๆ จะมีราคาต่ำลงมาได้

และถึงจะมีราคาลดลงก็ไม่ใช่สาระสำคัญเลย ถ้าบ้านหลังนั้นถูกซื้อมาเพื่อใช้อยู่อาศัยเอง ก็ไม่สำคัญเลยว่าราคาจะขึ้นหรือจะลง แค่ได้อยู่กันอย่างไม่แออัดก็พอแล้ว

ต้องไม่ลืมว่าหลานสาวและหลานชายกำลังเติบโตขึ้นทุกวัน ฉะนั้นพวกเขาไม่สามารถจะอยู่อย่างเบียดเสียดด้วยกันได้อีกแล้ว

“พี่สาวสามคะ พี่คิดว่าเราควรจะซื้อมันหรือคะ?” สะใภ้สามตระกูลหลินถามเนื่องด้วยเธอเชื่อถือในตัวพี่สามีคนนี้

“ควรซื้อสิ” หลินชิงเหอพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

ทั้ง 2 คนคุยกันไปอีกสักพัก โจวชิงไป๋และน้องชายสามตระกูลหลินก็กลับมาถึง

น้องชายสามตระกูลหลินดูมีความสุขมาก เขาสามารถขี่มอเตอร์ไซค์ได้แล้ว ไม่ได้ยากเกินไปจริง ๆ ด้วย ถ้าเขาได้ฝึกอีกสัก 2 วันก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไรอีก

“ไปเอาเงินมาให้พี่สาว 770 หยวนด้วย” น้องชายสามตระกูลหลินบอกกับภรรยา

“ภรรยานายให้พี่มาแล้วละ” หลินชิงเหอพูดขัดขึ้นมา เมื่อเห็นว่าปีนี้เขาผอมลงไปมากและดูคล้ำขึ้นจึงเอ่ยว่า “นายอายุ 30 แล้วนะ ควรจะคอยใส่ใจหน่อยสิ ตอนนี้การหาเงินเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่ถ้าไม่ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี อีกหน่อยนายจะต้องเสียใจ”

“ผมรู้ครับ ภรรยาผมตุ๋นไก่ให้ผมกิน 2 ตัวทุกเดือนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย วันอื่น ๆ ก็กินหมูกับไข่อยู่บ่อย ๆ” น้องชายสามตระกูลหลินกล่าวด้วยหน้าตายิ้มแย้ม

แม้ว่าเขาจะหาเงินได้มาก ทว่ารายจ่ายประจำเดือนของพวกเขาก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน

สะใภ้สามตระกูลหลินเป็นคนมีนิสัยมัธยัสถ์ก็จริง แต่หล่อนก็ยินดีที่จะดูแลสามีของตนเองอย่างดี ถึงอย่างไรงานที่ทำก็ต้องตรากตรำร่างกายมาก แล้วจะไม่ให้กินเนื้อสัตว์ได้อย่างไร?

ฉะนั้น พวกไข่และอาหารประเภทนี้ก็จะมีให้กินอยู่ตลอด

หลินชิงเหอกลอกตาใส่เขาแล้วพูดว่า “ไก่สองตัวต่อเดือนไม่ได้มากอะไรเลย พี่เขยนายบอกว่าพี่ทำงานหนักในการสอนหนังสือ เขาเลยทำไก่ให้พี่กินทุก 3 วันเลย”

“ไก่ 1 ตัวทุก 3 วันเลยหรือครับ?” น้องชายสามตระกูลหลินประหลาดใจ

“ไม่ได้มากอะไรเลย” โจวชิงไป๋พูดอย่างไม่รู้สึกอะไร

โดยเฉพาะเมื่อภรรยาของเขาเป็นคนที่ไม่ชอบกินอะไรเยอะ เขาต้องบังคับ เธอถึงยอมกินปีกไก่ ซึ่งอย่างมากก็ 2 ปีก จากนั้นจึงดื่มน้ำแกงไก่อีก 2 ถ้วย ส่วนที่เหลือก็จะแบ่งกินกันในครอบครัว

ดังนั้นการกินไก่ทุก 3 วันที่บ้านไม่ได้มากเกินไปเลยจริง ๆ

“พี่ได้ยินภรรยานายพูดถึงเรื่องบ้าน 1,800 หยวนไม่แพงหรอก ไปดูสิว่ามีคนซื้อไปหรือยัง ถ้ายัง นายก็ซื้อไว้เสียเลย” หลินชิงเหอบอกน้องชายสามตระกูลหลิน

น้องชายสามตระกูลหลินพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ตกลงครับ ผมเชื่อพี่ ผมจะหาเวลาไปสอบถามดู”

“พี่ซื้อน้ำมันมาไว้ให้ด้วย 1 ถังสำหรับมอเตอรไซค์ของนาย ต่อไปวันหน้านายก็หาเวลาไปซื้อที่เทศบาลมณฑล มันมีขายอยู่ติดกับสถานีรถโดยสารเลย อยู่ไม่ไกลมาก ถ้านายออกจากที่นี่ตอนบ่าย ก็จะกลับมาถึงที่นี่ในช่วงเย็น” หลินชิงเหอบอก

“ผมยังไม่ได้ให้เงินค่าน้ำมันเลย” น้องชายสามตระกูลหลินพูด

“รวมอยู่ในราคานั้นแล้วละ” หลินชิงเหอโบกมือ จากนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ จึงหยิบนาฬิกาออกมาจากถุงผ้า แล้วส่งให้น้องชายตระกูลหลิน

กล่าวได้ว่าน้องชายตระกูลหลินเป็นคนที่ใช้จ่ายอย่างประหยัดมากจริง ๆ เขายังใช้วิธีดูเวลาจากท้องฟ้าอยู่เลย กระทั่งบัดนี้ เขายังไม่มีนาฬิกาใช้เลย

“นี่ของขวัญสำหรับนาย” หลินชิงเหอกล่าว

“ทำอย่างนี้ไม่ได้นะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินมองไปที่นาฬิกาแล้วสั่นหน้าอย่างรวดเร็ว

“ไม่ได้มีแต่เธอที่ได้ คนอื่นก็ได้เหมือนกัน เอาไปเถอะ” หลินชิงเหอยัดเยียดให้เขา จากนั้นก็ส่งถุงผ้ากลับไปให้โจวชิงไป๋แล้วพูดว่า “ไม่คุยต่อแล้ว พี่ต้องไปที่ร้านสะใภ้สามของพี่ก่อน”

“พี่ครับ นาฬิกานี่เป็นของแพงเกินไป” น้องชายสามตระกูลหลินอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้

“พี่ยังไม่รู้เลยว่าร้านของสะใภ้สามอยู่ที่ไหน พาเราไปที่นั่นทีสิ” หลินชิงเหอบอกกับเขา

กำไรของสินค้าหรูอย่างนาฬิกานั้นสูงมาก เธอซื้อมาทีเดียวหลายเรือนสำหรับคนในครอบครัว แต่ซื้อมาในราคาขายส่ง ดังนั้นจึงใช้เงินไปทั้งหมดแค่ 200 หยวนเท่านั้น

แต่ถ้ามันถูกนำไปขายในห้าง นาฬิกาเรือนที่ถูกที่สุดจะมีราคาถึง 180 หยวนเลยทีเดียว ส่วนเรือนที่แพงก็จะมีราคาอยู่ที่ 200-300 หยวน หรืออาจจะสูงกว่านั้น

ร้านของพี่ชายสามอยู่ไม่ไกลจากร้านนี้นัก

ตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยมานาน จนโจวหยางและโจวอู่นีกลับมาจากเมืองหลวงแล้ว

อีก 2 วัน ทั้งคู่ต้องไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยในเมืองหลวงประจำมณฑล

ทั้ง 2 คนได้คะแนนในระดับใกล้เคียงกันและสอบเข้าเรียนได้ที่เดียวกันที่มหาวิทยาลัยด้านคุรุศาสตร์ในเมืองหลวงประจำมณฑล ถึงจะเป็นมหาวิทยาลัยระดับธรรมดา แต่อย่างไรก็ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยอยู่ดี

ไม่ว่ามันจะอยู่ในระดับที่ดีหรือไม่ การที่ได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในยุคนี้ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว

ยังไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ว่าญาติผู้พี่ผู้น้องทั้ง 2 คนสามารถสอบเข้าได้ด้วยกันทั้งคู่

ทั้งบ้านสาขาหลักและบ้านสาขาสามต่างก็ปลาบปลื้มใจกันมาก

นอกจากนี้แล้ว สะใภ้ใหญ่ที่อยู่ชนบทยังบอกกับทุกคนด้วยว่าที่พวกเขาได้คะแนนสอบดีก็เพราะได้ไปเมืองหลวง และได้เจ้าสองเป็นคนติวหนังสือให้ อีกทั้งคุณอาสะใภ้สี่ยังให้ตำรับตำราเรียนและเครื่องอัดเทปสำหรับฟังทบทวนภาษาอังกฤษมาด้วย

เมื่อหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋มาหา พี่ชายสามและสะใภ้สามย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา

ความคิดอ่านของทั้งคู่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก

และการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นมาจากความมั่นใจที่สามารถหาเงินได้มากนั่นเอง

สะใภ้สามดึงตัวหลินชิงเหอเข้าไปคุยด้วยกันในห้อง

“พี่สะใภ้สาม ปีนี้พี่สามดูจะมีราศีของคนเป็นเถ้าแก่แล้วนะคะ” หลินชิงเหอหยอกล้ออย่างสนุกสนาน

สะใภ้สามดูสมบูรณ์ขึ้นมากทีเดียว น้ำหนักของหล่อนเทียบได้กับโจวเสี่ยวเหมยตอนที่อยู่ในช่วงหลังคลอดเลย น่าจะอยู่ที่ราว 150 จิน(1)

“มีราศีเถ้าแก่อะไรกัน? เขาก็แค่คนขายผักเท่านั้นแหละจ้ะ” สะใภ้สามหัวเราะออกมา

ต้องพูดว่าตั้งแต่พวกเขาได้ย้ายมาอยู่ในอำเภอแล้ว ชีวิตของสะใภ้สามสุขสบายมากจริง ๆ

พวกเขาไม่เพียงแต่จะทำเงินได้มากเมื่อมาอยู่ในเมือง แต่ชีวิตความเป็นอยู่ยังดีขึ้นมากอีกด้วย

ทั้ง ๆ ที่สะใภ้สามก็เป็นคนมีนิสัยประหยัดอดออม แต่หล่อนก็ยังเต็มใจจะใช้เงินมากกว่าสะใภ้สามตระกูลหลิน มิเช่นนั้นตัวหล่อนคงไม่สามารถมีเนื้อมีหนังเพิ่มขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้

ชนิดที่ว่าแค่เหลือบตาไปก็สามารถสังเกตเห็นหล่อนได้ทันที

………………………………………………………………………………….

(1) เท่ากับ 75 กิโลกรัม โดย 1 จินเท่ากับ 0.5 กิโลกรัม

สารจากผู้แปล

เห็นสองบ้านนี้มีชีวิตที่ดีขึ้นก็รู้สึกดีใจแล้วล่ะค่ะ ถ้ายังอยู่ที่ชนบทก็คงใช้เวลาพัฒนานานกว่านี้

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset