บทที่ 403 ผอมเพรียวและงามสง่า

บทที่ 403 ผอมเพรียวและงามสง่า

บทที่ 403 ผอมเพรียวและงามสง่า

โจวเอ้อร์นีหลุดยิ้มน้อย ๆ

“ความจริงแล้วในสายตาของคนนอกน่ะ ระหว่างอาสี่กับอาก็มีช่องว่างทางสังคมเหมือนกันนะ” หลินชิงเหอบอกหล่อน

เรื่องนี้เป็นความจริง เธอเป็นถึงอาจารย์วิชาภาษาต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ใครจะไม่ยกย่องชื่นชมเธอกันล่ะเมื่อพูดออกไปแบบนั้น? อาจารย์สอนภาษาต่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่งเชียวนะ! ซึ่งไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเลยว่าตำแหน่งนี้ไม่ต่างจากป้ายทองคำ

ขณะที่โจวชิงไป๋นั้น ต่อให้เขาจะทำงานหาเงินได้ เขาก็เป็นแค่เจ้าของกิจการ แม้จะทำการค้าได้ผลกำไรดี แต่ก็เทียบไม่ได้กับหน้าที่การงานอันสูงส่งของเธอ

ดังนั้นแล้วนี่ไม่ใช่ช่องว่างระหว่างกันหรือ?

โจวเอ้อร์นีไม่แสดงความเห็นใด ๆ

“ช่องว่างก็คือช่องว่าง เมื่อใดที่คนสองคนไปด้วยกันได้ดี มันก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งปัจจัยภายนอกพวกนี้หรอก กุญแจสำคัญก็คือคนสองคนจะสนทนาและสานสัมพันธ์กันผ่านเรื่องนี้ไปได้ไหม ซึ่งปัจจัยภายนอกของอาสี่กับอาเองก็ไม่ได้เข้ากันเลย แต่ถึงอย่างนั้นอาก็รักเขา และแน่นอนว่าอาสี่ก็รักอาด้วยเหมือนกัน” หลินชิงเหอเล่าออกมาโดยไร้ซึ่งความเขินอาย

โจวเอ้อร์นีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

“คืนนี้ให้เขามาร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยสิ เขาน่าจะมารับประทานอาหารด้วยแบบเป็นทางการสักมื้อนะ” หลินชิงเหอบอก

โจวเอ้อร์นีอึกอักไป “อาสะใภ้สี่คะ เรื่องนี้…มันไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอคะ?”

“เร็วเกินไปอะไรกัน? หนูยังอยากจะปล่อยให้เขาเคว้งคว้างอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ? นี่ก็เลยสองเดือนมาแล้ว พาเขามากินอาหารที่บ้านสักมื้อคงไม่เป็นไรหรอก” หลินชิงเหอเอ่ย “หลังกินอาหารที่บ้านอาเสร็จแล้ว หนูก็ต้องพาเขาไปกินอาหารที่บ้านของคุณปู่คุณย่าด้วยนะ”

“เร็ว…เร็วเกินไปค่ะ” โจวเอ้อร์นีหน้าแดง

“แค่กินข้าวด้วยกันเอง ไม่ใช่ว่าจะให้หนูหมั้นสักหน่อย ถือว่าให้เขาได้ไปเจอผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวด้วย ตอนคบกันก็ไม่ต้องทำหลบ ๆ ซ่อน ๆ หรอก จับมือถือแขนนิดหน่อยได้ไม่เป็นไรแต่อย่าทำอย่างอื่น ถ้าเขาล้ำเส้นเมื่อไหร่หนูก็ไม่ต้องใจดีกับเขา” หลินชิงเหอเตือน

“อาสะใภ้คะ หนูยังไม่ได้ให้เขาจับมือหนูเลยนะคะ” โจวเอ้อร์นีหน้าแดงด้วยความเขินอาย

“จับมือกันถือว่ายังไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาล้ำเส้นเมื่อไหร่หนูก็ไม่ต้องใจดีกับเขานะ ตบหน้าเขาไปสักฉาดใหญ่ ๆ เลย” หลินชิงเหอสั่งสอน

โจวเอ้อร์นีเขินอายไปหมดแล้ว หลินชิงเหอเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา “ชั่วพริบตาเดียว หนูก็กลายเป็นเด็กสาวอายุสิบเก้าซะแล้ว”

เหตุผลที่เธอสนับสนุนเรื่องนี้ก็เพราะว่าโจวเอ้อร์นีถึงวัยสมควรจะออกเรือนแล้ว หล่อนอายุ 19 ปีย่างเข้า 20 ปีในปีหน้า หากยังเรียนหนังสืออยู่ในตอนนี้ก็ไม่เป็นไร แต่นี่หล่อนไม่ได้เรียนหนังสือ จึงไม่มีผลกระทบอะไรนักหากจะคบหาดูใจกับใครในช่วงอายุนี้ อีกอย่างหนึ่งหล่อนก็โตมากแล้วด้วย

ให้ทั้งคู่คบหาดูใจกันก่อน หลังจากคบกันไปได้สัก 2 หรือ 3 ปีพวกเขาก็แต่งงานกันได้ ไม่มีอะไรเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว

แถมหวังหยวนเองก็สนใจในตัวโจวเอ้อร์นีด้วยเหมือนกัน แล้วทำไมถึงไม่ลองเสี่ยงดูล่ะ? ถ้าไปด้วยกันไม่รอดก็แค่แยกทางกันไป อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจนี่ถูกไหม?

หลังคุยเรื่องนี้กับหลานสาวของเธอแล้ว หลินชิงเหอก็เดินลงมากินเกี๊ยวเนื้อแกะอย่างอารมณ์ดี

“กินเกี๊ยวไส้แกะในตอนเช้าแบบนี้รู้สึกว่ามันเลี่ยนไปหน่อยนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น เธออยากกินเกี๊ยวไส้ผักจี้ฉ่ายเหลือเกิน

“ถ้าคุณกินอิ่มแล้วก็จะไม่ค่อยหิวนะ” โจวชิงไป๋ตอบ จากนั้นก็พูดต่อ “ผมทำไก่ตุ๋นไว้ให้คุณ คุณมากินตอนใกล้เที่ยงสิ”

“ค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้าก่อนจะไปสอนหนังสือ

โจวเอ้อร์นีเดินลงมาด้วยท่าทางประหม่าเล็กน้อย โจวชิงไป๋จึงเอ่ยถาม “หนูอยากกินอะไรเหรอ?”

โจวเอ้อร์นีจึงบอกว่าขอเกี๊ยวไส้หมูกับกะหล่ำปลีหนึ่งชาม หล่อนรู้สึกโล่งใจอยู่เงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าอาสี่ของหล่อนไม่ได้พูดอะไร

หล่อนให้เฉินซานซานเฝ้าร้านในตอนบ่ายและหาเวลามาที่โรงงานผลิตเสื้อผ้าเพื่อตามหาหวังหยวน เมื่อหวังหยวนได้ยินว่าอาสะใภ้สี่ของหล่อนเชิญให้เขาไปร่วมรับประทานมื้อเย็นด้วย เขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในทันที

“คุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่รู้เรื่องของเราแล้วเหรอครับ?” หวังหยวนเปลี่ยนประเด็นฉับพลันและมองหน้าโจวเอ้อร์นีเป็นเชิงถาม

“คุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่อะไรกันคะ คุณอย่าคิดลึกสิ แค่เชิญคุณไปร่วมรับประทานอาหารมื้อเดียวเท่านั้นเองค่ะ” โจวเอ้อร์นีเอ่ยสั่งสอนแต่ดวงหน้ากลับฉายแววเอียงอายอยู่ส่วนหนึ่ง

ไม่ต้องบอกเลยว่าหวังหยวนรู้สึกปลื้มปิติขนาดไหน ดูเหมือนความพยายามในช่วงนี้ของเขาจะไม่สูญเปล่าแล้ว

ในที่สุดเขาก็ได้ร่วมรับประทานอาหารในฐานะหลานเขยของพวกเขาแล้ว!

“รอผมสักครู่นะครับ ผมจะไปกับคุณหลังจัดการของพวกนี้ในมือเสร็จแล้ว” หวังหยวนบอก

“ไม่รอหรอกค่ะ คุณตามไปที่นั่นเองทีหลังเถอะ ฉันต้องกลับไปเฝ้าร้านก่อน” โจวเอ้อร์นีเอ่ยเสร็จแล้วก็เมินเขา

ฝ่ายหลินชิงเหอก็ให้โจวชิงไป๋ไปซื้อกับข้าวกลับมาเป็นจำนวนมาก และทั้งครอบครัวก็เริ่มกินอาหารเย็นกันตอนหนึ่งทุ่ม

“คุณอา คุณอาสะใภ้ ผมขอดื่มให้พวกคุณหนึ่งแก้วนะครับ” ที่โต๊ะอาหาร หวังหยวนก็ได้ดื่มให้กับโจวชิงไป๋และหลินชิงเหอ

“คุณอากับคุณอาสะใภ้อะไรกันครับ?” เมื่อคืนนี้โจวกุยหลายเข้านอนแต่หัวค่ำ เขาจึงไม่รับรู้สถานการณ์ความเป็นไป พอได้ยินดังนี้เด็กหนุ่มก็เอ่ยอย่างสงสัย “ผมยังเรียกคุณว่าอาหวังหยวนอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็นับญาติไม่ถูกเสียแล้ว”

โจวเอ้อร์นีหน้าแดงซ่าน

ส่วนหู่จือกับกังจือที่ร่วมโต๊ะอาหารเย็นถึงกับยิ้มกริ่ม

“กินซะ นายพูดมากเกินไปแล้ว” โจวเฉวียนเอ่ยและคีบเนื้อไก่ชิ้นหนึ่งให้เขา

“พูดมากอะไรกัน? ผมงงไปหมดแล้ว” โจวกุยหลายตอบ

“ไม่ต้องงงหรอก พี่สาวนายกับฉันกำลังคบกันอยู่ เรียกคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่ก็ถูกแล้วล่ะ” หวังหยวนเอ่ย ความหน้าหนาของเขาห่างชั้นกับโจวเอ้อร์นีอยู่หลายขุม

ทันใดนั้นดวงตาของโจวกุยหลายก็เบิกกว้าง เขามองอีกฝ่ายสลับกับพี่เอ้อร์นี และเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “พวกพี่ไปคบกันตั้งแต่ตอนไหนครับเนี่ย?”

“เจ้าเด็กเหม็น ลูกไม่กินข้าวงั้นเหรอ?” หลินชิงเหอถาม

คบกันแล้วอย่างไร? ถึงจะพูดคำ ๆ นี้แต่มันก็ฟังขึ้นอยู่ไม่น้อย

ใบหน้าของโจวเอ้อร์นีขึ้นสีแดงจัด จนโจวกุยหลายเกิดกระหายใคร่รู้ “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตอนไหนครับเนี่ย? ทำไมผมถึงไม่รู้เลยล่ะ?”

“พี่สาวนายกับฉันคบกันเมื่อนานมาแล้วล่ะ แต่นายไม่ทันสังเกตเห็นเอง” หวังหยวนเอ่ย

“ผมไม่เห็นจริง ๆ นี่นา แต่ขอบอกพี่ไว้ก่อนเลยนะว่ามันไม่ง่ายนักหรอกที่จะมาเป็นพี่เขยพวกเรา” โจวกุยหลายเชิดหน้า

ชั่วพริบตาเดียว สรรพนามที่เรียกขานกันก็เปลี่ยนไป เขาจึงไม่จำเป็นต้องยั้งปากแม้แต่น้อย

“รีบกินข้าวของนายซะ” โจวเอ้อร์นีรู้สึกอับอายเกินทนจึงเอ็ดขึ้น

“พี่ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ แค่เริ่มต้นพี่ก็ลำเอียงแล้วเหรอ” โจวกุยหลายส่งเสียงโอดครวญ

อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ทั้งหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ต่างก็มีรอยยิ้มฉาบบนใบหน้าด้วยกันทั้งคู่

มีโจวกุยหลายแล้วอาหารมื้อนี้ก็ดูมีสีสันขึ้นมาเป็นพิเศษ

หลังกินเสร็จแล้ว โจวชิงไป๋ก็บอกกับหวังหยวน “ไว้วันหน้าไปกินข้าวกับคุณปู่คุณย่าของเอ้อร์นีเสียสิ”

“ตกลงครับ ผมจะเชื่อฟังคุณอาสี่นะครับ!” หวังหยวนเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จโดยแท้ ไม่มีคำพูดใด ๆ มาบรรยายกับความหน้าหนาของเขาเลยจริง ๆ

เขาเอ่ยปากพูดว่า ‘คุณอา’ และ ‘คุณอาสะใภ้’ ออกมาได้เต็มปากโดยไม่กระดากหรือติดขัดสักนิด ทำให้โจวเอ้อร์นีเหลือบมองค้อนเขาเป็นระยะ

เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวรู้สึกหวาดกลัว หลินชิงเหอจึงเป็นคนมาบอกไว้ล่วงหน้า

และเป็นอย่างที่คาดคิด ทั้งท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวต่างตกตะลึงไป

ท่านแม่โจวถึงกับเอ่ยรัวเร็ว “หา? คนที่มากับเอ้อร์นีคราวที่แล้วน่ะเหรอ? ไม่ใช่ว่าเขาเป็นเจ้านายใหญ่ของโรงงานเสื้อผ้าหรอกเหรอ? เขากำลังคบกับเอ้อร์นีเนี่ยนะ?”

“เขาเป็นเจ้านายใหญ่ของโรงงานเสื้อผ้าที่ผลิตสินค้าให้ร้านของฉันน่ะค่ะ แต่จะเป็นแฟนของเอ้อร์นีด้วยก็ไม่ขัดนะคะ” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม

“แต่นี่…มันออกมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย?” ท่านแม่โจวพูดตะกุกตะกัก

“จะไม่เป็นแบบนี้ได้ยังไงล่ะคะ? เอ้อร์นีของเราแสนดีขนาดนี้ โดดเด่นขนาดนี้ หล่อนเป็นหญิงสาวที่ผอมเพรียวและงามสง่า มีอายุแค่ 19 ปี อ่อนเยาว์และมีการศึกษา แถมเวลาพูดคุยเจรจางานก็มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ผู้ชายคนไหนจะไม่เหลือบมองตอนที่หล่อนไปไหนมาไหนล่ะคะ?” หลินชิงเหอเอ่ย

……………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เถ้าแก่หวังท่าจะรักจริงหวังแต่งนะคะ ถึงกับไปกินข้าวที่บ้านด้วยแบบนี้ ถ้าแต่งกันจริงนี่ผู้แปลเตรียมฉลองแล้วนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset