บทที่ 404 นำโชคดีมาให้ตระกูล

บทที่ 404 นำโชคดีมาให้ตระกูล

ฃบทที่ 404 นำโชคดีมาให้ตระกูล

ท่านแม่โจวก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่าหลานสาวคนนี้ไม่ได้แย่ อย่างน้อยก็ไม่เลวร้ายเหมือนกับหลานสาวผู้ใจอ่อนใจง่ายคนนั้นของนาง

ต่อให้หล่อนจะไม่ได้แย่ แต่ท่านแม่โจวก็ยังมีความระแวงอยู่

“คุณพ่อกับฉันเห็นพ่อหนุ่มคนนั้นแล้ว มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเขาต้องมาจากครอบครัวคนรวย ดูจากราศีของเขาแล้ว เธอก็รู้นี่ว่าพี่ชายใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่มีฐานะเป็นยังไงกันบ้าง” ท่านแม่โจวเอ่ยอย่างอึดอัดใจ

หวังหยวนเคยแวะมาหาสองคนชราพร้อมกับโจวเฉวี่ยน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวต่างก็มีความประทับใจที่ดีต่อเขา

นอกจากเรื่องที่เขาเป็นคนหนุ่มและมีหน่วยก้านดีแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนหยิ่งยโสแต่อย่างใด ชายหนุ่มไม่เคยดูถูกคนอื่น คำพูดของเขาล้วนเจือแววชื่มชมว่าตระกูลโจวสมกับเป็นตระกูลบัณฑิตอย่างไรบ้าง ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้สะกิดความประทับใจให้ผุดขึ้นในใจของท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเข้า

มีคนตระกูลโจวกี่รุ่นแล้วที่ต้องเดินย่ำปลักโคลน? ไม่เคยมีใครได้เป็นบัณฑิตแม้แต่คนเดียว แต่ตอนนี้มีนักศึกษามหาวิทยาลัยกี่คนแล้วล่ะ?

นี่นับว่าเป็นการปลดแอกพวกเขาจากสถานะชาวนานั้นแล้วถูกไหม?

เทียบกับหลานเขยอย่างจ้าวจวินที่เอาแต่เชิดหน้าดูถูกคนอื่นแล้ว หวังหยวนนับว่าดีเลิศกว่าหลายขุม

ท่านแม่โจวยังคิดอยู่เลยว่าถ้าสวี่เชิ่งเหม่ยได้แต่งงานกับคนอย่างหวังหยวน นางก็น่าจะพอรับได้อยู่

แต่นี่ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น ตัวชายหนุ่มมีสถานะเป็นอย่างไรล่ะ? เขามีสถานะทางสังคมเป็นถึงเจ้าของใหญ่ของโรงงานผลิตเสื้อผ้าได้ด้วยอายุน้อยเท่านี้ เขาก็น่าจะมีวิสัยทัศน์สูงส่งไม่น้อย

นางจึงไม่เคยคิดไปถึงเรื่องนั้นเลย

แต่นางก็ไม่คิดว่าสะใภ้คนเล็กจะมาพูดเรื่องนี้กับนาง

“ฐานะครอบครัวของพี่ชายใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ถือว่ายากจนกว่าจริง ๆ แต่ก็ไม่จนถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เพียงแต่เราคุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่ต้องอยู่อย่างมัธยัสถ์ไปแล้ว เราก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องชนชั้นฐานะ อีกอย่างพี่ชายใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ก็กำลังจะสร้างบ้านใหม่ในปีนี้แล้วด้วย พวกเขาคงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาค่าเลี้ยงดูจากลูกเขยหรอกค่ะ” หลินชิงเหอรับรอง

“นั่นก็ถูกล่ะ แต่ถึงอย่างไรสองครอบครัวนี้ก็มีฐานะห่างกันมาก ฉันได้ยินมาว่าพวกแม่สามีตระกูลคนรวยนี่เอาใจยากมากเลยนะ” ท่านแม่โจวเอ่ย

ท่านแม่โจวเองก็เป็นแม่สามี นางจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้กดขี่ข่มเหงสะใภ้ทั้งสี่เลย นางกล้าประกาศเรื่องนี้ได้ไม่ว่าจะไปที่ไหน

ในหมู่บ้านมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่าหญิงชราบางคนชอบกดขี่ข่มเหงลูกสะใภ้ เพื่อเป็นการระบายในสิ่งที่ตัวเองเคยเผชิญในตอนที่แต่งออกไปเป็นลูกสะใภ้ของคนอื่น

ที่บ้านจึงไม่มีเวลาแห่งความสงบสุขเลย

แต่ตระกูลโจวของนางไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น เนื่องจากเมื่อนานมาแล้วสะใภ้สี่ผู้ก่อความวุ่นวายเคยยืนกรานว่าจะขอแยกครอบครัวออกไป ซึ่งนางก็ให้แยก ทันทีที่พวกเขาแยกออกไป ที่บ้านก็สงบสุขมากขึ้น

ส่วนสะใภ้อีกสามคนนั้น ต่อให้พวกหล่อนจะมีความคิดเป็นของตัวเอง พวกหล่อนก็ยังทำตัวเป็นน้ำนิ่งในอ่างได้เมื่อนางเข้ามาจัดการ

ไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไรมากนัก

แต่แม่สามีคนอื่นไม่ได้เป็นแบบนาง โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวของลูกชายคนโตยากจนเหลือแสนขณะที่ครอบครัวของหวังหยวนมั่งมีด้วยโภคทรัพย์

ท่านแม่โจวคิดแล้วก็รู้สึกหวาดกลัวจับใจ

“ฉันเคยบอกเอ้อร์นีแล้วว่าให้ทำงานช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่และค่อยไปหาคู่ครองตอนกลับบ้านที่ชนบท อย่างไรเสียก็หาคนดี ๆ ได้อยู่แล้ว แต่หล่อนก็ไม่ฟังฉันเลย!” ท่านแม่โจวพึมพำ

“ไม่ใช่ว่าแม่สามีจากตระกูลคนรวยจะเอาใจยากไปเสียทุกคนหรอกค่ะ มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วย” หลินชิงเหอบอก “ยิ่งกว่านั้นเอ้อร์นียังไม่ใช่ฝ่ายเข้าหาเขา เป็นหวังหยวนที่มาหลงรักหล่อนเองค่ะ เอ้อร์นีบอกปฏิเสธเขาไปหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังยืนกรานว่าอยากแต่งงานกับเอ้อร์นี เขาถึงกับไปรับหล่อนกลับจากโรงเรียนภาคค่ำหลังเลิกเรียนด้วยนะคะ”

ท่านแม่โจวอึ้งไป “ถึงกับไปรับเอ้อร์นีกลับจากโรงเรียนภาคค่ำหลังเลิกเรียนเลยเหรอ?”

“ค่ะ ฉันเองก็เพิ่งรู้จากหู่จือกับกังจือหลังจากที่พวกเขากลับมาแล้ว เด็กโง่สองคนนั้นเชื่อหมดใจเลยล่ะค่ะว่าเขาแค่ผ่านทางมาพอดี หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันพวกเขาถึงรู้ตัวว่ามีเรื่องบางอย่างเลยมาบอกฉันได้ ฉันก็เลยได้รู้ในตอนนั้นน่ะค่ะ” หลินชิงเหออธิบาย

ท่านแม่โจวได้ฟังก็ส่งเสียงเอ็ด “เจ้าหนุ่มสองคนนี้นี่ พี่สาวถูกเขาขายไม่พอยังไปช่วยนับเงินให้เขาอีก!”

“อย่ากังวลไปเลยค่ะ ฉันคอยดูเอ้อร์นีมาแต่อ้อนแต่ออกแล้วก็สั่งสอนหล่อนอยู่เสมอ ฉันรู้ว่าหล่อนเป็นคนยังไง หล่อนไม่มีทางทำให้ตระกูลโจวของเราขายหน้าแน่นอนค่ะ” หลินชิงเหอบอก

“ถ้าหล่อนคิดจะเดินตามรอยนังเชิ่งเหม่ยนั่น ฉันจะหักขาหล่อนให้ดู!” ท่านแม่โจวแค่นเสียงเย็นชา

หลินชิงเหอนั่งอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง ถือว่าเธอได้มาเตรียมใจให้กับสองผู้เฒ่าเพื่อไม่ให้พวกเขาตื่นตระหนกแล้ว ส่วนเรื่องที่เหลือเธอไม่จำเป็นต้องสนใจ

ทันทีที่เธอกลับไป ท่านพ่อโจวก็ปริปากเอ่ย “พ่อหนุ่มนั่นไม่เลวเลยทีเดียว”

ท่านแม่โจวกลอกตาใส่เขา “แล้วฉันไม่รู้เหรอ?”

แต่เขาดีเกินไปจนท่านแม่โจวรู้สึกงุนงงนิดหน่อย พูดอีกอย่างหนึ่ง มันก็ยังเป็นคำพูดพวกนั้นที่ว่าถ้าเอ้อร์นีเหมือนกับสะใภ้สี่ก็ไม่มีปัญหาอะไร นับว่าเชื่อใจหล่อนได้แน่นอนแล้ว

แต่ต่อให้หล่อนเป็นหลานสาวของเธอ พวกเขาก็มาจากครอบครัวต่างสายกัน ฐานะที่บ้านเดิมย่ำแย่มากกว่านี้นัก และเทียบกับที่นี่ไม่ได้เลย

“เขาชอบเอ้อร์นีก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?” ท่านพ่อโจวเอ่ย

เขาไม่คิดว่าจะมีอะไรเสียหาย ไม่ใช่ว่าหลานสาวของเขาคนนี้จะทำตัวใจง่ายเหมือนกับหลานสาวคนนั้นเสียหน่อย เรื่องนั้นช่างทำให้พวกเขาเสื่อมเสียจริง ๆ

เป็นอีกฝ่ายที่มาติดพันกับหลานสาวของเขา หล่อนทั้งสวยและใจดี ตอนนี้หล่อนมาอยู่ที่เมืองหลวง ได้รับการฝึกฝน และเข้าเรียนโรงเรียนภาคค่ำด้วยฝีมืออาสะใภ้สี่ มันทำให้หล่อนมีระดับการศึกษาที่สูงขึ้น

หากกลับไปที่หมู่บ้านก็ไม่มีปัญหาเลยที่หล่อนจะสามารถเป็นคุณครูในโรงเรียนประถมศึกษาได้

เรื่องนี้จะถือว่าย่ำแย่ได้อย่างไร?

ท่านพ่อโจวรู้สึกว่าการที่มีใครบางคนมาติดพันหลานสาวของเขาทำให้เขาตาสว่าง สาวน้อยเอ้อร์นีคงไม่ทำอะไรเสื่อมเสียหรอก

หล่อนเหมือนกับอาสะใภ้สี่อยู่บ้าง เก้าในสิบของหล่อนจะต้องนำโชคดีมาให้ตระกูลแน่

แม้ท่านแม่โจวจะรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่นางก็ไม่ได้ขัดอะไรอีก ยังเรียกหลานสาวให้มาหา

แล้วนางก็ถามเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวกับหล่อน

“คุณย่า หนูแค่คบกับเขาเพื่อดูว่าเราเข้ากันได้ไหมน่ะค่ะ ถ้า…ถ้าหากว่าเราเข้ากันไม่ได้ เราก็จะเลิกกันค่ะ” โจวเอ้อร์นีเม้มปาก

“พูดอะไรของหนู? หนูยังอยากมีศักดิ์ศรีของหนูอยู่ไหม? ในเมื่อกำลังคบกันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ!” ท่านแม่โจวนิ่วหน้าเมื่อได้ยินดังนี้

นางทนฟังคำว่า ‘เลิกกัน’ ไม่ได้ ต่อให้ในตอนท้ายจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ตาม นี่เป็นความคิดของนาง

หากมันแพร่สะพัดไปทั่วแล้วจะฟังดูแย่ขนาดไหนกัน? เด็กสาวจากครอบครัว ก คบกับนาย ข แล้วเข้ากันไม่ได้จนต้องไปแต่งงานกับนาย ค นี่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีเลยนะ

แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวก็ยังยอมให้หวังหยวนมาร่วมรับประทานอาหารเย็น

ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยก็อยู่ที่นั่นด้วย คราวที่แล้วเขากลับไปโดยที่ยังไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน แต่ครั้งนี้เขามาเพื่อร่วมโต๊ะโดยเฉพาะและจดจำผู้คนในครอบครัวนี้ไปด้วย

แต่หวังหยวนช่างเป็นคนหน้าหนานัก เขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานโจวชิงไป๋และหลินชิงเหอว่า ‘อาสี่’ กับ ‘อาสะใภ้สี่’ อย่างเต็มปากเต็มคำเลยทีเดียว

ตอนที่เขามาที่นี่ เขาเรียกท่านพ่อโจวว่า ‘คุณตา’ เรียกท่านแม่โจวว่า ‘คุณยาย’ ส่วนซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยนั้นเขาเรียกตามโจวเอ้อร์นี

เขากล้าเรียกเสียจนท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวรู้สึกอายที่จะตอบ

ต้องบอกว่าอาหารมื้อนี้จบลงด้วยดี นอกเหนือจากเรื่องอื่นแล้ว โดยสรุปก็คือหวังหยวนได้แสดงเจตนารมณ์ของเขาออกมาอย่างชัดเจน

เขามีความต้องการที่จะแต่งงานกับหลานสาวของอีกฝ่ายอย่างจริงใจ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงทำตัวราวกับเป็นหลานชายของอีกฝ่ายที่คอยรินชาและเหล้าให้

ไม่ต้องพูดเลยว่าท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวรู้สึกปลาบปลื้มแค่ไหน

ดูหวังหยวนแล้วมาดูจ้าวจวินที่เชิดหน้าใส่คนอื่นสิ ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว

หลังดื่มเหล้าที่โต๊ะอาหารเย็นแล้ว ท่านแม่โจวก็หาข้ออ้างให้หลานสาวช่วยพยุงนางกลับเพื่อที่จะได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับหล่อน

……………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ดูท่าสองผู้เฒ่าจะได้หลานเขยเพิ่มอีกคนแล้วนะคะ แถมคนนี้ดีกว่าคนที่แล้วมากด้วย งานนี้ต้องมีคนอิจฉาแน่ ๆ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset